ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่สร้างกำไรชีวิตได้ แม้จะไม่มีต้นทุนชีวิต

ล็อคอินนี้เป็นของสามีค่ะ เราเขียนประสบการณ์ช่วงชีวิตช่วงนึงของเค้าขึ้นมา เพื่อหวังว่าจะเป็นหนึ่งกำลังใจสำหรับคนที่ท้อแท้ และสิ้นหวัง


   แรกเลยเราเองก็ทราบมาบ้างว่าชีวิตในวัยเด็กของสามีผ่านความยากลำบากมาไม่น้อย แต่ไม่เคยลงลึกถึงรายละเอียดมากนัก แต่พอที่ได้คุยกับเค้า สอบถามรายละเอียดการดำเนินไปของชีวิตช่วงที่ยากลำบาก เพื่อที่จะนำมาเรียบเรียงเป็นข้อความ แบ่งปันเป็นประสบการณ์ให้ท่านอื่นๆ  เราเองถึงกับอึ้ง ทึ่ง ภูมิใจ และรักสามีมากขึ้นทีเดียว


   เรื่องทุกอย่างเริ่มต้นมาจากการที่เราได้อ่านเรื่องราวของสมาชิกพันทิพย์ท่านนึงที่ได้เล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตกับเงิน 800 บาท ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ เราได้เล่าสู่ประสบการณ์ดีๆของเค้าให้กับสามีได้ฟัง ว่านี่คืออีกหนึ่งในแบบอย่างที่ดีสำหรับคนที่สู้ชีวิต และทุกครั่งที่เราและสามีได้พูดคุยถึงเรื่องนี้ สุดท้ายจะจบลงที่ว่า เราจะเลี้ยงลูกทั้งสองคนอย่างไร ให้โตมาในสังคมแบบเป็นคนดีพร้อมทั้งมีวัคซีนชีวิตติดตัว… แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆที่เราเคยเล่าให้เค้าฟัง สามีนั่งฟังอย่างเงียบๆไม่มีคำถาม ไม่มีคำพูดอะไรออกจากปาก หลังจากเล่าจบเราส่งลูกทั้งสองเข้านอน แล้วหลับไปพร้อมกับลูกๆตามปกติ


   อีกคืนถัดมา หลังจากที่ลูกๆเข้านอนกันหมดแล้ว สามีเราเริ่มต้นด้วยประโยคคำถามขึ้นมาว่า


สามี:      “ตะเอง…. ถ้าพี่จะไปหาคุณครูสมัยมัธยม ทำได้มั้ยอ่ะ”
เรา:       “อ้าว ! ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แล้วทำไมต้องไปหาอ่ะ มีไรรึเปล่า??
สามี:     “ก้อ เมื่อวานที่ตะเองเล่าให้พี่ฟังอ่ะ ที่เค้าใช้ชีวิตด้วยเงิน 800 นะ เลยทำให้นึกถึงตัวพี่เองขึ้นมา ตอนพี่ลำบากนี่มันสุดๆเลยนะ (พร้อมแสดงสีหน้า แววตาแบบโอ้อ้วด 5555)
เรา:      เวอร์ไปละเธอ … แล้วไง ตกลงว่าจะไปหาครูทำไมล่ะ?
สามี :   ก้ออยากไปขอบคุณครู เพราะว่าเมื่อก่อน ครูเคยเหลือข้าวให้กินทุกวันเลย
เรา:      เค้าเรียกแบ่งค่ะ แบ่ง… แบ่งข้าวไว้ให้ทาน  แหม…พูดซะเสียเลย เธอ


เราหัวเราะตาม พร้อมตั้งใจรับฟังที่สิ่งที่สามีกำลังจะพูดต่อไป


--------------------------------------------------------------------------


ขออนุญาติเล่าพื้นหลังของสามีนิดนึงก่อนค่ะ เพื่อให้เข้าใจเรื่องที่เค้ากำลังจะสื่อออกมาได้ดียิ่งขึ้น


   สามีพื้นเพเป็นคนต่างจังหวัดค่ะ แต่ก็ไม่ห่างจากกรุงเทพมากนัก คุณพ่อมี ภรรยา  2 คน และเค้าเป็นลูกของภรรยาคนที่ 2 จากบรรดาลูกๆทั้งหมดมากกว่า 10 กว่าคน ซึ่งเค้าเป็นลูกหลงคนเล็กสุดของบ้าน บ้านนี้เค้าอยู่ร่วมกันค่ะ คุณแม่ของสามีเค้ามีหน้าที่เป็นแม่บ้าน ดูแลลูกๆให้แม่ใหญ่ (ภรรยาคนแรก) และคุณพ่อทำงานรับจ้าง แม่ใหญ่ค้าขาย บรรยากาศภายในบ้านเหมือนจะดีที่มี พ่อ แม่ แม่ ได้อยู่ร่วมกัน แต่ความเป็นจริงมันไม่เป็นเช่นนั้น พ่อ แม่ ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ ความหึงหวงระหว่างภรรยาทั้งสองคน มีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ สุดท้ายแม่ใหญ่ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก เหลือลูกๆอยู่กับพ่อและแม่เล็กให้ช่วยดูแล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกแตกแยกกันของลูกๆทั้งบ้านใหญ่และบ้านเล็ก
   

   ในวัยเด็กของเค้า ถูกเลี้ยงดูมาแบบเหินห่าง จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าเค้าไม่ได้รับความรักจากพ่อเท่าไรนัก….. พ่อไม่เคยกอด….. พ่อไม่เคยหอม…….ไม่เคยชื่นชมยินดี แม้ว่าจะทำตัวดีหรือเรียนได้เกรดดีแค่ไหน……. พ่อมีแต่ดุ….. ว่า…… และด่า เป็นเรื่องปกติที่เค้าและพี่ๆร่วมมารดาได้รับ แต่ในขณะเค้าเองมีความรู้สึกว่าลูกของอีกบ้าน มักได้รับสิ่งดีๆที่พ่อหยิบยื่นมาให้เสมอ

   
------------------------------------------------------------------------


  สามีเริ่มต้นเล่าตั้งแต่ช่วงชีวิตในวัยเด็กของเค้า  ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่สู้ดีนัก ลูกๆจึงได้เข้าเรียนระดับประถมในโรงเรียนวัดแห่งหนึ่งใกล้บ้านซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ไม่ต้องเสียค่าเทอม ค่าใช้จ่ายมีเพียงค่าอาหารและค่าอุปกรณ์การเรียนเท่านั้น สามีจะได้เงินค่าขนมไปวันละ 1 นาท ซึ่งเพียงพอสำหรับการซื้ออาหาร 1 มื้อในตอนกลางวัน ในช่วงนี้ยังถือว่าเป็นช่วงสบายของชีวิต ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องเหนื่อย หน้าที่ที่ต้องทำมีเพียงสิ่งเดียวคือตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเต็มที่ …….. แต่แล้วความสุข ความสบาย ก็อยู่กับเค้าได้ไม่นาน พ่อของสามีเริ่มมีอาการเจ็บป่วย ไม่สามารถทำงานหนักได้อีก รายได้ที่จุนเจือครอบครัวจึงเริ่มร่อยหลอและไม่พอใช้ ประกอบกับสามีได้ย้ายโรงเรียนจากชั้นประถม มาเป็นชั้นมัธยมในโรงเรียนอีกแห่งหนึ่งที่ห่างไกลจากบ้านออกไป


  ด้วยฐานะของทางบ้านตอนนี้ ไม่สามารถส่งให้เค้าเรียนอีกต่อไปได้ แต่เค้ายังคงมุ่งมั่นที่จะเรียนให้สูงที่สุดอยู่ เมื่อต้องการทำตามความฝันของตัวเอง ภาระหนักจึงต้องตกอยู่ที่เค้าด้วยการหารายได้ช่วงนอกเวลาเรียนเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษา เค้ารับจ้างทำงานทุกอย่างตามแต่ที่เด็กมัธยมจะสามารถทำได้และมีคนจ้างมา รับจ้างเข็นของในตลาด ช่วยแม่ค้าพ่อค้ายกของ หรือแม้แต่รับจ้างแบบกระสอบข้าวสาร ( ณ. จุดนี้ เราไม่แปลกใจเลย ถึงรูปร่างและส่วนสูงของเค้าที่ผ่านการทำงานหนักมามากมาย )


   ช่วงชีวิตช่วงนั้นถือเป็นช่วงชีวิตที่แย่มากช่วงหนึ่งของสามี ในแต่ละวัน เค้าไม่มีเงินพอสำหรับค่าอาหาร มีเพียงแค่เงิน 1 บาท ที่ยังได้รับเป็นค่าอาหารเท่ากับสมัยตอนเรียนประถม แต่ในขณะที่โรงเรียนปัจจุบันนี้ค่าใช้จ่ายต่างออกไป ก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 บาทแล้ว ซึ่งเค้าเองมีเงินพอสำหรับซื้อขนมเพียง 1 ถ้วยในราคา 1 บาท เพื่อประทังความหิวเท่านั้น และก็ไม่ได้มีทุกวันที่ได้ทานขนม ถ้าวันไหนต้องเจียดเงินไปซื้ออุปกรณ์การเรียน วันนั้นก็ต้องอดข้าวไป ช่วงพักกลางวันหรือระหว่างเรียนเวลาหิว ก็ต้องดื่มน้ำเปล่าเข้าไปมากๆเพื่อให้หายหิวจะได้อดทนเรียนต่อไปได้


  ช่วงพักกลางวันเค้าจะมองดูเพื่อนๆเดินแถวไปที่โรงอาหารเพื่อซื้ออาหารและขนมทานอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ตัวเค้าเองได้แต่แอบดูอยู่ห่างๆ บางวันอาหารที่เฝ้ามองนั้นมีน่าตาที่น่ากินพร้อมกลิ่นอาหารที่ยั่วยวนซะเหลือเกินแต่ก็ต้องอดทน วันไหนที่มีเงินกินขนมได้ ก็จะไปซื้อขนมนำมานั่งทานพร้อมเพื่อนๆที่กำลังทานข้าวอยู่ และหากเพื่อนถามถึงข้าวกลางวันของเค้า ก้อมักจะบ่ายเบื่ยงไปว่าเค้าทานเรียบร้อยแล้ว หรือไม่เค้าก็ไม่หิวเสมอ เหตุการณ์วนเวียนเช่นนี้อยู่นานจนกระทั่งคุณครูพยาบาลท่านหนึ่งสังเกตุเห็น จึงได้ชักชวนให้มาทานอาหารด้วยกัน โดยคุณครูได้เจียดแบ่งอาหารไว้สำหรับเค้าทุกวัน ทำให้มื้อกลางวันของเค้าไม่มีความหิวโหยอีกต่อไป


   สามีเล่ามาถึงตรงนี้แล้วหยุดนิ่ง เสียงเริ่มเคลือๆ  (เรารอลุ้นให้เค้าแอบปาดน้ำเล็กน้อย  แบบว่าอยากเห็นมุมอ่อนไหวบ้าง 555)  เค้าหยุดนิ่งเหมือนคิดอะไรซักครู่ แล้วเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองต่อ


   สมัยเค้าเรียนประถมและมัธยม เค้ามีผลการเรียนดีมาก (น้ำเสียงเล่าแบบภาคภูมิใจแกมน่าหมั่นไส้นิดหน่อย 5555) ระดับการเรียนของเค้าจะอยู่ที่ 5 คนแรกของโรงเรียนเสมอ และในการประกาศผลสอบชื่อของเค้าจะถูกจารึกอยู่บนบอร์ดของโรงเรียนเป็นคนแรกๆ พอเล่าถึงตรงนี้ สามีเริ่มหยุดนิ่งไปอีกครั้ง แล้วก็เริ่มต้นด้วยการตัดพ้อ


สามี:     พี่นะ น้อยใจโรงเรียนมากเลย พี่เรียนดี แต่พี่จน ไม่มีเงินเรียน แต่ทำไมโรงเรียนเคยไม่ให้ทุนพี่เลย ส่วน I เพื่อนพี่อีกคนนะ แม่ม ไม่ตั้งใจเรียนเลย บ้านก้อมีฐานะ แต่ดันได้ทุนทุกปี … ไม่ยุติธรรมเลย
เรา:       แล้วได้ขอทุนไปมั้ยล่ะ
สามี :    เปล่าอ่ะ
เรา:       แล้วจะมาบ่นทำไม (ฟระ)
สามี :    อ้าว! ก้อมันไม่ยุติธรรมไง
เรา :     อ้าว! ก้อตัวเองไม่ได้ขอไป แล้วเค้าจะรู้ได้ไงอ่ะ ว่าใครฐานะดี ใครยากจนที่สมควรได้ทุนล่ะ?
สามี :    แต่ก้อไม่ยุติธรรมแหละ พี่ได้ทุนตอนปีสุดท้ายครั้งเดียวเอง แต่เป็นทุนเรียนดีนะ
เรา :     ก้อตะเอง ไม่ได้ขอไปไง (มานยังไม่จบ 5555)
สามี :   เนี่ย ตอนเรียนว่าลำบากแล้วนะ ตอนทำงานพี่ลำบากกว่านี้อีก
เรา :     เหรอๆ … ยังไงอ่ะ?!


    สามีเริ่มเล่าต่อ ว่าหลังจากที่เรียนจบ ม.3 ทางบ้านไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อ แต่สามีเราอยากเรียนต่อมาก เงินที่อดออมจากการไปทำงานพิเศษช่วงเรียนมัธยม นำมาซื้อใบสมัตรของสถาบันแห่งหนึ่ง แต่เงินที่สะสมมานี้เพียงพอเป็นแค่ค่าใบสมัครและค่าเดินทางเพื่อไปสอบเท่านั้น ภายหลังจากการสอบ ผลสอบก็เป็นไปตามคาด สามีเราสอบติด แต่ไม่มีเงินค่าเทอมที่จะไปลงทะเบียนเรียน


  หลังจากที่ทราบผลสอบและรู้ว่าตัวเองไม่สามารถเรียนได้ ทุกอย่างดูเหมือนดับวูบ ความฝันของเด็กคนหนึ่ง ที่ตั้งใจเรียนให้สูงที่สุดได้พังทลายลง สามีลองพยายามอีกครั้งด้วยการไปปรึกษาแม่เพื่อหาวิธีเพื่อที่จะได้เรียนต่อได้ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล ตัวแม่สามีเองก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เพราะแม่เองก็เป็นแม่บ้านไม่มีรายได้ที่จะสามารถช่วยลูกได้


   เมื่อไม่มีทางออกและไม่เหลือความหวัง เค้าจึงไม่สามารถเก็บความอัดอั้นตันใจและความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาได้อีกต่อไป น้ำตาของเด็กผู้ชายคนนั้นไหลออกมาอย่างหมดหวัง


“แม่!... ตี๋อยากเรียน”


สองคนแม่ลูกกอดกันร้องให้แม่พร่ำบอกขอโทษลูกทั้งน้ำตา ที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย


(อารมณ์ตอนนี้เป็นอะไรที่สะเทือนใจเรามาก คำพูดประโยคนี้ เราทราบมาจากพี่ชายของเค้า ที่เวลาพบเจอกัน พี่ชายเค้ามักจะเล่าเรื่องราวในอดีตของสามีเราให้เราฟังเสมอๆ ซึ่งเค้าเองก็ดูภูมิใจในน้องชายคนนี้ไม่น้อย ซึ่งเราได้ยินเค้าสอนลูกๆอยู่บ่อยๆว่าให้เจริญรอยตามน้าชายในความอดทน เพียรพยายามและเหนืออื่นใดคือ “รักการเรียน”)


  ขอไปปรับอารมณ์ก่อนนะคะ มีเรื่องราวของสามีในช่วงวัยทำงานที่น่าสนใจอีกไม่แพ้กัน ขอเวลาไปนั่งพิมพ์ก่อนแล้วจะมาเล่าต่อนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่