ทอย (47)

กระทู้สนทนา
เวลาคล้ายเลื่อนไหลไปอย่างสับสนในระหว่างแต่ละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในต่างมิติสถานที่ ต่างช่วงกาลอวกาศ บางมิตินั้นเนิบช้า บางมิติกลับไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความแตกต่างทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบ จากมุมมองของผู้ที่เฝ้าดูอยู่ภายนอก ที่อาจรับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้จากการอ่านผ่านตัวอักษร จากเรื่องราวแปลกประหลาดที่ถูกเล่าขานโดย ผู้เขียน ซึ่งมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านห้วงจินตนาการมาอีกที

    ในขณะที่ผู้คนซึ่งใช้ชีวิต อาศัยอยู่ในแต่ละมิตินั้น อาจสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างที่ว่านี้ในรูปแบบของความรู้สึก ที่ในบางขณะเวลาอาจผ่านไปอย่างเนิบช้า บางขณะก็ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีวันหวนคืน และพวกเขาก็ไม่อาจอธิบายถึงเหตุที่มาแห่งความแตกต่างเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
    จากงานฉลองคืนกลางฤดูหนาวในมหานครที่กำลังจะย่างเข้าสู่เที่ยงคืน ภายในซากโบราณสถานเก่าแก่ที่มีรูปสลักของเทพีลึกลับบนภูเขาบีน ถ้ำลึกที่ถูกน้ำเอ่อท่วมอย่างฉับพลันซึ่งไม่รู้ว่าตั้งอยู่ ณ ที่แห่งใด ไปจนถึงงานฉลองคืนกลางฤดูร้อนในหมู่บ้านเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำที่มีเหตุการณ์สำคัญกำลังเกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ต่างถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันผ่านทางความสัมพันธ์อันสลับซับซ้อนที่ยากจะอธิบาย

    ในมิติสถานที่ของหมู่บ้านเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำ ในช่วงกาลอวกาศของงานฉลองคืนกลางฤดูร้อนครั้งสำคัญ เมื่อจอมโจรอาลีบาบาพึ่งออกคำสั่งให้เหล่าโจรสี่สิบเปิดฉากจู่โจมเข้าใส่ศัตรูที่ซุ่มซ่อนอยู่

    ทอย อดีตมือสังหาร ก็ก้าวถอยหลังออกมาจากการต่อสู้ หรือที่จริงแล้วเขาได้ก้าวถอยหลังออกมาจากทุกสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ มันเป็นก้าวเล็กๆ ของบุคคลคนหนึ่ง แต่เป็นก้าวสำคัญสำหรับเหตุการณ์ทั้งหมด

    เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำมันได้อย่างไร โจรหลายคนที่กำลังคิดจะจู่โจมใส่เขาต่างคล้ายกับมึนงงไปชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่จะพากันเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เฒ่าเฮฟแต่เพียงผู้เดียวโดยที่ไม่ได้รู้สึกระแวงสงสัยอะไรเลย มันทำให้เขารู้สึกเสียใจต่อเฒ่าเฮฟ ต่อนายอำเภอที่พึ่งถูกฟันล้มลงไป รวมไปถึงคุณนายวิกเซ่น และสโนวที่เขาพบว่าได้แอบเข้ามาอยู่ภายในบริเวณงานเรียบร้อยแล้ว

    แต่เขาคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเขาอยู่ในตอนนี้มีความสำคัญ เขาจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับมัน และอย่างรวดเร็วด้วย

    เขามองดูสิ่งประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นรอบกายด้วยความสนใจ การก้าวถอยหลังครั้งนี้คล้ายกับเป็นฉนวนที่กั้นตัวเขาออกจากโลก ออกจากเวลาที่กำลังดำเนินไปได้ชั่วขณะหนึ่ง นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับประสบการณ์แบบนี้ แต่เขามั่นใจว่าพวกมันคือสิ่งที่ปู่แจ็คจอมเสียบเคยพยายามอธิบายให้ฟัง พ่อเองก็เคยพูดถึง แต่เขาไม่เคยเข้าใจ และถึงแม้จะได้มารับรู้ด้วยตนเองอย่างในขณะนี้ เขาก็ไม่คิดว่าจะสามารถทำความเข้าใจพวกมันได้อย่างถูกต้องอยู่ดี

    เส้นสายหลากสีสันที่เป็นเหมือนกับเส้นแสงที่มีชีวิตเลื้อยวนเวียนอยู่รอบกายของทุกคนด้วยความรวดเร็ว บางครั้งเจือจางลางเลือน บ้างครั้งแจ่มชัดเจิดจ้า สลับสับเปลี่ยนกลับไปกลับมาอยู่ตลอดเวลา พวกมันวิ่งวนอยู่ในระยะห่างที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อีกทั้งยังมีการขยับเข้าออก ยืด ขยาย และปะทะสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลา

    ถ้าหากว่าคำอธิบายของปู่แจ็คเป็นความจริง เส้นสายทั้งหมดนี้ก็คือส่วนหนึ่งของทิศทางของสายตา ของความสนใจ ความใส่ใจ การรับรู้ คือสติ ของแต่ละบุคคลในแต่ละชั่วขณะจิต ที่ก่อเกิดต่อเนื่องติดตามกันจนกลายเป็นเส้นสาย หรือก็คือเป็นการแสดงของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับบุคคลผู้นั้น

    บางครั้งมันอาจหลบเร้นเข้าสู่ภายในจิตใจ กระโดดไปที่ ตา มือ เท้า จมูก ปาก หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายทั้งภายในและภายนอก ไปที่ความรู้สึกทางกาย ทางใจ ก่อนกระโดดออกไปตามระยะของสายตา การได้ยิน ได้กลิ่น แล้วหายไปสู่ดินแดนแสนไกลทั้งที่มีอยู่ และไม่มีอยู่จริง ไปสู่อดีต ปัจจุบัน อนาคต และน้อยครั้งนักที่มันจะติดอยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า หรือมันอาจอยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า แต่ต่างไปจาก ความเป็นจริง ที่กำลังเกิดขึ้น

    พวกมันเป็นเส้นแสงที่ขีดวาดสร้างโลกของแต่ละคนขึ้นมา

    'ที่หลานต้องทำก็คือเคลื่อนไหวไปอย่างระมัดระวัง ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ไม่ให้ไปสัมผัสเข้ากับเส้นแสงที่สุกสว่างเหล่านั้น ไม่ก้าวเข้าไปภายในโลกของผู้ใด เคลื่อนผ่านพวกเขาไปโดยที่ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้ มันจะเป็นยิ่งกว่าการจางหายไปในความมืดมิด หรือการกลมกลืนไปกับฉากเบื้องหลัง แทบจะเรียกได้ว่าเป็น การล่องหนหายตัวอย่างสมบูรณ์แบบ เลยทีเดียว' ปู่แจ็คเคยว่าไว้อย่างนั้น

    เขาเริ่มออกเดิน และมันยากยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้มากมายหลายเท่า การบังคับร่างกายแต่ละส่วนให้เคลื่อนไหวไปในทะเลแสงเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยพลังงานสมาธิจำนวนมากมายมหาศาล คล้ายกับกำลังพยายามเคลื่อนตัวแหวกผ่านวัตถุบางอย่างที่มีความเข้มข้นสูง เหมือนกับการพยายามกวนน้ำตาลถังใหญ่ที่ถูกเคี่ยวจนเหนียวหนืด อีกทั้งเส้นแสงเหล่านี้ต่างเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วไม่หยุดนิ่ง และยากที่จะคาดเดาทิศทางได้

    'แม้แต่ปู่ที่แสนเก่งกาจของหลานคนนี้ก็ยังเคยทำได้แค่ไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งก็เพียงไม่นาน และทำได้ไม่ดีนัก' ดูเหมือนว่าปู่แจ็คจะไม่ได้กล่าวหลอกลวงเขาในเรื่องนี้

    แต่ตัวเขาได้ลาออกจากการเป็นมือสังหารแล้ว พลัง และความสามารถแบบนี้จึงไม่สมควรที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขาได้อีก แต่มันก็เกิดขึ้น มันคือความเป็นจริงที่เขาไม่อาจปฏิเสธ ซึ่งติดตามมาด้วยบทสรุปของความเข้าใจอย่างสงบจนทำให้เขาต้องประหลาดใจในตัวเอง

    ภาพเหตุการณ์ส่วนหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นภายในร้านอาหารระหว่างตัวเขากับปู่แจ็คย้อนกลับมาบอกเล่าภายในห้วงความคิดคำนึงของเขาอีกครั้ง ตอนนั้นปู่ได้หยิบใบสมัครงานออกมายื่นส่งให้ เพื่อให้ตัวเขาได้มีส่วนร่วมรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำลงไป ด้วยการช่วยหาสมาชิกใหม่ให้กับครอบครัวเพื่อแทนที่ตัวเขา เอกสารนับเป็นสิ่งใหม่ที่พึ่งเริ่มใช้เมื่อไม่นานนี้ และปู่ก็ไม่เคยชอบพวกมันเลย

    ภาพถัดมาเป็นอีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากฝีมือของสาวน้อยหมวกแดง ภายในตรอกแคบๆ ข้างร้านของเล่นซีเอฟ ตอนที่เขาถูกจู่โจมด้วยความฝันก่อนที่สารวัตรโฮมจะเข้ามาช่วยเอาไว้ ไม่ให้เขาต้องติดอยู่ในร้านของเล่นในความฝันของตนเองไปตลอดกาล 'ไม่ใช่แค่สารวัตรโฮม แต่ยังมีผู้หญิงลึกลับคนนั้นด้วย' ผู้หญิงที่พยายามปลุกให้เขาตื่นขึ้นจากภายในความฝัน และเมื่อเขาออกวิ่งไปตามเขาวงกตของชั้นวางของเล่นที่ราวกับไร้ที่สิ้นสุด ที่ปลายทางก่อนที่เขาจะตื่นขึ้น มันมีบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้เขาต้องแปลกใจอย่างที่สุด แต่เขากลับนึกไม่ออก มันเป็นเหมือนความฝันอื่นๆ ที่บางครั้งเมื่อตื่นขึ้นแล้ว พวกมันก็จะเป็นดั่งเม็ดทรายที่ไหลร่วงหายไปจนหมด ไม่ว่าเราจะพยายามที่จะจับ หรือเหนี่ยวรั้งมันเอาไว้ในความทรงจำด้วยเรี่ยวแรงมากมายเพียงใดก็ตาม

    เขาไม่เคยนึกออก จนกระทั่งถึงตอนนี้

    ทุกสิ่งชัดเจนจนราวกับมันพึ่งจะเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้เอง ใบสมัครเพื่อเป็นมือสังหารที่ถูกแปะเอาไว้บนหน้าประตูทางออกฉุกเฉิน ประตูที่เขาใช้เปิดหนีออกมาจากร้านของเล่นในความฝัน เขามั่นใจในทันทีว่ามันเป็นใบสมัครของตัวเขาเอง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงใบสมัครที่ว่างเปล่า ไม่มีการขีดเขียนสิ่งใดใดลงไปแม้แต่น้อย แน่นอนที่มันไม่ได้ถูกลงลายมือด้วยชื่อของเขา เพราะมันเป็นใบสมัครเข้าเป็นมือสังหารของเขาที่ไม่เคยมีอยู่จริง เขาไม่จำเป็นต้องเขียนมัน

    ทอยเป็นมือสังหาร ก็เพราะมีใครคนหนึ่งรู้ว่าเขาเป็น เพียงคนเดียวเท่านั้นก็มากเกินพอแล้ว และคนที่ว่า ก็คือตัวเขานั่นเอง

    ดังนั้นมันจึงไม่ได้เป็นการตัดสินใจของปู่แจ็ค หรือใครคนใดคนหนึ่งทั้งสิ้น เขาไม่เคยสมัคร ดังนั้นเขาจึงไม่อาจลาออกได้ตราบเท่าที่ตัวเขาเองยังไม่ยินยอม 'ฉันจึงยังคงเป็นมือสังหาร และจะเป็นตลอดไป' ไม่ว่าเขาคิดที่จะเปลี่ยนไปทำอาชีพใดในอนาคตอันใกล้นี้ก็ตาม

    'ฉันเป็น เพราะ ฉันเป็น'

    เหตุการณ์รอบตัวเขาค่อยๆ พัฒนาต่อไปเพราะมันไม่ใช่การหยุดเวลา คุณนายวิกเซ่นหลบรอดดาบแรกของอาลีไปได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงนางมากนัก เพราะรู้ถึงความสามารถของมนุษย์หมาป่าที่นางเป็นอยู่ โจรสี่สิบค่อยๆ ล้มลงไปทีละคน พร้อมกับการออกมาเปิดเผยตัวของสโนวในบทบาทของแม่มดที่ทำให้เขาแปลกใจ และเขาก็ได้เห็นท่าทีคุกคามของอาลีอีกครั้ง ท่าทีที่เต็มไปด้วยคำเตือนถึงอันตราย แต่ดูเหมือนว่าสโนวจะไม่เข้าใจภาษาการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของกล้ามเนื้อบนร่างอาลีที่แปลเป็นความหมายออกมาได้ว่า

    ดาบที่รวดเร็วถึงตายกำลังจะมา

    สภาวะประหลาดที่เขาแทรกตัวอยู่ในตอนนี้พลันเกิดความสั่นไหวไปตามจิตใจ เขากำลังจะถูกมันผลักดันออกไป แสงสีทั้งหมดเริ่มจืดจางลางเลือน ความเหนียวหนืดแทบจะจับตัวแข็งจนไม่อาจขยับเคลื่อนต่อไปได้ แต่ถ้าเขาจะต้องหลุดออกไปในช่วงจังหวะนี้ เขาก็รู้ว่าจะเกิดผลเช่นใด บางทีเขาอาจสามารถช่วยสโนวไว้ได้ทันโดยแลกกับบางส่วนจากร่างกายของเขา และถึงแม้เขาจะมีร่างที่ครบสมบูรณ์ก็ยังไม่อาจสู้กับดาบของจอมโจรอาลีได้ เพราะเขาเป็น มือสังหาร ไม่ใช่ นักดาบ และมันมีความแตกต่างอย่างมากมายระหว่างคำสองคำนี้

    นอกจากเส้นแสงจำนวนมากจากชาวบ้านที่กำลังพุ่งความสนใจไปที่สโนวซึ่งช่วยให้เขาเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น เขาพลันรู้สึกได้ถึงเส้นแสงเจิดจ้าที่ตวัดพุ่งออกมาอย่างรวดเร็วจากร่างของคุณนายวิกเซ่นไปยังอาลีก่อนที่จะเชื่อมโยงไปถึงสโนว นางกำลังตัดสินใจที่จะดึงโลกของตัวเองให้เข้าสู่ความเสี่ยง เสี่ยงที่อาจจะต้องกลายเป็นตอนจบ โลกที่มีตัวตนของนางแทรกอยู่ และโลกบางส่วนที่มีอยู่เพราะตัวตนของนางอาจจะต้องหายไป ตลอดกาล

    ทอยพลันเกิดความคิดประหลาดบางอย่างขึ้นเกี่ยวกับเส้นแสงเหล่านี้ ที่แตกต่างไปจากสิ่งที่ปู่ หรือพ่อเคยบอกเล่าให้ฟัง ในช่วงเวลาที่คับขันเช่นนี้ และมันเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่อาจควบคุมบังคับได้

    เขามองเห็นเส้นแสงทั้งหมดเป็นดุจดั่งสายใยเล็กละเอียดที่ถักทอร่วมกันจนกลายเป็นผืนภาพขนาดใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ภาพที่ถูกเรียกขานกันว่า 'ความเป็นจริง' และแม้แต่ในตำแหน่งที่เขาไม่คิดว่ามีเส้นแสงเหล่านี้ มันก็ยังมีอยู่ เพราะทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาล้วนถูกถักทอขึ้นจากพวกมันทั้งสิ้น เส้นแสงทั้งหมดที่เคลื่อนไหวไปมา บัดเดี๋ยวอยู่ใกล้ บัดเดี๋ยวอยู่ไกล เหมือนกับจะสามารถอยู่ในหลายสถานที่ได้พร้อมกัน แต่ความจริงแล้วกลับมีเพียงหนึ่งเดียว คล้ายจะสามารถบอกได้ว่ามันกำลังอยู่ในตำแหน่งใด แต่สุดท้ายกลับไม่อาจระบุลงไปได้อย่างถูกต้อง เกี่ยวพัน ซับซ้อน ยากคาดเดา ทั้งหมดนี้ล้วนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของเส้นด้ายที่โดดเด่นขึ้นมาจากผืนภาพของความเป็นจริงเดียวกันทั้งสิ้น

    ในเรื่องเล่า ในหลายๆ ความเชื่อแต่โบราณ โชคชะตา มักถูกเปรียบเทียบเป็นกลุ่มด้ายที่พันกันอย่างยุ่งเหยิง หรือเป็นผืนผ้าที่เส้นด้ายจะถูกนำมาถักทอเข้าด้วยกันโดยผู้ไร้ดวงตา ตัวแทนของโชคชะตามักถูกเปรียบเป็นผู้ตาบอดที่สับสน แต่สามารถมองเห็นได้ทุกสิ่ง ซึ่งโดยสรุปแล้วก็คือยากที่จะคาดเดา และแม้แต่นักคิดหลายคนในปัจจุบันนี้ก็ยังคงเปรียบเทียบโชคชะตากับ ทฤษฎีความสับสน หรือทฤษฎีของการสุ่ม ที่แทบจะไม่แตกต่างจากคนตาบอดที่สับสนในอดีตเลย

    เส้นแสงที่เห็นอยู่นี้ ที่เมื่อมองดูให้ดีแล้วจะพบว่าพวกมันเกิดจากแสงที่กระพริบพรายอย่างรวดเร็ว มันเป็นเรื่องแปลกแต่ไม่มีใครสามารถอยู่กับความเป็นจริงได้ตลอดเวลา แม้แต่เพียงกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย หรือสิ่งที่กำลังทำอยู่ หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังหายใจ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายกำลังขยับเคลื่อนไหวไปอย่างไร แต่ทั้งหมดนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเพียงใดล้วนก่อให้เกิดเป็นเส้นแสงขึ้นได้ทั้งสิ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่