เรื่องเกิดขึ้นวันที่4 ก.ค. 2556
เหตุเกิดที่ โรงหนังที่เซ็นทรัลพระรามเก้าค่ะ วันนั้นเผอิญคิดยังไงไม่รู้ขุดเอากระเป๋าที่ไม่เคยใช้มานานมากออกมาใช้
เป็นกระเป๋าแบบกระดุมแม่เหล็กคือแค่ดึงก็เปิดได้เลย....ก่อนที่ภาพยนตร์จะฉายก็หยิบเอา galexy note 8.0 ที่เพิ่งถอยมาได้ไม่ถึงเดือนมาปิดเสียง
อาจจะเป็นตอนนั้นค่ะที่โจรมันเห็น ด้วยความประมาทและที่นั่งด้านข้างว่างก็เลยวางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้ด้านข้าง
นั่งชมโฆษณาไปสักพักเพลงสรรเสริญพระบารมีก็ขึ้น พอเพลงจบก็เป็นรอบแรกค่ะที่เห็นกระเป๋าล่วงลงไปอยู่ใต้เก้าอี้ แต่ก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร
ก็ดึงขึ้นมาวางไว้ด้านบนเหมือนเดิม พอหนังเริ่มฉายไปประมาณครึ่งเรื่อง ก็สังเกตุว่ามันลงไปอยู่ที่เดิมอีกแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย
รู้สึกเจ็บใจตัวเองถึงทุกวันนี้ว่าอาจจะเป็นตอนนั้นก็ได้ที่โจรมันมาล้วงเอาไป
มารู้ตัวตอนออกจากโรงหนังค่ะว่ามันไม่อยู่ในกระเป๋าแล้วเพราะจะเอาขึ้นมาเปิดเสียง ตอนนั้นใจหายวาบรีบเดินไปหาใต้ที่นั่งเพราะกระเป๋าเล็กที่เรา
เอาไว้ใส่note 8 ยังอยู่ในกระเป๋า...เลยคิดว่าตัวเองอาจจะลืมปิดซิบแล้วมันล่วงไปตอนกระเป๋าลงไปอยู่ใต้เก้าอี้ เพื่อนที่มาด้วยกันพยายามโทรเข้า
พนักงานโรงหนังพยายามมาช่วยหา แต่ก็ไม่เจอค่ะ ยังโทรติดตลอดเวลาเลยคิดว่าโจรยังไม่ได้ออกจากห้างเลยจะไปขอดูวงจรปิด
ด้วยความรีบร้อนก้าวพลาดทางต่างระดับในโรงหนัง= = ขาแพลงไปอีกหลายวัน(เป็นวันซวยที่สุดในรอบปีเลยก็ว่าได้)
ตอนไปขอดูภาพวงจรปิด พนักงานก็บอกว่าให้ดูไม่ได้ต้องแจ้งความแล้วนำเอาใบแจ้งความมาขอดู...ซึ่งตรงนี้เราคิดว่าถ้าโจรมันยังไม่ไปไหนมันจะทัน
หรอกับขั้นตอนนี้ แต่ก็ไปแจ้งความไว้ที่สน.ห้วยขวาง ไปถึงตร.ไม่ได้แนะนำอะไรเลยค่ะ มีแต่ตัดทอนกำลังใจว่าแจ้งไปก็คงไม่เจอ
พอเราได้ใบแจ้งความมาก็กลับมาที่โรงหนังอีกเพื่อขอดูวงจรปิด พนักงานพาเข้าไปห้องด้านข้างที่ขายตั๋ว พอไปถึง...ถึงได้รู้ว่ามันปล่าวประโยชน์มาก
เพราะพนักงานแจ้งว่า "ไม่มีกล้องวงจรปิดในโรงภาพยนตร์" พอเจอประโยคนี้แวบแรกเข้ามาเลยแล้วไอ้คลิปหลุดเด็กมีอะไรกันในโรงหนังนี่มันมาได้ไง
พอเจออีกประโยคคือ "เราจะมีกล้องไว้แค่ดูการทำงานของพนักงานเท่านั้น" เราก็แบบ...เห้ยกล้องวงจรปิดมันน่าจะเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า
ไม่ใช่หรอ? เค้าให้เราไปดูวีดีโอที่ตรงขายขนมซึ่งมันไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร ดูไปได้สักพักก็ได้แต่คิดว่า...เห่อ...เรามาทำอะไรตรงนี้วะ
พอจบตรงนี้เราก็เลยถอดใจกลับ นั่งซึมสักพักก็มาคิดได้ว่าจะมีวิธีอะไรมั้ยที่จะหาเครื่องของเราด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นจนหนทางคิดอะไรไม่ออกเลย
เวลาผ่านไปเราก็ยังคิดเรื่องนี้อยู่แต่เริ่มทำใจได้แล้วนิดนึง(เพราะพ่อให้กู้เงินซื้อเครื่องใหม่...เครื่องเก่าเราเก็บเงินซื้อเองค่ะ...เก็บตั้งนาน

)
สองเดือนต่อมาเราลองเสิร์ชกูเกิ้ลดูหาวิธีหาของหาย(ไสยศาสตร์555555)แต่ดันไปเจอกระทู้พันทิพอันนึงที่เจ้าของเค้าทำไอโฟนหายหรือ
โดนขโมย(จำไม่ได้) เค้ามีวิธีตามหาบอกไว้ละเอียดมากค่ะ เราเลยเริ่มมีความหวัง อันดับแรกเลยคือเราไปขอเอกสารขอความร่วมมือที่มีตราครุฑที่
สน.ห้วยขวาง ไปคราวนี้เจอตำรวจคนละคนก็คราวที่แล้วค่ะ คนนี้ให้คำแนะนำดีมากดูรู้เรื่องมากว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
พอได้เอกสารมาเราก็นำไปส่งที่สามเครือค่ายคือtrue ais dtac ประทับใจพี่เจ้าหน้าที่ true มากค่ะเป็นกันเองแล้วก็ช่วยหาให้เลยรู้ผลเลยตอนนั้น
แถมยังให้เบอร์ติดต่อไว้คอยโทรสอบถามด้วย(ซึ่งเบอร์เค้าโทรติดทุกครั้งที่โทรไปค่ะ)
พอมาถีงอีกค่ายคือaisตอนไปใกล้เที่ยงพอดีเค้าเลยไปทานข้าวกันหมดเหลือพี่ยามอยู่หน้าออฟฟิชเค้าก็ต้อนรับดีค่ะ
ช่วยโทรตามพนักงานที่ยังเหลือออกมารับเรา...ก็มีพนักงานมาคุยดีค่ะดูเป็นทางการนิดนึง เค้าบอกว่าพนักงานที่รับเรื่องไม่อยู่
แต่เค้าจะรับแทนให้ และให้เบอร์ติดต่อไว้(ซึ่งโทรติดทุกครั้งที่โทรไปสอบถามค่ะ)
มาถึงอีกที่ dtac เป็นที่ที่ยุ่งยากที่สุด เอกสารต้องส่งที่ชั้นล่าง คือต้องคอยกังวลว่าจะถึงมือฝ่ายกฏหมายเมื่อไหร่ เอกสารจะหายมั้ย
แล้วคนรับเรื่องก็ได้ให้เบอร์ติดต่อไว้(ซึ่งกระดาษแผ่นนั้นโดนเราขยำทิ้งตอนที่โทรไประบบอัตโนมัติรับสายและให้เรารอสายเกือบชม.สองรอบ
โดยที่ไม่ได้คุยกับคนเป็นๆเลย)
แชร์ประสบการณ์โดนล้วงกระเป๋าขโมย note 8.0 ในโรงหนังค่ะ
เหตุเกิดที่ โรงหนังที่เซ็นทรัลพระรามเก้าค่ะ วันนั้นเผอิญคิดยังไงไม่รู้ขุดเอากระเป๋าที่ไม่เคยใช้มานานมากออกมาใช้
เป็นกระเป๋าแบบกระดุมแม่เหล็กคือแค่ดึงก็เปิดได้เลย....ก่อนที่ภาพยนตร์จะฉายก็หยิบเอา galexy note 8.0 ที่เพิ่งถอยมาได้ไม่ถึงเดือนมาปิดเสียง
อาจจะเป็นตอนนั้นค่ะที่โจรมันเห็น ด้วยความประมาทและที่นั่งด้านข้างว่างก็เลยวางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้ด้านข้าง
นั่งชมโฆษณาไปสักพักเพลงสรรเสริญพระบารมีก็ขึ้น พอเพลงจบก็เป็นรอบแรกค่ะที่เห็นกระเป๋าล่วงลงไปอยู่ใต้เก้าอี้ แต่ก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร
ก็ดึงขึ้นมาวางไว้ด้านบนเหมือนเดิม พอหนังเริ่มฉายไปประมาณครึ่งเรื่อง ก็สังเกตุว่ามันลงไปอยู่ที่เดิมอีกแล้ว แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเลย
รู้สึกเจ็บใจตัวเองถึงทุกวันนี้ว่าอาจจะเป็นตอนนั้นก็ได้ที่โจรมันมาล้วงเอาไป
มารู้ตัวตอนออกจากโรงหนังค่ะว่ามันไม่อยู่ในกระเป๋าแล้วเพราะจะเอาขึ้นมาเปิดเสียง ตอนนั้นใจหายวาบรีบเดินไปหาใต้ที่นั่งเพราะกระเป๋าเล็กที่เรา
เอาไว้ใส่note 8 ยังอยู่ในกระเป๋า...เลยคิดว่าตัวเองอาจจะลืมปิดซิบแล้วมันล่วงไปตอนกระเป๋าลงไปอยู่ใต้เก้าอี้ เพื่อนที่มาด้วยกันพยายามโทรเข้า
พนักงานโรงหนังพยายามมาช่วยหา แต่ก็ไม่เจอค่ะ ยังโทรติดตลอดเวลาเลยคิดว่าโจรยังไม่ได้ออกจากห้างเลยจะไปขอดูวงจรปิด
ด้วยความรีบร้อนก้าวพลาดทางต่างระดับในโรงหนัง= = ขาแพลงไปอีกหลายวัน(เป็นวันซวยที่สุดในรอบปีเลยก็ว่าได้)
ตอนไปขอดูภาพวงจรปิด พนักงานก็บอกว่าให้ดูไม่ได้ต้องแจ้งความแล้วนำเอาใบแจ้งความมาขอดู...ซึ่งตรงนี้เราคิดว่าถ้าโจรมันยังไม่ไปไหนมันจะทัน
หรอกับขั้นตอนนี้ แต่ก็ไปแจ้งความไว้ที่สน.ห้วยขวาง ไปถึงตร.ไม่ได้แนะนำอะไรเลยค่ะ มีแต่ตัดทอนกำลังใจว่าแจ้งไปก็คงไม่เจอ
พอเราได้ใบแจ้งความมาก็กลับมาที่โรงหนังอีกเพื่อขอดูวงจรปิด พนักงานพาเข้าไปห้องด้านข้างที่ขายตั๋ว พอไปถึง...ถึงได้รู้ว่ามันปล่าวประโยชน์มาก
เพราะพนักงานแจ้งว่า "ไม่มีกล้องวงจรปิดในโรงภาพยนตร์" พอเจอประโยคนี้แวบแรกเข้ามาเลยแล้วไอ้คลิปหลุดเด็กมีอะไรกันในโรงหนังนี่มันมาได้ไง
พอเจออีกประโยคคือ "เราจะมีกล้องไว้แค่ดูการทำงานของพนักงานเท่านั้น" เราก็แบบ...เห้ยกล้องวงจรปิดมันน่าจะเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า
ไม่ใช่หรอ? เค้าให้เราไปดูวีดีโอที่ตรงขายขนมซึ่งมันไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร ดูไปได้สักพักก็ได้แต่คิดว่า...เห่อ...เรามาทำอะไรตรงนี้วะ
พอจบตรงนี้เราก็เลยถอดใจกลับ นั่งซึมสักพักก็มาคิดได้ว่าจะมีวิธีอะไรมั้ยที่จะหาเครื่องของเราด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นจนหนทางคิดอะไรไม่ออกเลย
เวลาผ่านไปเราก็ยังคิดเรื่องนี้อยู่แต่เริ่มทำใจได้แล้วนิดนึง(เพราะพ่อให้กู้เงินซื้อเครื่องใหม่...เครื่องเก่าเราเก็บเงินซื้อเองค่ะ...เก็บตั้งนาน
สองเดือนต่อมาเราลองเสิร์ชกูเกิ้ลดูหาวิธีหาของหาย(ไสยศาสตร์555555)แต่ดันไปเจอกระทู้พันทิพอันนึงที่เจ้าของเค้าทำไอโฟนหายหรือ
โดนขโมย(จำไม่ได้) เค้ามีวิธีตามหาบอกไว้ละเอียดมากค่ะ เราเลยเริ่มมีความหวัง อันดับแรกเลยคือเราไปขอเอกสารขอความร่วมมือที่มีตราครุฑที่
สน.ห้วยขวาง ไปคราวนี้เจอตำรวจคนละคนก็คราวที่แล้วค่ะ คนนี้ให้คำแนะนำดีมากดูรู้เรื่องมากว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
พอได้เอกสารมาเราก็นำไปส่งที่สามเครือค่ายคือtrue ais dtac ประทับใจพี่เจ้าหน้าที่ true มากค่ะเป็นกันเองแล้วก็ช่วยหาให้เลยรู้ผลเลยตอนนั้น
แถมยังให้เบอร์ติดต่อไว้คอยโทรสอบถามด้วย(ซึ่งเบอร์เค้าโทรติดทุกครั้งที่โทรไปค่ะ)
พอมาถีงอีกค่ายคือaisตอนไปใกล้เที่ยงพอดีเค้าเลยไปทานข้าวกันหมดเหลือพี่ยามอยู่หน้าออฟฟิชเค้าก็ต้อนรับดีค่ะ
ช่วยโทรตามพนักงานที่ยังเหลือออกมารับเรา...ก็มีพนักงานมาคุยดีค่ะดูเป็นทางการนิดนึง เค้าบอกว่าพนักงานที่รับเรื่องไม่อยู่
แต่เค้าจะรับแทนให้ และให้เบอร์ติดต่อไว้(ซึ่งโทรติดทุกครั้งที่โทรไปสอบถามค่ะ)
มาถึงอีกที่ dtac เป็นที่ที่ยุ่งยากที่สุด เอกสารต้องส่งที่ชั้นล่าง คือต้องคอยกังวลว่าจะถึงมือฝ่ายกฏหมายเมื่อไหร่ เอกสารจะหายมั้ย
แล้วคนรับเรื่องก็ได้ให้เบอร์ติดต่อไว้(ซึ่งกระดาษแผ่นนั้นโดนเราขยำทิ้งตอนที่โทรไประบบอัตโนมัติรับสายและให้เรารอสายเกือบชม.สองรอบ
โดยที่ไม่ได้คุยกับคนเป็นๆเลย)