สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
Divergence เป็นการเตือนความขัดแย้งของทิศทางของราคา กับโมเมนตัม (ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงราคา ) ให้เรารู้ถึงความผิดปกติ ซึ่งเมื่อเกิดการเตือน Divergence แล้ว ราคาต้องปรับตัวไปตามทิศทางของโมเมนตัม ระยะหนึ่งเพื่อลดความผิดปกตินั้นระยะหนึ่ง ซึ่งในกรณีที่เกิดในช่วงที่ราคาเป็นขาขึ้นอยู่ เมื่อเกิดการตือน Bearish Divergence ขึ้นมาราคาจะต้องปรับตัวลงระยะหนึ่ง (อาจเป็นเพียงการพักตัวหรือปรับตัวจนเปลี่ยนแนวโน้มราคาก็ได้ ขึ้นกับว่าราคาในขณะนั้นปรับตัวจนเกิด ราคาต่ำสุด ต่ำกว่าครั้งก่อนหน้าหรือไม่ หรือราคาทำ lower low ก็จะบอกถึงแนวโน้มราคามีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ) เพื่อแก้ไขภาวะการขัดแย้งนั้น และเมื่อราคาปรับตัวไประยะหนึ่งแล้ว (ไม่มีใครรู้แน่นอน %การปรับตัวที่แน่นอนว่าราคาจะลงไปแค่ไหน ขึ้นกับ Demand & Supply ในขณะนั้นเป็นตัวตัดสิน ) หากแนวโน้มราคายังคงเป็นขาขึ้นต่อไป ราคาก็จะวิ่งกลับขึ้นมาทำ New high กว่าจุดสูงสุดก่อนหน้าได้อีกครั้ง จนกว่าความแข็งแรงของแนวโน้มราคาจะเปลี่ยนแปลงไปเป็น Sideway หรือเปลี่ยนเป็นขาลงต่อไป ....
ข้อกำหนดหนึ่งที่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ Classic หรือ Regular Divergence ที่นักเทคนิคจะนำมาใช้คือ บริเวณที่จะกำหนดเป็นจุดบอกว่าทิศทางราคากับโมเมนตัม เกิดความขัดแย้งนั้น ต้องเป็นบริเวณที่อยู่ใน Overbought หรือ Oversold area เท่านั้น จึงจะถือว่ามีนัยยะสำคัญ และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคา เพราะถือว่าเป็นบริเวณที่นักลงทุน(รายย่อย) เกิดความรู้สึกโลภ และรู้สึกกลัว และตัดสินใจด้วยอารมณ์ ขาดสติ และใช้เหตุผลน้อยลง ( แต่บริเวณ Overbought/Oversold ก็ไม่ได้หมายถึงว่าราคานั้นน่าขายหรือน่าซื้อ อย่างที่เข้าใจผิดกันมาก )
Momentum Oscillators มีหลายตัวที่เราสามารถนำมาใช้เตือน Divergence ได้ เช่น RSI STOCHASTIC CCI MFI ROC MACD แต่ MACD มีจุดด้อยคือไม่มีการกำหนด Overbought/Oversold Area เหมือนตัวอื่นๆ เพราะใช้บอกทั้ง Trend และบอก Momentum ในตัวเดียวกัน แต่ MACD ตัด 0 เป็นการบอก Trend ของราคา และ MACD ตัดเส้น Signal จะเป็นการบอกโมเมนตัม
หุ้นตัวแรกที่ถาม SAT ดูจากกราฟ จะเห็นว่า ทิศทางราคากับ RSI หรือ MACD จะไม่มีความขัดแย้งกัน จึงไม่พบ Bearish Divergence ในหุ้นตัวนี้

ส่วนตัวที่ 2 คือ IFEC จะพบการเกิด Bearish Divergence มา 2 ครั้งกับ RSI และ 1ครั้งกับ MACD ซึ่งแต่ละครั้งที่เกิด Bearish Dovergence นั้น ราคาก็จะปรับตัวลง (ไม่มาก ) แต่ราคาต่ำสุด (Low ) ยังยกสูงขึ้นกว่าครั้งก่อนหน้า ซึ่งหมายถึงแนวโน้มราคายังเป็นขาขึ้นต่อไป และราคาก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ ( Higher High ) ได้

หวังว่า ภาพทั้งสองภาพนี้ น่าจะช่วยให้เข้าใจเรื่อง Divergence กระจ่างขึ้นนะครับ
ข้อกำหนดหนึ่งที่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับ Classic หรือ Regular Divergence ที่นักเทคนิคจะนำมาใช้คือ บริเวณที่จะกำหนดเป็นจุดบอกว่าทิศทางราคากับโมเมนตัม เกิดความขัดแย้งนั้น ต้องเป็นบริเวณที่อยู่ใน Overbought หรือ Oversold area เท่านั้น จึงจะถือว่ามีนัยยะสำคัญ และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงราคา เพราะถือว่าเป็นบริเวณที่นักลงทุน(รายย่อย) เกิดความรู้สึกโลภ และรู้สึกกลัว และตัดสินใจด้วยอารมณ์ ขาดสติ และใช้เหตุผลน้อยลง ( แต่บริเวณ Overbought/Oversold ก็ไม่ได้หมายถึงว่าราคานั้นน่าขายหรือน่าซื้อ อย่างที่เข้าใจผิดกันมาก )
Momentum Oscillators มีหลายตัวที่เราสามารถนำมาใช้เตือน Divergence ได้ เช่น RSI STOCHASTIC CCI MFI ROC MACD แต่ MACD มีจุดด้อยคือไม่มีการกำหนด Overbought/Oversold Area เหมือนตัวอื่นๆ เพราะใช้บอกทั้ง Trend และบอก Momentum ในตัวเดียวกัน แต่ MACD ตัด 0 เป็นการบอก Trend ของราคา และ MACD ตัดเส้น Signal จะเป็นการบอกโมเมนตัม
หุ้นตัวแรกที่ถาม SAT ดูจากกราฟ จะเห็นว่า ทิศทางราคากับ RSI หรือ MACD จะไม่มีความขัดแย้งกัน จึงไม่พบ Bearish Divergence ในหุ้นตัวนี้

ส่วนตัวที่ 2 คือ IFEC จะพบการเกิด Bearish Divergence มา 2 ครั้งกับ RSI และ 1ครั้งกับ MACD ซึ่งแต่ละครั้งที่เกิด Bearish Dovergence นั้น ราคาก็จะปรับตัวลง (ไม่มาก ) แต่ราคาต่ำสุด (Low ) ยังยกสูงขึ้นกว่าครั้งก่อนหน้า ซึ่งหมายถึงแนวโน้มราคายังเป็นขาขึ้นต่อไป และราคาก็สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ ( Higher High ) ได้

หวังว่า ภาพทั้งสองภาพนี้ น่าจะช่วยให้เข้าใจเรื่อง Divergence กระจ่างขึ้นนะครับ
แสดงความคิดเห็น
รบกวนนักเทคนิค ช่วยดูการเกิด 3 เหลี่ยม ของ SAT ที่ macd และสัญญาณ DIVERGENT ที่ IFEC ว่าใช่ป่าวครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ