สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ท่านเชื่อหรือไม่
ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของคนเราคือ
ซื้อบ้าน. ซื้อรถ. แต่งงาน รักษาโรค.
.
.
สำหรับการรักษาโรค.
ประเทศของเรา มีจำนวนแพทย์และเตียง ต่อประชากร ไม่พอเพียง
หลายโรค คนไข้ส่วนใหญ่รอคิวการรักษา การผ่าตัด. จนตายไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคที่ซับซ้อน. ต้องการเครื่องมือวินิจฉัยราคาแพง
ซึ่งจะมีเฉพาะในโรงพยาบาลระดับโรงเรียนแพทย์
สำหรับ ประชากรกลุ่ม A + จะสามารถเข้าถึง
.......
สำหรับประชาชนกลุ่ม A+ จะสามารถเข้าถึงเตียงคนไข้ในโรงเรียนแพทย์
ส่วนประชาชนกลุ่ม A และ b+ จะต้องหาโรงพยาบาลเอกชน
และถ้าเป็นโรคร้ายแรง จะให้โรงพยาบาลเอกชนใช้ connection. ส่งต่อโรงเรียนแพทย์
ซึ่งคนกลุ่มนี้ จะต้องแลกด้วยเงินออมครึ่งชีวิต
.
.ส่วนประชากรกลุ่ม c และ d. มีโอกาสต่ำมากที่จะเข้าถึงการรักษา
.
.การที่เราปล่อยให้ประชากร กลุ่ม A ซึ่งมีกำลังทรัพย์
สามารถจ่ายโรงพยาบาลเอกชนได้โดยไม่มีปัญหา เรื่องการเงิน
แต่สุดท้ายเมื่อโรคร้ายแรง. ก้อจำเป็นต้อง ใช้การลัดคิวเข้ารักษาในโรงเรียนแพทย์
เพราะว่า. โรงพยาบาลเอกชน จะไม่ลงทุน เครื่องมือการแพทย์ที่ซับซ้อนและราคาแพง
.
.
.
บรรดา อาจารย์หมอ ที่อยู่โรงพยาบาลเอกชน จึงใช้อภิสิทธิ์ส่งคนไข้ เข้าใช้เครื่องตรวจรักษาของรัฐ
.
............................................
สำหรับ บางประเทศ เช่น สิงคโปร์
หมอที่อยู่โรงพยาบาลรัฐ. จะได้สวัสดิการดี ใกล้เคียง โรงพยาบาลเอกชน
และห้ามไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชน
ด้วยวิธีนี้ เท่านั้น จึงสามารถป้องกันการที่หมอเอกชน ส่งคนไข้เข้ามาลัดคิวใช้ facilities ของโรงพยาบาลรัฐ
ซึ่งเป็นการบังคับกลายๆให้ รพ. เอกชนต้องลงทุน เครื่องมือที่ทันสมัยด้วยตนเอง
ส่วนเครื่องมือของรัฐ จะใช้อย่างยุติธรรม รักษาคนไข้ตามคิวและอาการ..
...............................
เมื่อโรงพยาบาลเอกชน ไม่สามารถส่งคนไข้เข้ามาโรงพยาบาลของรัฐด้วยการลัดคิวแล้ว
หมายความว่ากลุ่ม A. และ. B + ถูกบังคับ ให้ต้องเข้าคิวรักษา. เหมือนคนกลุ่ม c และ d
และเมื่อคนกลุ่ม A. และ B +. ลำบาก ซึ่งรวมถึงคนกลุ่มที่ทำงานในระบบสาธารณสุขด้วย
จะเกิดแรงขับเคลื่อนในสังคมอย่างรุนแรง..ให้รัฐต้องผลิตแพทย์เพิ่มเติม
(กลุ่ม A + ไม่ต้องห่วง เขาสามารถจ่ายโรงพยาบาลเอกชนสบายๆ)
............................................
ถามว่า ประเทศไทย มีฐานะการเงินการคลัง ที่จะให้เงินเดือนแพทย์คนละสองล้านบาทต่อปี ภายใต้เงื่อนไขห้ามรับงานโรงพยาบาลเอกชน ได้ไหม
ตอบว่าได้...
แต่ไม่มีใครกล้าทำ...... เพราะคนที่มีอำนาจจะทำได้คือคนกลุ่ม A +
แลเมื่อทำขึ้นมาแล้ว คนที่จะเดือดร้อนคือ คนกลุ่ม a. และ b + ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่มีพลังมากที่สุดในทางสังคม
ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ของคนเราคือ
ซื้อบ้าน. ซื้อรถ. แต่งงาน รักษาโรค.
.
.
สำหรับการรักษาโรค.
ประเทศของเรา มีจำนวนแพทย์และเตียง ต่อประชากร ไม่พอเพียง
หลายโรค คนไข้ส่วนใหญ่รอคิวการรักษา การผ่าตัด. จนตายไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคที่ซับซ้อน. ต้องการเครื่องมือวินิจฉัยราคาแพง
ซึ่งจะมีเฉพาะในโรงพยาบาลระดับโรงเรียนแพทย์
สำหรับ ประชากรกลุ่ม A + จะสามารถเข้าถึง
.......
สำหรับประชาชนกลุ่ม A+ จะสามารถเข้าถึงเตียงคนไข้ในโรงเรียนแพทย์
ส่วนประชาชนกลุ่ม A และ b+ จะต้องหาโรงพยาบาลเอกชน
และถ้าเป็นโรคร้ายแรง จะให้โรงพยาบาลเอกชนใช้ connection. ส่งต่อโรงเรียนแพทย์
ซึ่งคนกลุ่มนี้ จะต้องแลกด้วยเงินออมครึ่งชีวิต
.
.ส่วนประชากรกลุ่ม c และ d. มีโอกาสต่ำมากที่จะเข้าถึงการรักษา
.
.การที่เราปล่อยให้ประชากร กลุ่ม A ซึ่งมีกำลังทรัพย์
สามารถจ่ายโรงพยาบาลเอกชนได้โดยไม่มีปัญหา เรื่องการเงิน
แต่สุดท้ายเมื่อโรคร้ายแรง. ก้อจำเป็นต้อง ใช้การลัดคิวเข้ารักษาในโรงเรียนแพทย์
เพราะว่า. โรงพยาบาลเอกชน จะไม่ลงทุน เครื่องมือการแพทย์ที่ซับซ้อนและราคาแพง
.
.
.
บรรดา อาจารย์หมอ ที่อยู่โรงพยาบาลเอกชน จึงใช้อภิสิทธิ์ส่งคนไข้ เข้าใช้เครื่องตรวจรักษาของรัฐ
.
............................................
สำหรับ บางประเทศ เช่น สิงคโปร์
หมอที่อยู่โรงพยาบาลรัฐ. จะได้สวัสดิการดี ใกล้เคียง โรงพยาบาลเอกชน
และห้ามไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชน
ด้วยวิธีนี้ เท่านั้น จึงสามารถป้องกันการที่หมอเอกชน ส่งคนไข้เข้ามาลัดคิวใช้ facilities ของโรงพยาบาลรัฐ
ซึ่งเป็นการบังคับกลายๆให้ รพ. เอกชนต้องลงทุน เครื่องมือที่ทันสมัยด้วยตนเอง
ส่วนเครื่องมือของรัฐ จะใช้อย่างยุติธรรม รักษาคนไข้ตามคิวและอาการ..
...............................
เมื่อโรงพยาบาลเอกชน ไม่สามารถส่งคนไข้เข้ามาโรงพยาบาลของรัฐด้วยการลัดคิวแล้ว
หมายความว่ากลุ่ม A. และ. B + ถูกบังคับ ให้ต้องเข้าคิวรักษา. เหมือนคนกลุ่ม c และ d
และเมื่อคนกลุ่ม A. และ B +. ลำบาก ซึ่งรวมถึงคนกลุ่มที่ทำงานในระบบสาธารณสุขด้วย
จะเกิดแรงขับเคลื่อนในสังคมอย่างรุนแรง..ให้รัฐต้องผลิตแพทย์เพิ่มเติม
(กลุ่ม A + ไม่ต้องห่วง เขาสามารถจ่ายโรงพยาบาลเอกชนสบายๆ)
............................................
ถามว่า ประเทศไทย มีฐานะการเงินการคลัง ที่จะให้เงินเดือนแพทย์คนละสองล้านบาทต่อปี ภายใต้เงื่อนไขห้ามรับงานโรงพยาบาลเอกชน ได้ไหม
ตอบว่าได้...
แต่ไม่มีใครกล้าทำ...... เพราะคนที่มีอำนาจจะทำได้คือคนกลุ่ม A +
แลเมื่อทำขึ้นมาแล้ว คนที่จะเดือดร้อนคือ คนกลุ่ม a. และ b + ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่มีพลังมากที่สุดในทางสังคม
ความคิดเห็นที่ 30
ปัญหา คือ การออกแบบบ้าน ไม่ได้คำนึงถึง "วัยชรา"
คนเราชอบสร้างบ้านใหญ่โต ห้องน้ำใหญ่ได้ใจ (โดยเฉพาะวัยทำงาน ที่แต่งงานแล้ว ชอบห้องน้ำใหญ่ๆ)
แต่ไม่คิดว่า ห้องน้ำสวยๆ นี่แหละ เมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณหกล้มได้อย่างน่ากลัว
และเมื่อบ้านเราเป็นสังคม ที่ต่างไปจากเดิม รุ่นตายายอยู่บ้านตัวเอง รุ่นพ่อแม่อยู่บ้านตัวเอง รุ่นลูกก็ทำงานอยู่บ้านตัวเอง
สิ่งที่ขาดไป ก็คือ "ภาพในอนาคต"
คุณมองไม่ออกหรอก ว่าวันหนึ่งคุณจะเป็นเช่นไร เพราะ คุณไม่เคยเจอคนที่อายุมากกว่าคุณ
ถ้าบ้านคุณ มี รุ่นตายาย พ่อแม่ คุณ และลูกคุณอยู่
คุณจะพบว่า เมื่อแก่ตัวลง ประสิทธิภาพของร่างกายมันจะแย่ลงไปมาก
บันได คุณต้องมีที่จับเพิ่ม ห้องส้วมคุณต้องมีที่จับเพิ่ม ตรงบันไดคุณต้องมีประตูล็อค เพราะ คนแก่
บางคนจะดื้อ ชอบเดินขึ้นลง จนเกิดอุบัติเหตุ
และเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ค่ารักษา ค่าพยาบาล รวมถึง ถ้าคนแก่พิการ ต้องจ้างคนดูแล
มันแพงกว่า ค่าประตู ค่าที่จับ ฯ เยอะ
ฝากไว้เพราะ เชื่อว่าหลายคนในห้องนี้ เป็นครอบครัวที่แยกกันอยู่ รวมถึงคุณควรออกแบบบ้านให้เตรียมไว้วันที่คุณแก่
คนเราชอบสร้างบ้านใหญ่โต ห้องน้ำใหญ่ได้ใจ (โดยเฉพาะวัยทำงาน ที่แต่งงานแล้ว ชอบห้องน้ำใหญ่ๆ)
แต่ไม่คิดว่า ห้องน้ำสวยๆ นี่แหละ เมื่อถึงจุดหนึ่ง คุณหกล้มได้อย่างน่ากลัว
และเมื่อบ้านเราเป็นสังคม ที่ต่างไปจากเดิม รุ่นตายายอยู่บ้านตัวเอง รุ่นพ่อแม่อยู่บ้านตัวเอง รุ่นลูกก็ทำงานอยู่บ้านตัวเอง
สิ่งที่ขาดไป ก็คือ "ภาพในอนาคต"
คุณมองไม่ออกหรอก ว่าวันหนึ่งคุณจะเป็นเช่นไร เพราะ คุณไม่เคยเจอคนที่อายุมากกว่าคุณ
ถ้าบ้านคุณ มี รุ่นตายาย พ่อแม่ คุณ และลูกคุณอยู่
คุณจะพบว่า เมื่อแก่ตัวลง ประสิทธิภาพของร่างกายมันจะแย่ลงไปมาก
บันได คุณต้องมีที่จับเพิ่ม ห้องส้วมคุณต้องมีที่จับเพิ่ม ตรงบันไดคุณต้องมีประตูล็อค เพราะ คนแก่
บางคนจะดื้อ ชอบเดินขึ้นลง จนเกิดอุบัติเหตุ
และเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ค่ารักษา ค่าพยาบาล รวมถึง ถ้าคนแก่พิการ ต้องจ้างคนดูแล
มันแพงกว่า ค่าประตู ค่าที่จับ ฯ เยอะ
ฝากไว้เพราะ เชื่อว่าหลายคนในห้องนี้ เป็นครอบครัวที่แยกกันอยู่ รวมถึงคุณควรออกแบบบ้านให้เตรียมไว้วันที่คุณแก่
ความคิดเห็นที่ 21
คนแก่ธรรมดาๆวางแผนชีวิตไม่ถูกหรอกครับ เพราะค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลมันสูงพุ่งแบบติดจรวด
ค่าหมอค่ายาสมัยก่อนมันเรือนหมื่น เด้วนี้เรือนแสน ต่อไปอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้าก็เป็นเรือนล้าน
ที่ค่ารักษาพยาบาลแพงๆ เพราะหมอรับเงินเดือนแพงๆไงครับ สังคมทุนนิยมมันทำให้หมอเงินเดือน
แพง เพราะหมอก็ต้องซื้อรถยุโรป มีบ้านหลังโต ลูกเมียต้องอยู่ดีกินดี เทียวต่างประเทศ ฯลฯ เหล่านี้
หรือเปล่าครับ ที่ทำให้คนแก่สูงอายุไม่มีปัญญาวางแผนอนาคตล่วงหน้าได้ เพราะค่ารักษาพยาบาลมัน
พุ่งสูงแบบหุ้น BGH พุ่งขึ้นเกินพื้นฐาน (เอาแต่ขายฝันขายอนาคต ว่าจะมีกำไรมหาศาล) ความจริงแล้ว
รัฐบาลควรกำหนดค่ารักษาพยาบาล ค่ารักษาต่างๆ และมีการควบคุมราคา ไม่อย่างนั้นโรงพยาบาลเอกชน
ก็ค้ากำไรเกินควรอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแหละครับ
จะสอนคนอึ่นๆให้มีสำนึกในการวางแผนชีวิตนั้นไม่ผิด แต่ตัวหมอเองก็ต้องสำนึกด้วย ไม่ใช่เอาแต่น้ำตาซึม
เพราะหมอคนเดียวกันผ่าที่โรงพยาบาลของรัฐจ่ายไม่กี่บาท แต่พอมาที่โรงพยาบาลเอกชนจะได้เป็นแสน หาก
หมอไม่โลภมากยอมลดค่าตัวมาเหลือซักสามหมื่นบาท ค่ารักษารายนี้ก็จะตกแค่แสนต้นๆเท่านั้น
สรุปแล้วสังคมทุนนิยม ความโลภ ฯลฯ ของหมอ ทำให้ค่ารักษาพยาบาลแพงใช่หรือไม่ คิดเอาเอง อย่ามัวมาทำ
น้ำตาซึม
ค่าหมอค่ายาสมัยก่อนมันเรือนหมื่น เด้วนี้เรือนแสน ต่อไปอีกสิบยี่สิบปีข้างหน้าก็เป็นเรือนล้าน
ที่ค่ารักษาพยาบาลแพงๆ เพราะหมอรับเงินเดือนแพงๆไงครับ สังคมทุนนิยมมันทำให้หมอเงินเดือน
แพง เพราะหมอก็ต้องซื้อรถยุโรป มีบ้านหลังโต ลูกเมียต้องอยู่ดีกินดี เทียวต่างประเทศ ฯลฯ เหล่านี้
หรือเปล่าครับ ที่ทำให้คนแก่สูงอายุไม่มีปัญญาวางแผนอนาคตล่วงหน้าได้ เพราะค่ารักษาพยาบาลมัน
พุ่งสูงแบบหุ้น BGH พุ่งขึ้นเกินพื้นฐาน (เอาแต่ขายฝันขายอนาคต ว่าจะมีกำไรมหาศาล) ความจริงแล้ว
รัฐบาลควรกำหนดค่ารักษาพยาบาล ค่ารักษาต่างๆ และมีการควบคุมราคา ไม่อย่างนั้นโรงพยาบาลเอกชน
ก็ค้ากำไรเกินควรอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแหละครับ
จะสอนคนอึ่นๆให้มีสำนึกในการวางแผนชีวิตนั้นไม่ผิด แต่ตัวหมอเองก็ต้องสำนึกด้วย ไม่ใช่เอาแต่น้ำตาซึม
เพราะหมอคนเดียวกันผ่าที่โรงพยาบาลของรัฐจ่ายไม่กี่บาท แต่พอมาที่โรงพยาบาลเอกชนจะได้เป็นแสน หาก
หมอไม่โลภมากยอมลดค่าตัวมาเหลือซักสามหมื่นบาท ค่ารักษารายนี้ก็จะตกแค่แสนต้นๆเท่านั้น
สรุปแล้วสังคมทุนนิยม ความโลภ ฯลฯ ของหมอ ทำให้ค่ารักษาพยาบาลแพงใช่หรือไม่ คิดเอาเอง อย่ามัวมาทำ
น้ำตาซึม
ความคิดเห็นที่ 18
คุณหมอเค้ามาเตือนสติการใช้ชีวิตของคนยุคนี้ไง ในยุควัตถุนิยมสุดโต่ง
ให้เตรียมพร้อมไว้บ้างกับเรื่องพวกนี้ อย่าไปหมดกับสิ่งไม่จำเป็นทั้งหลาย
เพราะถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมาแล้ว ชีวิตก็ย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ชีวิตของคนที่เรารัก และรักเรา ที่ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างมีร่างกายที่
บอบบาง จากการที่ผ่านฝนผ่านหนาวมาหลายสิบปี อุ้มชูเลี้ยงดูเรามาจน
เติบใหญ่ จนมีการมีงานดีๆทำ เลี้ยงดูตัวเองได้ เตรียมการเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่น
ให้เตรียมพร้อมไว้บ้างกับเรื่องพวกนี้ อย่าไปหมดกับสิ่งไม่จำเป็นทั้งหลาย
เพราะถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมาแล้ว ชีวิตก็ย่อมสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ชีวิตของคนที่เรารัก และรักเรา ที่ยังคงมีชีวิตอยู่อย่างมีร่างกายที่
บอบบาง จากการที่ผ่านฝนผ่านหนาวมาหลายสิบปี อุ้มชูเลี้ยงดูเรามาจน
เติบใหญ่ จนมีการมีงานดีๆทำ เลี้ยงดูตัวเองได้ เตรียมการเรื่องนี้ไว้แต่เนิ่น
แสดงความคิดเห็น
คุณแน่ใจหรือ? ว่าวันนี้คุณมีเงินเพียงพอ_เรื่องจริงของคุณยายวัย 70 ที่อาจทำให้คุณน้ำตาคลอในความเป็นจริงของสังคมไทย
"คุณแน่ใจหรือ? วันนี้คุณมีเงินเพียงพอ"
ตั้งใจฟังผมให้ดีนะครับ
คุณยายท่านหนึ่งในวัย 70 ปี ที่ใช้ชีวิตแบบพอเพียงกับลูกหลานอย่างมีความสุข
ด้วยความเป็นคนสุขภาพแข็งแรง จึงไม่เคยต้องเข้าโรงพยาบาลมาก่อน
วันหนึ่ง..
คุณยายเกิดหกล้ม แล้วปวดสะโพกจนไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้
ลูกและหลานจึงได้พาไปตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน
หมอตรวจพบว่า กระดูกสะโพกของคุณยายหัก จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด
แต่ทางโรงพยาบาลนั้นไม่มีหมอผ่าตัด
จึงส่งตัวคุณยายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลใหญ่ในตัวจังหวัด
ตามสิทธิการรักษาที่คุณยายมี
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล
แทนที่จะได้รับการผ่าตัดเลยตามที่คุณยายและญาติเข้าใจ
แต่ที่โรงพยาบาลยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่กำลังรอรับการผ่าตัดอยู่เช่นกัน
ทำให้คุณยายต้องนอนรอบนเตียงไปอีก 1 สัปดาห์
1 สัปดาห์ผ่านไป
ตามกำหนดการแล้ว คุณยายจะได้รับการผ่าตัดในวันพรุ่งนี้
แต่เมื่อไปตรวจเยี่ยมในตอนเช้า
กลับพบว่าคุณยายมีอาการซึมลง ไม่รู้สึกตัว
เมื่อพยายามหาสาเหตุกลับพบว่ามีการติดเชื้อที่ปอดเนื่องจากการต้องนอนรอการผ่าตัด
ดังนั้น ต้องให้ยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาเป็นเวลาอย่างน้อยอีก 1 สัปดาห์
การผ่าตัดที่จะได้รับในวันพรุ่งนี้
ถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด...
แค่..
หากในวั้นนั้น
ลูกและหลานมีเงินจำนวน 200000 บาท ที่จะจ่ายเป็นค่ารักษา
คุณยายคงได้รับการผ่าตัดตั้งแต่วันแรกที่หกล้ม
ไม่ต้องนอนรอด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่มีกำหนด
และวันนี้ คงได้เห็นคุณยายกลับมาเดินได้เหมือนเดิมอีกครั้ง
#ผมไม่ได้ถามคุณว่า คุณมีเงินกี่สิบล้าน
แต่อยากถามคุณว่า คุณมีพอเพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้คนที่คุณรักแล้วหรือยัง ?
คุณได้วางแผนหรือกำลังลงมือทำอะไรบางอย่างให้แน่ใจว่าจะมีพอแล้วหรือยัง ?
จะขอถามอีกครั้งนะครับ คุณแน่ใจหรือ? "วันนี้คุณมีเงินเพียงพอ"
#ด้วยความรัก
จาก นายแพทย์ท่านหนึ่ง
(จขกท.ขอลบรูปและสงวนชื่อนายแพทย์ท่านนี้ไว้นะครับ)
ผมว่า ถ้าอ่านและพิจารณาสิ่งที่นายแพทย์ท่านนี้โพสให้ดี
ผมเชื่อว่า "เราจะได้ข้อคิดมากมายจากโลกแห่งความเป็นจริงแบบที่ไม่มีโลกสวยเจือปนครับ"