คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ออกตัวก่อน ว่าไม่ใช่ผู้รู้ทางปิโตรเลียมโดยตรง แค่คนนึงที่ทำงานในสายงานที่เกี่ยวข้องมาหลายปี
ที่จะอธิบายต่อไปนี้ ก็จำขี้ปากนักธรณีเขามา ประมวลเพิ่มเติมกับที่ได้อ่านเองมาบางส่วน
ต้องเข้าใจก่อนว่า ปิโตรเลียมในชั้นดินนั้น ถ้าเป็นแหล่งแบบปกติทั่วไป จะมีกระบวนการในการเกิด เคลื่อนตัว และสะสม ของมันอยู่
โดยลึกลงไปใต้เปลือกโลก ในจุดที่มีการทับถมของสารอินทรีย์ในสภาพที่พอเหมาะ สารอินทรีย์เหล่านั้นจะแปรสภาพเป็นปิโตรเลียม
ซึ่งมันก็ไม่ได้อยู่เหมือนอยู่ในถ้ำโล่งๆ แต่จะเหมือนน้ำที่ซึมอยู่ในฟองน้ำ เพียงแต่ฟองน้ำนั้นเป็นหินที่มีความพรุนต่างๆ กัน
ในชั้นหินนี้ ทางนักธรณีเขาเรียกว่า หินต้นกำเนิด (Source Rock) ฝรั่งนักธรณีบางคนก็เรียกว่า Kitchen
ทีนี้ การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดการชนกันของเปลือกโลก สร้างให้เกิดรอยแยก รอยแตก การยกตัว โก่งตัว ของชั้นหินเป็นลักษณะต่างๆ ถ้าหากพวกรอยแตก รอยแยกเหล่านี้ มันไปตัดผ่าน Kitchen เข้า ปิโตรเลียมในชั้นนั้นมันก็จะเคลื่อนตัว (ฝรั่งเรียก Migrate) ออกมาได้
จะออกมามากน้อยแค่ไหน บอกยาก แล้วแต่ลักษณะชั้นหิน สภาพของปิโตรเลียม ฯลฯ
แรงดันในเปลือกโลก จะดันให้ปิโตรเลียมที่เคลื่อนตัวไปตามรอยแยกนี้เคลื่อนขึ้นมาสู่ระดับที่ตื้นขึ้น และถ้าสภาพเหมาะสม มีชั้นหินที่ปิโตรเลียมผ่านไม่ได้ปิดไว้ ก็จะเกิดเป็นแหล่งกักเก็บขึ้นมา (Reservoir) ซึ่งแต่ละแหล่งก็จะมีขนาดต่างๆ กันไป แต่ถ้าหากว่าปิโตรเลียมไหลขึ้นมาได้โดยไม่ติดอะไร ก็อาจจะขึ้นมาถึงผิวดินได้เหมือนกัน เหมือนอย่างในบางประเทศที่ผุดขึ้นมาเป็นบ่อ tar pit
ในแหล่งปกติทั่วไปนั้น ปิโตรเลียมที่ติดอยู่ใน reservoir ก็อาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป บางแหล่งก็เป็นก๊าซ บางแหล่งก็เป็นน้ำมันดิบ
เท่าที่เคยทราบ ในอเมริกานั้น reservoir อยู่ในระดับที่ตื้นกว่าในพื้นที่ประเทศไทยมาก ในไทยมักจะต้องเจาะลงไปไม่น้อยกว่า 1000-1500 เมตร
แต่ในอเมริกา บางแหล่งแค่ไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว
การเกิดเป็น Oil Sand เข้าใจว่าน่าจะเกิดจากการ migrate ที่มาหยุดในชั้นที่เป็นหินทราย และปิโตรเลียมผสมตัวเข้าได้เยอะ อยู่ในระดับตื้น
ที่เคยได้ยินมาคือ จริงๆ แล้วการค้นพบ oil sand นี่มีมานานแล้ว เพียงแต่กระบวนการที่ใช้ในการแยกน้ำมันออกมาจากหินทรายนั้นค่าใช้จ่ายสูง ค่าบำรุงรักษาสูง จนทำให้ในยุคก่อนนี้ ตอนที่น้ำมันดิบราคาบาร์เรลนึงไม่กี่สิบดอลลาร์ มันไม่คุ้มที่จะผลิตขึ้นมา
แต่พอปัจจุบัน ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาเป็นบาร์เรลละร่วมร้อยดอลลาร์ มันทำให้คุ้มทุนขึ้นมาได้ ก็เลยเริ่มมีการผลิตกันขึ้นมาครับ
ที่จะอธิบายต่อไปนี้ ก็จำขี้ปากนักธรณีเขามา ประมวลเพิ่มเติมกับที่ได้อ่านเองมาบางส่วน
ต้องเข้าใจก่อนว่า ปิโตรเลียมในชั้นดินนั้น ถ้าเป็นแหล่งแบบปกติทั่วไป จะมีกระบวนการในการเกิด เคลื่อนตัว และสะสม ของมันอยู่
โดยลึกลงไปใต้เปลือกโลก ในจุดที่มีการทับถมของสารอินทรีย์ในสภาพที่พอเหมาะ สารอินทรีย์เหล่านั้นจะแปรสภาพเป็นปิโตรเลียม
ซึ่งมันก็ไม่ได้อยู่เหมือนอยู่ในถ้ำโล่งๆ แต่จะเหมือนน้ำที่ซึมอยู่ในฟองน้ำ เพียงแต่ฟองน้ำนั้นเป็นหินที่มีความพรุนต่างๆ กัน
ในชั้นหินนี้ ทางนักธรณีเขาเรียกว่า หินต้นกำเนิด (Source Rock) ฝรั่งนักธรณีบางคนก็เรียกว่า Kitchen
ทีนี้ การเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดการชนกันของเปลือกโลก สร้างให้เกิดรอยแยก รอยแตก การยกตัว โก่งตัว ของชั้นหินเป็นลักษณะต่างๆ ถ้าหากพวกรอยแตก รอยแยกเหล่านี้ มันไปตัดผ่าน Kitchen เข้า ปิโตรเลียมในชั้นนั้นมันก็จะเคลื่อนตัว (ฝรั่งเรียก Migrate) ออกมาได้
จะออกมามากน้อยแค่ไหน บอกยาก แล้วแต่ลักษณะชั้นหิน สภาพของปิโตรเลียม ฯลฯ
แรงดันในเปลือกโลก จะดันให้ปิโตรเลียมที่เคลื่อนตัวไปตามรอยแยกนี้เคลื่อนขึ้นมาสู่ระดับที่ตื้นขึ้น และถ้าสภาพเหมาะสม มีชั้นหินที่ปิโตรเลียมผ่านไม่ได้ปิดไว้ ก็จะเกิดเป็นแหล่งกักเก็บขึ้นมา (Reservoir) ซึ่งแต่ละแหล่งก็จะมีขนาดต่างๆ กันไป แต่ถ้าหากว่าปิโตรเลียมไหลขึ้นมาได้โดยไม่ติดอะไร ก็อาจจะขึ้นมาถึงผิวดินได้เหมือนกัน เหมือนอย่างในบางประเทศที่ผุดขึ้นมาเป็นบ่อ tar pit
ในแหล่งปกติทั่วไปนั้น ปิโตรเลียมที่ติดอยู่ใน reservoir ก็อาจจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไป บางแหล่งก็เป็นก๊าซ บางแหล่งก็เป็นน้ำมันดิบ
เท่าที่เคยทราบ ในอเมริกานั้น reservoir อยู่ในระดับที่ตื้นกว่าในพื้นที่ประเทศไทยมาก ในไทยมักจะต้องเจาะลงไปไม่น้อยกว่า 1000-1500 เมตร
แต่ในอเมริกา บางแหล่งแค่ไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว
การเกิดเป็น Oil Sand เข้าใจว่าน่าจะเกิดจากการ migrate ที่มาหยุดในชั้นที่เป็นหินทราย และปิโตรเลียมผสมตัวเข้าได้เยอะ อยู่ในระดับตื้น
ที่เคยได้ยินมาคือ จริงๆ แล้วการค้นพบ oil sand นี่มีมานานแล้ว เพียงแต่กระบวนการที่ใช้ในการแยกน้ำมันออกมาจากหินทรายนั้นค่าใช้จ่ายสูง ค่าบำรุงรักษาสูง จนทำให้ในยุคก่อนนี้ ตอนที่น้ำมันดิบราคาบาร์เรลนึงไม่กี่สิบดอลลาร์ มันไม่คุ้มที่จะผลิตขึ้นมา
แต่พอปัจจุบัน ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมาเป็นบาร์เรลละร่วมร้อยดอลลาร์ มันทำให้คุ้มทุนขึ้นมาได้ ก็เลยเริ่มมีการผลิตกันขึ้นมาครับ
แสดงความคิดเห็น
รบกวนผู้รู้เกี่ยวกับปิโตรเลี่ยมเข้ามาตอบทีครับ
จึงเกิดคำถามขึ้นแล้วแล้วก็ลองนึกย้อนดูเกี่ยวกับเรื่องนี้ในสมัยเรียนก็นึกไม่ออกแค่รู้สึกเหมือนเคยได้ยินเลยลองใช้อาจาร์ย กู๋ ค้นหาดู ปรากฏว่า บทความภาษาไทยหรือที่ถูกแปลไทยมาไม่มีการให้ความเข้าใจในการเกิดขึ้นของทรายน้ำมันอย่างละเอียดเลย ซะทีเดียว ในขณะที่ บทความต่างชาติผมก็ยังไม่มีความรู้พอจะให้ Key word ในการค้นหาที่ต้องการได้ ซึงทำให้ไม่ได้คำตอบของคำถามที่อยู่ในใจ
คำถามมีอยู่ว่า
1.การเกิดขึ้นของทรายน้ำมันนั้น เกิดจากอะไร แต่กต่างหรือเหมือนหินน้ำมันและปิโตรเลี่ยมอย่างอื่นที่เป็นของเหลวอย่างไร
2.ลักษณะการเกิดต่างกันหรือไม่อย่างไร
3.ในกรณีของที่อัลเบอร์ต้า ผมเข้าใจถูกหรือไม่ว่า ทรายน้ำมันที่นั่น เกิดจากน้ำมันดิบเหลวใต้พิภพดันออกมาซึมอยู่กับดินทราย ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าใต้ผิวดินที่ลึกลงไปมากๆก็ต้องมีปริมาณน้ำมันดิบเหลวที่มากมายจนดันออกมายังผิวดินที่อยู่ไม่ลึกมากและกินพื้นที่เป็นบริเวนกว่าง
4.เป็นไปได้อย่างไรหรือไม่ที่การเกิดขึ้นของบิทูเมนที่จับตัวกับโคลนทรายเกิดขึ้นได้บนผิวดินที่มีความลึกไม่มากดังเช่นอัลเบอต้า หากเป็นเช่นนั้นแสดงว่าที่เรียนมาว่าการเกิดขึ้นของน้ำมันดิบต้องเป็นไปภายใต้ความกดดัน/อุณภูมิและเวลานาน ก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เช่นอาจเกิดได้ในสภาวะความกดดันและการทับถมที่ไม่สูงมากนักหรือสภาวะอุณหภูมิดังที่เคยคาดกันไว้
5.กรณีของรัฐอัลเบอต้าที่มีการค้นพบขึ้นเป็นบริเวณกว้างแบบนั้น ในอดีตมีการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกหรือการค้นพบอะไรบ้าง มีรายระเอียดอย่างไรที่ทำให้เกิดทรายน้ำมันปริมาณมากถึงขนาดนั้น อ่านจากบางข่าวบอกว่า บางแหล่งชั้นทรายน้ำมันจากผิวหน้ามีความลึกถึง 60 เมตรซึ่งสามารถใช้การตักขุดไปย่อยเพื่อทำละลายต่อไปได้เลย
เอาเท่านี้ก่อนครับช่วยผมถกหน่อย แล้วจะมาถามต่อเพราะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เยอะเหลือเกิน หาอ่านดูมีแต่เรื่องของ หินน้ำมันซึ่งมันเป็นชั้นดิน ไม่ใช่ทราย
สรุปโดยรวมคือ อยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ บิทูเมน(ในไทยกลายเป็นว่ามันเป็นวัสดุราดพื้นถนนซะงั้น) เคโรเจน ในด้าน การเกิด ความแตกต่าง ลักษณะการมีอยู่ และองค์ประกอบทางชีวภาพและกายภาพที่ดีกว่าหรือด้อยกว่าทางเคมีเมื่อเปรียบเทียบน้ำมันดิบเหลว เอาง่ายๆผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกะสิ่งนี้ทั้งหมดเลยแหละครับ แหะๆ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบครับ