"คิดดีแล้วเหรอจะซิ่วน่ะ?"
คำถามที่พ่อถามเมื่อหลายวันก่อนตอนนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวน้อยๆของข้าพเจ้า =[ ]=!! จนตอนนี้ต้องมานั่งคิดกับตัวเองว่า เออว่ะ เราคิดดีแล้วเหรอว่ะ
อันที่จริงเราก็ไม่ได้อยากจะซิ่วนะ เสียดายเวลา เสียดายเกรด แต่.....พอมานึกๆย้อนดู เราไม่ได้มีความสุขเลยกับที่เรียนอยู่ทุกวันนี้
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะว่าตอนม.ปลาย เราเป็นเด็กกิจกรรม เราค่อนข้างคาดหวังว่าพอเข้ามหาลัยเราต้องมีกิจกรรมเยอะแยะให้ทำเต็มไปหมด มีเพื่อนเยอะ ได้ใช้ชีวิตมหาลัยแบบเต็มที่คงจะสนุกมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆมันไม่ใช่อย่างที่คิดสักนิด....
มหาลัยที่เราอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่า เป็นมหาลัยที่เราไม่ได้อยากจะเข้าเลย! ย้ำไม่ได้อยากเข้า แต่พ่อให้เข้า...เพราะเห็นว่าลูกของหัวหน้าเรียนแล้วมันโอเค เราบอกพ่อไปนะ หลายรอบด้วยว่าเรามีม.ที่อยากเรียนอยู่แล้ว เป็นม.ที่เราอยากเข้าตั้งแต่อยู่ ป.4 คือฝันไว้นานมาก เข้าค่ายอะไรในช่วงม.ปลายก็ที่นี่ตลอด แต่พ่อก็ไม่ให้...จนเราเบื่อที่จะพูดด้วย พูดทีไรพ่อก็บอกเหมือนเดิมตลอด เราก็เลย เออ เข้าก็ได้ ทั้งๆที่ในใจก็ค้านอยู่นะแต่ก็เลือกที่จะมองข้าม...
ปรากฏว่าที่นี่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีร้านค้า ไม่มีร้านอาหารในแบบที่ม.ทั้งหลายควรจะมี เรียกได้ว่าเข้าขั้นกันดาลก็ยังได้....เราไม่ได้ดูถูกม.นะ เพราะนั่นเป็นอะไรที่เรารับได้ แต่การที่มหาลัยไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลยนี่สิทำให้เรารับไม่ได้...
หนึ่งปีที่เราเรียนอยู่มันเหมือนกับแค่ไปเรียน พอเรียนเสร็จก็กลับห้อง ไม่มีอะไรเลย จนทำให้เด็กกิจกรรมอย่างเราต้องถามตัวเองซ้ำๆทุกวัน ร้องไห้ทุกคืนว่า "นี่เหรอวะ ชีวิตมหาลัยที่มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต?" คือมันต้องเป็นแบบนี้ไปจนถึงสี่ปีเลยเหรอ?
เราตอบได้เลยว่า "เราไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่นอน"
เราเลยตัดสินใจที่จะบอกพ่อกับแม่ว่า ปีหน้า(เรียนจบปีสอง ขอเวลาทบทวนความรู้ใหม่ก่อน - -)จะซิ่วนะ ตอนแรกๆคล้ายๆกับว่าพ่อจะไม่เห็นด้วย แต่แม่ไม่มีปัญหานะ เพราะแม่รู้อยู่แล้วว่าเราไม่อยากเรียนที่นั่น เราอยากไปเรียนอีกที่นึงมากกว่า (บอกอีกนิด ที่ๆเราอยากเรียนน่ะ คือเป็นม.ที่มีสังคมมาก เพื่อนม.ปลายเราเรียนที่นั่นกันเยอะมาก มีกิจกรรมให้ทำจนเราอิจฉา) อืม...เราก็บอกไปใช่ม่ะ จนในที่สุดเหมือนพ่อจะทนไม่ไหวมั้งที่เห็นเราร้องไห้ทุกครั้งที่ไปส่งน้องเรียนมหาลัย(เรากับน้องอายุห่างกันแค่ปีนึง) ที่ร้องไห้ไม่ใช่อะไรนะ คือเราอิจฉาน้องที่ได้เรียนในที่ๆมันอยากเรียน ขนาดยังไม่ได้รายงานตัวนะ พี่คณะมันยังนัดไปรับร้อง ทำกิจกรรมเยอะแยะมากมายก่ายกอง จนต้องมานึกถึงตัวเอง เฮ้อออออ เศร้าว่ะ T^T
ผู้ใหญ่บางคนถึงขนาดพูดประชดเรานะ "เออ แปลกเน๊อะ คนอื่นเขาไม่อยากทำกิจกรรมเพราะกลัวเกรดตก แต่นี่อยากทำกิจกรรม ที่เรียนอยู่น่ะเกรดดีแล้วเหรอ" ฟังแล้วจี๊ดค่ะบอกเลย!! คือเราไม่ใช่คนเก่งนะ แต่เราก็ไม่ได้เรียนแย่อะไรขนาดนั้น (เห็นอย่างนี้เกรดก็ 3.5+ นะครัช แหม๋) เออนี่เป็นอีกประเด็นที่เราไม่เข้าใจพ่อเหมือนกัน ว่าทำไมพ่อชอบไปบอกคนอื่นว่าที่ไม่ให้เราเรียนที่ XX ซึ่งเป็นม.ที่เราอยากเรียนก็เพราะว่าคะแนนแอดฯเราไม่ถึง...
what?...อะไรคือคะแนนไม่ถึง คะแนนแอดเราก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนะ คือเข้าได้สบายๆ เกินมาหลายพัน แต่ทำไมต้องบอกคนอื่นแบบนั้น? ที่ไม่ได้เข้านี่เพราะพ่อไม่อยากให้ลงเองไม่ใช่เหรอ? เราก็งงนะ แม่ก็งง น้องก็งง ทำไมพูดแบบนี้ จนเราแอบร้องไห้เลยนะ
เราเข้าใจนะว่าพ่อหวังดีอยากให้เราเรียนในที่ๆไม่มีการแข่งขันมาก แต่...เป็นแบบนี้มันก็ไม่ไหวป่ะ? ได้เรียนมหาลัยแค่ครั้งเดียวแต่กลับมีแค่เรียนแล้วก็กลับหอ คือมันใช่ป่ะ? ตอนแรกๆที่ไปเรียนที่นั่นคือเราซึมไปเลย....ไม่เอาเพื่อน ไม่เอาอะไรทั้งนั้น จนทุกวันนี้ก็มีเพื่อนที่พอคุยได้ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ... หลายคนอาจบอกว่า เออ ก็ทำตัวเองนี่หว่า... นั่นก็ถูก แต่เราก็ไม่อยากไปข้องเกียวกับ "เพื่อน" อีกแบบที่นี่ ที่พอมีสอบทีไรก็ค่อยมาคุยกับเรา หวังให้เราติวให้ ( ขอบ่นหน่อยนะเรื่องติว คำว่า "ติว" ในความหมายที่เราเข้าใจคือ ไปนั่งอ่านด้วยกัน ช่วยกันแก้ไข ช่วยกันคิดปัญหาที่เราเรียนไม่เข้าใจใช่ป่ะ? แต่ทำไมคนที่มหาลัยนี้ถึงเข้าใจว่าการติว คือการที่ให้คนๆนึงมานั่งสอนใหม่ตั้งแต่ต้นยันจบ เหมือนกับเป็นครูสอนพิเศษส่วนตัว...จำได้เลยวันนั้นมีสอบเศรษฐศาสตร์ ทั้งคนที่รู้จักไม่รู้จักโทรมาหาเรา เอาเบอร์มาจากไหนไม่รู้ คือโทรมาบอกให้เราติวให้ เราก็เออใจอ่อนไง ติวให้ ตอนแรกก็เหวอๆเอ่าที่นี่ติวกันงี้เหรอวะ? แล้วไม่ได้มีมาคนเดียว รอบเดียวนะ ต่างคนต่างมา วันนั้นพูดซ้ำเรื่องเดิมๆเกือบสิบห้ารอบยันตีสามของวันสอบ ทั้งๆที่มีสอบตอนแปดโมงเช้า คือให้ติวแบบไม่เกรงใจเลยว่าคนที่พูดอย่างเรานี่จะเป็นยังไง คือเจ็บคอมาก...พอบอกว่า พูดแค่นี้นะ ที่เหลือก็ไปอ่านเอง คือไม่ไหวแล้ว....แต่คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นว่า เห้ย..พูดต่อหน่อยน่า เราก็เราสอบไม่ได้.... เออคือเข้าใจไง แต่ตีสามแล้ว เสียงแหบหมดแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องทนพูดจนจบกว่าจะเสร็จก็เกือบหกโมงเช้า หลังจากนั้นมาเข็ดมา ปฏิเสธอย่างเดียว ไม่อ่อนละ คิดในแง่ดีคือเราได้ทบทวนตัวเองด้วย แต่ถ้าทวนแบบนี้เดี๊ยนขอบายฮ่ะ!!)
เราอาจจะเรื่องมากไปเองนะ แต่เราไม่ไหวจริงๆอ่ะ
เลยอยากจะออกจากที่นี่ ไปเรียนในที่ๆเราอยากเรียน บอกเลยว่าถึงย้ายไปก็เรียนคณะเดียวกัน แต่มันไม่เหมือนกันแน่นอนเราคิดว่างั้นนะ เพราะที่ใหม่ที่เราอยากไปเรียนคงให้ประสบการณ์ชีวิตเรามากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
เราเลยอยากขอความคิดเห็นอ่ะค่ะ ว่าเราคิดถูกรึเปล่าที่จะทำแบบนี้ มันดูไร้สาระนะ แต่พอเจอเข้าจริงเราไปไม่เป็นเลย มันเหมือนอยู่แบบตรอมใจ ไม่มีความสุขเลยอ่ะ T^T
## รบกวนนิดนึงค่ะ คืออยากทราบรายละเอียดของทุน ODOS ด้วยน่ะค่ะว่าเป็นยังไง คือถ้าเราอยากสมัครทุนเราต้องลาออกก่อนใช่รึเปล่าคะ เพราะว่ากว่าจะสมัครก็ตอนที่เรียนปีสอบจบแล้ว จะขึ้นปีสามแล้ว (กลัวเหมือนกันนะว่าถ้าไม่ได้แล้วจะทำยังไงต่อ TT) แล้วเราอยากไปเรียนที่อังกฤษด้วยค่ะ ใครพอจะอธิบายรายละเอียดให้ได้รึเปล่าคะ? จะเป็นพระคุณมาก /// ขอบคุณค่ะ
ระบาย!! จะซิ่วดีรึเปล่า? (ถามเรื่องทุน ODOS ด้วยนิดนึง >w< )
คำถามที่พ่อถามเมื่อหลายวันก่อนตอนนี้ยังคงก้องอยู่ในหัวน้อยๆของข้าพเจ้า =[ ]=!! จนตอนนี้ต้องมานั่งคิดกับตัวเองว่า เออว่ะ เราคิดดีแล้วเหรอว่ะ
อันที่จริงเราก็ไม่ได้อยากจะซิ่วนะ เสียดายเวลา เสียดายเกรด แต่.....พอมานึกๆย้อนดู เราไม่ได้มีความสุขเลยกับที่เรียนอยู่ทุกวันนี้
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะว่าตอนม.ปลาย เราเป็นเด็กกิจกรรม เราค่อนข้างคาดหวังว่าพอเข้ามหาลัยเราต้องมีกิจกรรมเยอะแยะให้ทำเต็มไปหมด มีเพื่อนเยอะ ได้ใช้ชีวิตมหาลัยแบบเต็มที่คงจะสนุกมาก แต่พอเอาเข้าจริงๆมันไม่ใช่อย่างที่คิดสักนิด....
มหาลัยที่เราอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่า เป็นมหาลัยที่เราไม่ได้อยากจะเข้าเลย! ย้ำไม่ได้อยากเข้า แต่พ่อให้เข้า...เพราะเห็นว่าลูกของหัวหน้าเรียนแล้วมันโอเค เราบอกพ่อไปนะ หลายรอบด้วยว่าเรามีม.ที่อยากเรียนอยู่แล้ว เป็นม.ที่เราอยากเข้าตั้งแต่อยู่ ป.4 คือฝันไว้นานมาก เข้าค่ายอะไรในช่วงม.ปลายก็ที่นี่ตลอด แต่พ่อก็ไม่ให้...จนเราเบื่อที่จะพูดด้วย พูดทีไรพ่อก็บอกเหมือนเดิมตลอด เราก็เลย เออ เข้าก็ได้ ทั้งๆที่ในใจก็ค้านอยู่นะแต่ก็เลือกที่จะมองข้าม...
ปรากฏว่าที่นี่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีร้านค้า ไม่มีร้านอาหารในแบบที่ม.ทั้งหลายควรจะมี เรียกได้ว่าเข้าขั้นกันดาลก็ยังได้....เราไม่ได้ดูถูกม.นะ เพราะนั่นเป็นอะไรที่เรารับได้ แต่การที่มหาลัยไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำเลยนี่สิทำให้เรารับไม่ได้...
หนึ่งปีที่เราเรียนอยู่มันเหมือนกับแค่ไปเรียน พอเรียนเสร็จก็กลับห้อง ไม่มีอะไรเลย จนทำให้เด็กกิจกรรมอย่างเราต้องถามตัวเองซ้ำๆทุกวัน ร้องไห้ทุกคืนว่า "นี่เหรอวะ ชีวิตมหาลัยที่มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต?" คือมันต้องเป็นแบบนี้ไปจนถึงสี่ปีเลยเหรอ?
เราตอบได้เลยว่า "เราไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นแน่นอน"
เราเลยตัดสินใจที่จะบอกพ่อกับแม่ว่า ปีหน้า(เรียนจบปีสอง ขอเวลาทบทวนความรู้ใหม่ก่อน - -)จะซิ่วนะ ตอนแรกๆคล้ายๆกับว่าพ่อจะไม่เห็นด้วย แต่แม่ไม่มีปัญหานะ เพราะแม่รู้อยู่แล้วว่าเราไม่อยากเรียนที่นั่น เราอยากไปเรียนอีกที่นึงมากกว่า (บอกอีกนิด ที่ๆเราอยากเรียนน่ะ คือเป็นม.ที่มีสังคมมาก เพื่อนม.ปลายเราเรียนที่นั่นกันเยอะมาก มีกิจกรรมให้ทำจนเราอิจฉา) อืม...เราก็บอกไปใช่ม่ะ จนในที่สุดเหมือนพ่อจะทนไม่ไหวมั้งที่เห็นเราร้องไห้ทุกครั้งที่ไปส่งน้องเรียนมหาลัย(เรากับน้องอายุห่างกันแค่ปีนึง) ที่ร้องไห้ไม่ใช่อะไรนะ คือเราอิจฉาน้องที่ได้เรียนในที่ๆมันอยากเรียน ขนาดยังไม่ได้รายงานตัวนะ พี่คณะมันยังนัดไปรับร้อง ทำกิจกรรมเยอะแยะมากมายก่ายกอง จนต้องมานึกถึงตัวเอง เฮ้อออออ เศร้าว่ะ T^T
ผู้ใหญ่บางคนถึงขนาดพูดประชดเรานะ "เออ แปลกเน๊อะ คนอื่นเขาไม่อยากทำกิจกรรมเพราะกลัวเกรดตก แต่นี่อยากทำกิจกรรม ที่เรียนอยู่น่ะเกรดดีแล้วเหรอ" ฟังแล้วจี๊ดค่ะบอกเลย!! คือเราไม่ใช่คนเก่งนะ แต่เราก็ไม่ได้เรียนแย่อะไรขนาดนั้น (เห็นอย่างนี้เกรดก็ 3.5+ นะครัช แหม๋) เออนี่เป็นอีกประเด็นที่เราไม่เข้าใจพ่อเหมือนกัน ว่าทำไมพ่อชอบไปบอกคนอื่นว่าที่ไม่ให้เราเรียนที่ XX ซึ่งเป็นม.ที่เราอยากเรียนก็เพราะว่าคะแนนแอดฯเราไม่ถึง...
what?...อะไรคือคะแนนไม่ถึง คะแนนแอดเราก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นนะ คือเข้าได้สบายๆ เกินมาหลายพัน แต่ทำไมต้องบอกคนอื่นแบบนั้น? ที่ไม่ได้เข้านี่เพราะพ่อไม่อยากให้ลงเองไม่ใช่เหรอ? เราก็งงนะ แม่ก็งง น้องก็งง ทำไมพูดแบบนี้ จนเราแอบร้องไห้เลยนะ
เราเข้าใจนะว่าพ่อหวังดีอยากให้เราเรียนในที่ๆไม่มีการแข่งขันมาก แต่...เป็นแบบนี้มันก็ไม่ไหวป่ะ? ได้เรียนมหาลัยแค่ครั้งเดียวแต่กลับมีแค่เรียนแล้วก็กลับหอ คือมันใช่ป่ะ? ตอนแรกๆที่ไปเรียนที่นั่นคือเราซึมไปเลย....ไม่เอาเพื่อน ไม่เอาอะไรทั้งนั้น จนทุกวันนี้ก็มีเพื่อนที่พอคุยได้ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ... หลายคนอาจบอกว่า เออ ก็ทำตัวเองนี่หว่า... นั่นก็ถูก แต่เราก็ไม่อยากไปข้องเกียวกับ "เพื่อน" อีกแบบที่นี่ ที่พอมีสอบทีไรก็ค่อยมาคุยกับเรา หวังให้เราติวให้ ( ขอบ่นหน่อยนะเรื่องติว คำว่า "ติว" ในความหมายที่เราเข้าใจคือ ไปนั่งอ่านด้วยกัน ช่วยกันแก้ไข ช่วยกันคิดปัญหาที่เราเรียนไม่เข้าใจใช่ป่ะ? แต่ทำไมคนที่มหาลัยนี้ถึงเข้าใจว่าการติว คือการที่ให้คนๆนึงมานั่งสอนใหม่ตั้งแต่ต้นยันจบ เหมือนกับเป็นครูสอนพิเศษส่วนตัว...จำได้เลยวันนั้นมีสอบเศรษฐศาสตร์ ทั้งคนที่รู้จักไม่รู้จักโทรมาหาเรา เอาเบอร์มาจากไหนไม่รู้ คือโทรมาบอกให้เราติวให้ เราก็เออใจอ่อนไง ติวให้ ตอนแรกก็เหวอๆเอ่าที่นี่ติวกันงี้เหรอวะ? แล้วไม่ได้มีมาคนเดียว รอบเดียวนะ ต่างคนต่างมา วันนั้นพูดซ้ำเรื่องเดิมๆเกือบสิบห้ารอบยันตีสามของวันสอบ ทั้งๆที่มีสอบตอนแปดโมงเช้า คือให้ติวแบบไม่เกรงใจเลยว่าคนที่พูดอย่างเรานี่จะเป็นยังไง คือเจ็บคอมาก...พอบอกว่า พูดแค่นี้นะ ที่เหลือก็ไปอ่านเอง คือไม่ไหวแล้ว....แต่คำตอบที่ได้กลับกลายเป็นว่า เห้ย..พูดต่อหน่อยน่า เราก็เราสอบไม่ได้.... เออคือเข้าใจไง แต่ตีสามแล้ว เสียงแหบหมดแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องทนพูดจนจบกว่าจะเสร็จก็เกือบหกโมงเช้า หลังจากนั้นมาเข็ดมา ปฏิเสธอย่างเดียว ไม่อ่อนละ คิดในแง่ดีคือเราได้ทบทวนตัวเองด้วย แต่ถ้าทวนแบบนี้เดี๊ยนขอบายฮ่ะ!!)
เราอาจจะเรื่องมากไปเองนะ แต่เราไม่ไหวจริงๆอ่ะ
เลยอยากจะออกจากที่นี่ ไปเรียนในที่ๆเราอยากเรียน บอกเลยว่าถึงย้ายไปก็เรียนคณะเดียวกัน แต่มันไม่เหมือนกันแน่นอนเราคิดว่างั้นนะ เพราะที่ใหม่ที่เราอยากไปเรียนคงให้ประสบการณ์ชีวิตเรามากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
เราเลยอยากขอความคิดเห็นอ่ะค่ะ ว่าเราคิดถูกรึเปล่าที่จะทำแบบนี้ มันดูไร้สาระนะ แต่พอเจอเข้าจริงเราไปไม่เป็นเลย มันเหมือนอยู่แบบตรอมใจ ไม่มีความสุขเลยอ่ะ T^T
## รบกวนนิดนึงค่ะ คืออยากทราบรายละเอียดของทุน ODOS ด้วยน่ะค่ะว่าเป็นยังไง คือถ้าเราอยากสมัครทุนเราต้องลาออกก่อนใช่รึเปล่าคะ เพราะว่ากว่าจะสมัครก็ตอนที่เรียนปีสอบจบแล้ว จะขึ้นปีสามแล้ว (กลัวเหมือนกันนะว่าถ้าไม่ได้แล้วจะทำยังไงต่อ TT) แล้วเราอยากไปเรียนที่อังกฤษด้วยค่ะ ใครพอจะอธิบายรายละเอียดให้ได้รึเปล่าคะ? จะเป็นพระคุณมาก /// ขอบคุณค่ะ