ถึงพ่อแม่ที่จะส่งลูกไปแลกเปลี่ยน:)

ฟังเพลงไปด้วยเพื่ออรรถรสในการอ่านค่ะอมยิ้ม17
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เราเป็นคนนึงที่ตอนสอบAFSเลือกอันดับหนึ่งเป็นอเมริกา ส่วนสองกับสามเราก้เลือกแถบๆยุโรป มันเหมือนเป็นอะไรที่ฝังอยู่ในความคิดคนส่วนใหญ่(รวมทั้งเราตอนนั้น)ว่าเมกากับยุโรปนั้นดีสุด แถบลาตินนี่คืออะไรรร ไม่เคยอยู่ในติ่งความคิดเม่าเศร้า แต่พอผลประกาศนี่เราชวดหมด55555 ติดตัวสำรอง ทีนี่AFSก็โทรมาหาบอกว่ายังมีสิทธิ์ไปแต่ประเทศที่ให้เลือกมีแค่ ปานามา โดมินิกัน อาเจนติน่า บราซิล จีน (มีอีกแต่เราจำไม่ได้) แล้วคือคุณพระ! อะไรคือมีแต่ลาตินนนนนนน จีนนี่เราตัดไปอันแรกเพราะเราไม่ชอบภาษาจีน แล้วมันเป็นจีนแบบหอพักคือนอนหอกับคนไทย แล้วแม่เรากลัวว่าเราจะเม้ามอยแต่กับเพื่อนคนไทยจนไม่ได้ภาษา ด้วยความที่เราอยากเป็นเด็กAFSมาก เราก็สองจิตสองใจแบบเออเอาก็เอาวะ ปีเดียวเอง แม่เราก็บอกว่าเลือกๆไปก่อนเผื่อไป พ่อนี่คัดค้าน แต่แม่ก็พูดจนสุดท้ายพ่อช่วยแม่เลือก55555 พ่อกับแม่เราเลือกบราซิล เพราะเป็นประเทศคึกคักเฮฮาและที่สำคัญตอนเราไปนี่จัดบอลโลกพอดี หลังจากนั้นแม่เรานี่เหมือนรู้ว่าเราไปแน่ๆ แม่เราก็โอนเงินงวดแรกไป หลังจากนั้นแม่ก็มาพูดขำๆกับเราว่าเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วนะแม่โอนเงินไปแล้วอมยิ้ม24  พอเรากับแม่รู้ว่าไป100% แม่เราก็หาข้อมูลในกูเกิ้ลเรื่องบราซิลเรื่องชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนทุกวัน

พอก่อนไปสิ่งที่เจอคือคำถามจากคนรอบข้างประเภทที่ว่า ไปทำไมบราซิล ทำไมไม่ไปเมกาหรือยุโรป ไปเสียเวลาทำไมตั้งหนึ่งปี อยากจะถามกลับว่า อะไรคือคำว่าเสียเวลา? เข้ามหาลัยช้าไปหนึ่งปีกับสิ่งที่เราได้มาตอนนี้นั้นมันคุ่มค่าหาอะไรเปรียบไม่ได้  ภาษาอังกฤษมันสำคัญก็จริงค่ะแต่อย่าตัดโอกาสตัวเองเพียงเพราะไม่ได้อเมริกาหรือปทที่เลือกเลยค่ะ ขึ้นชื่อว่าภาษาที่สองหรือสามมันสำคัญทั้งนั้นแหละค่ะ แต่สิ่งที่ลูกคุณจะหอบกลับไทยไปด้วยมันมากกว่าความรู้ค่ะ

ช่วงก่อนมาเป็นอะไรที่หนักมาก เราร้องไห้เกือบทุกวันเลย แค่คิดว่าจะต้องใช้ชีวิตคนเดียวโดยไม่มีพ่อแม่ก็ใจจะขาด แต่พ่อเราพูดกับเราว่ามันไม่ได้มีแค่เรานะที่ไปอยู่คนเดียวหนึ่งปี ยังมีคนอีกกี่ร้อยคนที่เข้าร่วมโครงการและกำลังไปเผชิญอะไรๆแบบเรา ตอนนั้นเราก็คิดได้กำลังใจมาเต็มค่ะ เราเป็นลูกคนเดียวค่ะ ติดพ่อแม่มาก มีอะไรนี่บอกพ่อแม่ทุกเรื่องค่ะ ย้ำว่าทุกเรื่อง สำหรับเรามันเป็นเรื่องที่ดีนะคะเพราะไม่มีใครหวังดีกับเราเท่าพ่อกับแม่ เพราะพ่อกับแม่เราเป็นคนเปิดกว้างมากๆด้านความคิดเราเลยสบายใจที่จะบอกทุกๆเรื่อง เราอยากบอกกับพ่อแม่ที่ลูกไม่มาปรึกษาเวลามีปัญหานะคะว่าสิ่งสำคัญคือความสบายใจค่ะ ถ้าเรามอบความสบายใจให้เขา เวลาเขามีปัญหาก็จะบอกคุณคนแรกแน่นอนค่ะ

พอมาถึงก็เจอปัญหาจริงๆค่ะ เราย้ายโฮส เราโฮมซิก เราไม่มีความสุขเลยค่ะตอนนั้น เราโฮมซิกหนักมาก ถึงขนาดที่เดินๆอยู่น้ำตาไหลเอง5555 พอมาเล่าให้ทุกคนฟังเหมือนได้มองย้อนกลับไปแล้วขำตัวเอง เวลาเพิ่งผ่านมาจากตอนนั้นเกือบ4เดือนแต่เรารู้สึกว่าเราโตขึ้นเยอะเลยจากตอนนั้น เราคิดถึงไทยมากค่ะตอนนั้น อยากกลับไทยทุกวัน แค่ตื่นมาเจอว่าตัวเองอยู่บราซิลก็แทบจะบ้า แต่เรารู้ค่ะว่าเรากลับไม่ได้ บ้านเราฐานะปานกลางค่ะ จ่ายเงินค่าร่วมโครงการมันก็แพงไม่ใช่ว่าอยู่ๆอยากกลับก็ซื้อตั๋วกลับมันไม่ใช่

มาถึงโฮสปัจจุบัน เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ โฮสเป็นซิงเกิลมัมมีลูกชายหนึ่งคนอายุ14 ตรงนี้แหละค่ะที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเรา โฮสน้องเราเป็นคนเอาแต่ใจ พูดจาไม่สนน้ำใจคนอื่น เรารู้สึกทรมานมากๆเลยค่ะเวลาอยู่ใกล้ แต่เราไม่อยากย้ายโฮสแล้วเพราะมันสบายค่ะบ้านนี้ ตอนแรกเราตัดพ้อกับโชคชะตาเรามาก แต่มีอยู่วันนึงเราเหมือนเจอทางสว่าง ไม่ใช่ทางสว่างจริงๆนะคะ แต่เป็นเหมือนทางสว่างในใจเรามากกว่า อยู่ๆจิตเรามันก็นึกย้อนความจริงที่ว่า โฮสน้องนั้นเหมือนกระจกสะท้อนเราเลย ตอนเราอยูไทยเราก็อาจจะเคยพูดจาไม่สนความรู้สึกคนอื่นรวมทั้งพ่อแม่ แต่ที่พ่อแม่ทนได้เพราะรักเรา แต่คนอื่นเขาอาจจะเกลียดเราไปเลยก็ได้ พอเรากลับมาย้อนมองตรงนี้มันทำให้เราเข้าใจที่ว่าถ้าเราอยากให้คนรักเราเราก็ต้องทำดีและพูดดีกับเขาเพราะไม่มีใครโดนเราว่าแล้วจะรักเราหรอก เราโดนโฮสน้องพูดจาแย่ใส่เรายังเกลียดเขาเลย มีแต่โฮสมัมเท่านั้นที่ยังรักเขาอยู่ เรากลับมามองทบทวนตัวเอง แล้วตอนเราพูดจาแย่ใส่คนอื่นล่ะ เขาจะไม่เกลียดเราเชียวหรอ? สัจจธรรมมันเริ่มเข้ามาค่ะ ทัศนคติเราเริ่มเปลี่ยนไป เรารักพ่อแม่เรามากขึ้น จริงๆมันก็ไม่ใช่ว่ารักมากขึ้นกว่าเดิมหรอกค่ะ แต่มันเป็นความรู้สึกที่ว่าเราเห็นคุณค่าของคนข้างตัวเรามากขึ้น พ่อแม่เป็นคนที่รักเรามากที่สุดในโลก ฉะนั้นพ่อกับแม่ก็สมควรที่จะได้รับการปฎิบัติที่ดีที่สุดจากเรา ส่วนคนอื่นถ้าเราอยากให้เขารักและเอ็นดูเราเราก็ต้องทำดีกับเขาให้มากๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่นี่มันสอนเราค่ะ จากเด็กที่ไม่เคยย้อนมองดูการกระทำของตัวเอง กลายมาเป็นเด็กที่มีความคิดที่ต่างออกไป เราเริ่มคิดได้อย่างช้าๆค่ะ เราเลยบอกแม่เราว่าเราคิดได้แล้วนะว่าทำไมแม่ถึงส่งเรามา แม่เราบอกเรากลับมาว่านี่แหละที่แม่ขาดหวังให้เราได้กลับมา แม่บอกว่าแม่อยากให้เราใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นในสังคมเองได้และรู้จักอดทนและแก้ปัญหาเองเวลาที่แม่ไม่อยู่กับเราแล้ว ตอนเราฟังนี่น้ำตาเราไหลเลยค่ะ แม่มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ชีวิตเราเสมอค่ะ เราเลยอยากบอกว่า เวลาไปแลกเปลี่ยนปัญหาน่ะเจอกันทุกคนค่ะ ขึ้นอยู่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญคือพอเราผ่านมันมาได้เราจะมีภูมิต้านทานและความอดทนมากขึ้นค่ะ เราเพิ่งเข้าใจคำพูดที่ว่า คุณไม่มีทางรู้ว่าความอดทนของคุณมีมากเท่าไหร่จนกว่าตัวเลือกที่เหลือมีแค่อดทน อยู่ที่นี่บางครั้งเราก็ต้องอดทนค่ะเพราะไม่มีใครช่วยเราได้มากเท่าเราช่วยตัวเองแต่เราจะแกร่งขึ้น ตอนนี้เราเข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมรุ่นพี่ที่กลับไปถึงไม่มีใครเอาเรื่องแย่ๆมาเล่าให้รุ่นน้องฟัง เราว่ามันเป็นความภูมิใจค่ะ พอกลับไปตอนเรามองย้อนมาเราก็น่าจะมีแต่ความภูมิใจที่ตัวเองผ่านมาได้ทดแทนกับความรู้สึกแย่ๆหรือปัญหาไปได้หมดเลยค่ะ

รู้สึกว่าจะเขียนมายาวมากๆ ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ ตอนนี้อยู่มาจะหกเดือนแล้วค่ะ อมยิ้ม16เหลืออีกห้าเดือนก็จะกลับแล้ว และก็จะมีเด็กรุ่นใหม่มาเรื่อยๆ สู้ๆนะคะ อยากบอกรุ่นต่อๆไปว่า ถ้าน้องๆผ่านไปได้น้องๆจะเป็นคนที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตน้องจะมีสติก่อนคนอื่นและผ่านมันไปได้แน่นอนค่ะ

ปล เราขอแท็กโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อให้แม่ๆได้อ่านนะคะ
pompompompomฝันดีค่ะpompompompom
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่