"ในเมื่อเขาไม่มีจุดอ่อน เราก็โจมตีเข้าที่จุดแข็งนี่ละ" โค้ชอ๊อต กล่าวไว้อย่างเท่ๆที่โต๊ะกินข้าวของวันนี้ ซึ่งตัวผมเองที่นั่งฟังก็สตั๊น (หยุดชะชัก) ไปประมาณ 3 วินาที พร้อมกับงืมงำในใจว่า ที่ว่าโจมตีจุดแข็งนี่โจมตียังไงหว่า ?
โค้ชอ๊อต ผู้ฝึกสอนของทีมวอลเลย์บอลขวัญใจมหาชน บ่อยครั้งที่ได้อยู่กับแก โค้ชอ๊อตมักจะพูดลอยๆขึ้นมาให้ผมได้คิด บางทีแกก็จะเล่าเรื่องต่างๆของทีมให้ได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอดีตและในชั่วเวลาปัจจุบัน ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อการทำงานผมอย่างมากในการทำจะนำมาเสนอต่อให้กับผู้อ่านได้ทราบ
แต่....ทุกครั้งที่โค้ชอ๊อตพูด ผมไม่กล้าที่จะจดหรือยกโทรศัพท์มากดบันทึก เพราะกลัวว่าจะดูเป็นการจับผิด หรือ ดูเหมือนจงใจเกินไป ผมเลือกที่จะจำและ ให้บทสนทนามันได้ทำงานของมันอย่างเต็มที่ หาถามผมว่าจำได้หมดไหม ตอบตรงๆเลยว่า "ไม่หมด" ครับ เพราะแต่ละเรื่องค่อนข้างยาวมาก
พี่ๆน้องๆ เคยได้ยินหรือรู้จัก "บัตรผู้ป่วยอนาถา" ไหมครับ?? .... ผมคนนึงละไม่เคยได้ยินครับ เพิ่งจะมาได้ยินก็ตอนที่แกเล่าเรื่องอดีตให้ฟังว่า สมัยก่อนในตอนที่ทำวอลเลย์บอลนั้น มันไม่ครบทุกด้านเหมือนทุกวันนี้ งบประมาณที่ทำมันก็น้อย จะทำไรทีก็ลำบาก สมัยทำวอลเลย์บอลรุ่นแรกๆ งบในการทำมีแค่น้อยนิด แตกต่างกับต่างประเทศที่มีงบในการทำทีมสูง โค้ชอ๊อตเล่าต่อว่า นักกีฬาที่ติดทีมชาติทุกวันนี้อย่าง วรรณา บัวแก้ว และ วิลาวัณย์ อภิญญาพงษ์ เคยทำบัตรผู้ป่วยอนาถามาแล้ว เพื่อที่จะได้เข้าไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล
ตัดมาประโยชน์ที่ โค้ชอ๊อต ได้พูดถึงการแข่งขันวอลเลย์บอลเวิลด์กรังปรีซ์ในครั้งนี้ เมื่อต้องเจอกับทีมเกาหลีใต้ ที่ถือว่าเป็นทีมที่แข็งแกร่งอีกทีม และ ยังมีอาวุธหนักอย่าง "คิม ยอนคุง" ดาวตบมาดเท่ว่า "ในเมื่อเขาไม่มีจุดอ่อน เราก็โจมตีเข้าที่จุดแข็งนี่ละ" หลังจากพูดเสร็จโค้ชอ๊อตก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนที่จะอธิบายให้ผมเข้าใจ
"จริงๆแล้วทุกทีมจะมีจุดอ่อน แต่หากทีมไหนจุดอ่อนหายาก ก็มองไปที่จุดแข็งของเขา ยกตัวอย่างถ้าเกาหลีมี คิม เราก็โจมตีไปที่คิมให้หนัก ไม่ว่าจะเสิร์ฟใส่ ตบใส่ให้บล็อค และตามบล็อคให้ดี เพื่อให้เขาได้ออกแรงเล่นเยอะที่สุด ซึ่งวิธีแบบนี้เราใช้มาตลอด และ นักกีฬาในทีมก็รู้จักวิธีนี้กันเป็นอย่างดี " นี่คือประโยคที่โค้ชอ๊อตพูด
แต่หากมองความเป็นจริงไปด้วยแล้ว สิ่งนึงที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้ก็คือ "ทีมเราเอง" เมื่อมองย้อนกลับไปดีๆ จะเห็นว่าการแข่งขันในปีนี้มีเวลารวมทีมน้อยมากๆ โค้ชทำงานกันลำบาก เพราะมีเวลาให้เตรียมตัวจริงๆเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้นักกีฬาก็ติดรับใช้ต้นสังกัดกันหลายคน ไหนจะนักกีฬาตัวหลักที่เจ็บ ต้องฟื้นฟูสภาพร่างกาย
โค้ชอ๊อต อธิบายให้ทราบอีกว่า ไม่ใช่ว่าเราทำงานกันไม่ได้ เราทำได้แต่ว่าก็ต้องมาดูว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว ผลสำเร็จมันสอดคล้องกันหรือป่าว และ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรามีเท่านี้ เราจะได้กลับมาเท่าไร???? ....บทสนทนาเริ่มเครียด ผมขอตัดเข้าโฆษณาก่อนดีกว่า.....
เธอชื่อเจนน่าครับ เลซองประจำทีม เธอเป็นชาวเกาหลี อายุนี่ผมไม่ทราบครับ แต่คาดว่าน่าจะไม่เกิน 20 ปีแน่ๆ เธอเป็นคนยิ้มเก่ง และ สิ่งที่นักกีฬาในสนามงงตอนที่ซ้อมกันอยู่ คือเธอหายตัวไปแล้วกลับมาพร้อมกับใส่เสื้อทีมชาติไทย แต่ผมไม่สนว่าเธอเอามายังไงแล้วครับ เพราะเมื่อใส่แล้วก็ดูน่ารักกกกไปอีกแบบ ..... หมดเวลาโฆษณาแว้ว (รูปเธอดูได้ใต้เม้นครับ )
กลับมาเรื่องทีมครับ ผมขอโดดข้ามมาหลังอาหารค่ำเลยดีกว่า เมื่อโค้ชอ๊อตปล่อยให้นักกีฬาได้แยกย้ายไปเดินเล่นรอบๆโรงแรมได้ ซึ่งรอบๆโรงแรมก็มีห้างพร้อมกับร้านค้าต่างๆมากมาย รวมไปถึงร้านสตาร์บัคที่นักกีฬาโปรดปรานเหลือหลาย ผมเองก็ได้เดินเล่นๆไปกับ 2 สาว แป้น-เพียว เหมือนกับที่เธอเคยพาผมเดินเล่นที่ประเทศญี่ปุ่น เพียงแต่ครั้งนี้เราต่างก็ได้มาที่เกาหลีเป็นครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเราใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินๆ ได้น้ำปั่นจากสตาร์บัคมาเดินดูดๆกันคนละแก้ว แล้วน้องแป้นก็เดินนำไปดูเครื่องสำอางก่อนที่จะกลับเข้าที่พักกันรอคอยที่จะทำการซ้อมในวันต่อไป.......ให้ตายสิคำพูดของโค้ชอ๊อตทำผมคิดตามและอยากรู้ว่า สุดท้ายแล้วในปีนี้ด้วยองค์ประกอบของทีมไม่ได้สมบูรณ์มาก ผลของมันดีที่สุดแล้วจะออกมาเป็นอย่างไร.........อ่านต่อฉบับหน้า

Cr.เอก ประวิตร
บทความของเอก ประวิตรที่ได้คุยเรื่องราวต่าง ๆ กับโค้ชอ๊อตใน WGP 2014 และเรื่องราวในชีวิตของนักวอลเลย์บอล
โค้ชอ๊อต ผู้ฝึกสอนของทีมวอลเลย์บอลขวัญใจมหาชน บ่อยครั้งที่ได้อยู่กับแก โค้ชอ๊อตมักจะพูดลอยๆขึ้นมาให้ผมได้คิด บางทีแกก็จะเล่าเรื่องต่างๆของทีมให้ได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอดีตและในชั่วเวลาปัจจุบัน ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นประโยชน์ต่อการทำงานผมอย่างมากในการทำจะนำมาเสนอต่อให้กับผู้อ่านได้ทราบ
แต่....ทุกครั้งที่โค้ชอ๊อตพูด ผมไม่กล้าที่จะจดหรือยกโทรศัพท์มากดบันทึก เพราะกลัวว่าจะดูเป็นการจับผิด หรือ ดูเหมือนจงใจเกินไป ผมเลือกที่จะจำและ ให้บทสนทนามันได้ทำงานของมันอย่างเต็มที่ หาถามผมว่าจำได้หมดไหม ตอบตรงๆเลยว่า "ไม่หมด" ครับ เพราะแต่ละเรื่องค่อนข้างยาวมาก
พี่ๆน้องๆ เคยได้ยินหรือรู้จัก "บัตรผู้ป่วยอนาถา" ไหมครับ?? .... ผมคนนึงละไม่เคยได้ยินครับ เพิ่งจะมาได้ยินก็ตอนที่แกเล่าเรื่องอดีตให้ฟังว่า สมัยก่อนในตอนที่ทำวอลเลย์บอลนั้น มันไม่ครบทุกด้านเหมือนทุกวันนี้ งบประมาณที่ทำมันก็น้อย จะทำไรทีก็ลำบาก สมัยทำวอลเลย์บอลรุ่นแรกๆ งบในการทำมีแค่น้อยนิด แตกต่างกับต่างประเทศที่มีงบในการทำทีมสูง โค้ชอ๊อตเล่าต่อว่า นักกีฬาที่ติดทีมชาติทุกวันนี้อย่าง วรรณา บัวแก้ว และ วิลาวัณย์ อภิญญาพงษ์ เคยทำบัตรผู้ป่วยอนาถามาแล้ว เพื่อที่จะได้เข้าไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาล
ตัดมาประโยชน์ที่ โค้ชอ๊อต ได้พูดถึงการแข่งขันวอลเลย์บอลเวิลด์กรังปรีซ์ในครั้งนี้ เมื่อต้องเจอกับทีมเกาหลีใต้ ที่ถือว่าเป็นทีมที่แข็งแกร่งอีกทีม และ ยังมีอาวุธหนักอย่าง "คิม ยอนคุง" ดาวตบมาดเท่ว่า "ในเมื่อเขาไม่มีจุดอ่อน เราก็โจมตีเข้าที่จุดแข็งนี่ละ" หลังจากพูดเสร็จโค้ชอ๊อตก็ยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนที่จะอธิบายให้ผมเข้าใจ
"จริงๆแล้วทุกทีมจะมีจุดอ่อน แต่หากทีมไหนจุดอ่อนหายาก ก็มองไปที่จุดแข็งของเขา ยกตัวอย่างถ้าเกาหลีมี คิม เราก็โจมตีไปที่คิมให้หนัก ไม่ว่าจะเสิร์ฟใส่ ตบใส่ให้บล็อค และตามบล็อคให้ดี เพื่อให้เขาได้ออกแรงเล่นเยอะที่สุด ซึ่งวิธีแบบนี้เราใช้มาตลอด และ นักกีฬาในทีมก็รู้จักวิธีนี้กันเป็นอย่างดี " นี่คือประโยคที่โค้ชอ๊อตพูด
แต่หากมองความเป็นจริงไปด้วยแล้ว สิ่งนึงที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้ก็คือ "ทีมเราเอง" เมื่อมองย้อนกลับไปดีๆ จะเห็นว่าการแข่งขันในปีนี้มีเวลารวมทีมน้อยมากๆ โค้ชทำงานกันลำบาก เพราะมีเวลาให้เตรียมตัวจริงๆเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้นักกีฬาก็ติดรับใช้ต้นสังกัดกันหลายคน ไหนจะนักกีฬาตัวหลักที่เจ็บ ต้องฟื้นฟูสภาพร่างกาย
โค้ชอ๊อต อธิบายให้ทราบอีกว่า ไม่ใช่ว่าเราทำงานกันไม่ได้ เราทำได้แต่ว่าก็ต้องมาดูว่าสิ่งที่ทำไปแล้ว ผลสำเร็จมันสอดคล้องกันหรือป่าว และ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรามีเท่านี้ เราจะได้กลับมาเท่าไร???? ....บทสนทนาเริ่มเครียด ผมขอตัดเข้าโฆษณาก่อนดีกว่า.....
เธอชื่อเจนน่าครับ เลซองประจำทีม เธอเป็นชาวเกาหลี อายุนี่ผมไม่ทราบครับ แต่คาดว่าน่าจะไม่เกิน 20 ปีแน่ๆ เธอเป็นคนยิ้มเก่ง และ สิ่งที่นักกีฬาในสนามงงตอนที่ซ้อมกันอยู่ คือเธอหายตัวไปแล้วกลับมาพร้อมกับใส่เสื้อทีมชาติไทย แต่ผมไม่สนว่าเธอเอามายังไงแล้วครับ เพราะเมื่อใส่แล้วก็ดูน่ารักกกกไปอีกแบบ ..... หมดเวลาโฆษณาแว้ว (รูปเธอดูได้ใต้เม้นครับ )
กลับมาเรื่องทีมครับ ผมขอโดดข้ามมาหลังอาหารค่ำเลยดีกว่า เมื่อโค้ชอ๊อตปล่อยให้นักกีฬาได้แยกย้ายไปเดินเล่นรอบๆโรงแรมได้ ซึ่งรอบๆโรงแรมก็มีห้างพร้อมกับร้านค้าต่างๆมากมาย รวมไปถึงร้านสตาร์บัคที่นักกีฬาโปรดปรานเหลือหลาย ผมเองก็ได้เดินเล่นๆไปกับ 2 สาว แป้น-เพียว เหมือนกับที่เธอเคยพาผมเดินเล่นที่ประเทศญี่ปุ่น เพียงแต่ครั้งนี้เราต่างก็ได้มาที่เกาหลีเป็นครั้งแรกด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งเราใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินๆ ได้น้ำปั่นจากสตาร์บัคมาเดินดูดๆกันคนละแก้ว แล้วน้องแป้นก็เดินนำไปดูเครื่องสำอางก่อนที่จะกลับเข้าที่พักกันรอคอยที่จะทำการซ้อมในวันต่อไป.......ให้ตายสิคำพูดของโค้ชอ๊อตทำผมคิดตามและอยากรู้ว่า สุดท้ายแล้วในปีนี้ด้วยองค์ประกอบของทีมไม่ได้สมบูรณ์มาก ผลของมันดีที่สุดแล้วจะออกมาเป็นอย่างไร.........อ่านต่อฉบับหน้า
Cr.เอก ประวิตร