นักวิเคราะห์มองหุ้นไทยระยะสั้นเสี่ยงปรับฐาน50-100จุด แต่ระยะยาวมีลุ้นทำนิวไฮใหม่
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า มองว่าภาพของเศรษฐกิจโลกนั้นมองว่าหลายประเทศยังคงเสพติดมาตรการการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบทั้งในสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งแน่นอนว่ายังส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม แต่ในระยะยาวมีความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจโลก
"ปัจจุบันการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ เหมือนเป็นการเป่าลูกโป่ง ในระยะสั้น 1-2 ปีจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับขึ้นได้ในทิศทางเดียวกัน ระยะยาวลูกโป่งตลาดหุ้นโลกมีโอกาสที่จะแตกได้ เราจะได้สัญญาณจะเห็นว่าตลาดหุ้นเริ่มแตกนั้นคือราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นที่จะปรับตัวลดลงได้"
ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นยังคงเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยปัจจัยภายในประเทศของไทย หลายคนคาดหวังจะให้รัฐบาลเฉพาะกาลเน้นการลงทุนมากๆ แต่โดยส่วนตัวมองว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกาล น่าจะลงทุนตามกรอบงบประมาณประจำมากกว่า อีกทั้งปัจจัยภายในประเทศมีผลกระทบต่อภาวะตลาดเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องของดัชนีตลาดหุ้นทำให้มีความเสี่ยงต่อการปรับฐานในระยะสั้นประมาณ 50 -100 จุด โดยการปรับฐานดังกล่าวเป็นการลดลงเพื่อขึ้นต่อและทำจุดสูงสุดใหม่
สำหรับคำแนะนำการลงทุนมองว่า ตลาดหุ้นไทยหลายกลุ่มถูกเก็งกำไรทำให้ราคาขึ้นมาต่อเนื่อง เช่น หุ้นรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งหากจะลงทุนในกลุ่มดังกล่าวถือว่ามีความเสี่ยง และควรตั้งการจำกัดขาดทุนไว้ ส่วนหุ้นที่เราแนะนำให้ลงทุนคือหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากยอดพรีเซลที่ฟื้นตัวได้ดีในปลายไตรมาสที่ 2 และกลุ่มยานยนต์ ที่จะเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากหมดมาตรการรถยนต์คันแรก แต่จะได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการอีโคคาร์เฟส 2
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 เดือนนี้มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงมาอยู่ที่ระดับ 1,470 จุด จากปัจจัยความกังวลการยกเลิกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐ รวมทั้งแนวโน้มทิศทางขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ เป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก และอาจส่งผลทำให้กระแสเงินทุนที่เคยไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยไหลกลับออกไปได้
"การปรับฐานในระยะสั้นเรามองว่าน่าจะลงมาที่ 50-100 จุด ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,470 จุด ปัจจัยที่ยังกังวลเป็นเรื่องการถอนมาตรการคิวอี และทำให้ดอกเบี้ยของสหรัฐจะมีแนวโน้มขาขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจะดึงเงินทุนต่างชาติที่มีอยู่ในตลาดหุ้นทั่วโลกไหลกลับไปยังสหรัฐ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงในการปรับฐานระยะสั้น"
สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ในปี 2557 น่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2% ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีการเติบโตในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จากภาวะการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจ และการบริโภคภายในประเทศจะเป็นปัจจัยหลักในการผลักดัน ส่วนการลงทุนภาครัฐจะมีการเติบโตที่ชัดเจนในปี 2558 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ โดยดัชนีเป้าหมายในปีนี้จะอยู่ที่ 1,500 จุด ระดับราคาปิดกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ที่ 16 เท่า อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 2557 ถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นมา 19% ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในกลุ่มTIP (ไทย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์)
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นนั้น มองว่าจะเป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยาเท่านั้น เพราะการปรับลดมาตรการคิวอี และขึ้นอัตราดอกเบี้ย แสดงให้เห็นว่าภาพเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้แข็งแกร่ง และน่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นมากกว่า ส่วนเศรษฐกิจไทยนั้นน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้เป็นต้นไป ผลดีจากการขับเคลื่อนการลงทุนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
สำหรับการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (25 ก.ค.) การเคลื่อนไหวโดยรวมค่อนข้างทรงตัว โดยดัชนีปิดตลาดที่ 1,543.85 จุด ลดลง 0.07 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 53,139 ล้านบาท
น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ช่วงที่ตลาดไร้ปัจจัยใหม่ ด้านนักลงทุนจึงเน้นซื้อขายเก็งกำไรตามภาวะตลาดเป็นหลัก ซึ่งหลังจากต่างชาติทยอยซื้อสุทธิหนาแน่นไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ในระยะต่อไปอาจมีปริมาณเบาบางไปบ้างโดยประเมินแนวต้านที่ 1,550 จุด และแนวรับที่ 1,530 จุด
นักวิเคราะห์ชี้หุ้นไทยเสี่ยงปรับฐาน100จุด
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า มองว่าภาพของเศรษฐกิจโลกนั้นมองว่าหลายประเทศยังคงเสพติดมาตรการการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบทั้งในสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป ซึ่งแน่นอนว่ายังส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม แต่ในระยะยาวมีความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจโลก
"ปัจจุบันการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ เหมือนเป็นการเป่าลูกโป่ง ในระยะสั้น 1-2 ปีจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับขึ้นได้ในทิศทางเดียวกัน ระยะยาวลูกโป่งตลาดหุ้นโลกมีโอกาสที่จะแตกได้ เราจะได้สัญญาณจะเห็นว่าตลาดหุ้นเริ่มแตกนั้นคือราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นที่จะปรับตัวลดลงได้"
ส่วนตลาดหุ้นไทยนั้นยังคงเป็นทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยปัจจัยภายในประเทศของไทย หลายคนคาดหวังจะให้รัฐบาลเฉพาะกาลเน้นการลงทุนมากๆ แต่โดยส่วนตัวมองว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกาล น่าจะลงทุนตามกรอบงบประมาณประจำมากกว่า อีกทั้งปัจจัยภายในประเทศมีผลกระทบต่อภาวะตลาดเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นมาต่อเนื่องของดัชนีตลาดหุ้นทำให้มีความเสี่ยงต่อการปรับฐานในระยะสั้นประมาณ 50 -100 จุด โดยการปรับฐานดังกล่าวเป็นการลดลงเพื่อขึ้นต่อและทำจุดสูงสุดใหม่
สำหรับคำแนะนำการลงทุนมองว่า ตลาดหุ้นไทยหลายกลุ่มถูกเก็งกำไรทำให้ราคาขึ้นมาต่อเนื่อง เช่น หุ้นรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งหากจะลงทุนในกลุ่มดังกล่าวถือว่ามีความเสี่ยง และควรตั้งการจำกัดขาดทุนไว้ ส่วนหุ้นที่เราแนะนำให้ลงทุนคือหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากยอดพรีเซลที่ฟื้นตัวได้ดีในปลายไตรมาสที่ 2 และกลุ่มยานยนต์ ที่จะเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากหมดมาตรการรถยนต์คันแรก แต่จะได้รับปัจจัยหนุนจากโครงการอีโคคาร์เฟส 2
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 เดือนนี้มีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงมาอยู่ที่ระดับ 1,470 จุด จากปัจจัยความกังวลการยกเลิกมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐ รวมทั้งแนวโน้มทิศทางขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ เป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นทั่วโลก และอาจส่งผลทำให้กระแสเงินทุนที่เคยไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยไหลกลับออกไปได้
"การปรับฐานในระยะสั้นเรามองว่าน่าจะลงมาที่ 50-100 จุด ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,470 จุด ปัจจัยที่ยังกังวลเป็นเรื่องการถอนมาตรการคิวอี และทำให้ดอกเบี้ยของสหรัฐจะมีแนวโน้มขาขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจะดึงเงินทุนต่างชาติที่มีอยู่ในตลาดหุ้นทั่วโลกไหลกลับไปยังสหรัฐ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงในการปรับฐานระยะสั้น"
สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ในปี 2557 น่าจะขยายตัวอยู่ที่ 2% ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีการเติบโตในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 จากภาวะการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจ และการบริโภคภายในประเทศจะเป็นปัจจัยหลักในการผลักดัน ส่วนการลงทุนภาครัฐจะมีการเติบโตที่ชัดเจนในปี 2558 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ โดยดัชนีเป้าหมายในปีนี้จะอยู่ที่ 1,500 จุด ระดับราคาปิดกำไรต่อหุ้น (พี/อี) ที่ 16 เท่า อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 2557 ถึงปัจจุบันเพิ่มขึ้นมา 19% ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นในกลุ่มTIP (ไทย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์)
นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ธนชาต กล่าวว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นนั้น มองว่าจะเป็นผลกระทบเชิงจิตวิทยาเท่านั้น เพราะการปรับลดมาตรการคิวอี และขึ้นอัตราดอกเบี้ย แสดงให้เห็นว่าภาพเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้แข็งแกร่ง และน่าจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นมากกว่า ส่วนเศรษฐกิจไทยนั้นน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้เป็นต้นไป ผลดีจากการขับเคลื่อนการลงทุนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
สำหรับการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (25 ก.ค.) การเคลื่อนไหวโดยรวมค่อนข้างทรงตัว โดยดัชนีปิดตลาดที่ 1,543.85 จุด ลดลง 0.07 จุด มูลค่าการซื้อขายรวม 53,139 ล้านบาท
น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ช่วงที่ตลาดไร้ปัจจัยใหม่ ด้านนักลงทุนจึงเน้นซื้อขายเก็งกำไรตามภาวะตลาดเป็นหลัก ซึ่งหลังจากต่างชาติทยอยซื้อสุทธิหนาแน่นไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ในระยะต่อไปอาจมีปริมาณเบาบางไปบ้างโดยประเมินแนวต้านที่ 1,550 จุด และแนวรับที่ 1,530 จุด