สวัสดีค่ะ ขออภัยที่ต้องเอา "กุหลาบเริงไฟ" ใส่โหลดองไว้ก่อน ขออนุญาตสลับเอาเรื่องเบาๆ มาฝากให้อ่านกันเพลินๆไปก่อนนะคะ
บทนำ
เสี
ยงที่ควรจะดังคลิ้กเบาๆ กลายเป็นเสียง ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! เพราะอารมณ์โมโห
“เลิกเหอะ! แยกย้ายไปหาอะไรทำซะเหอะ!”
หล่อนตวาดเอากับหน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ้วยังไม่หยุดรัว ล้างข้อมูลในช่องจดหมายขยะ
อีกสองคนนั่งเงียบ อยู่กับหน้าคอมฯของตัวเอง กำลังทำอย่างเดียวกับเพื่อน คงบ่นออกมาเหมือนกัน ถ้ายัยคนตัวตั้งตัวตีไม่โวยวายออกมาเสียก่อน
“ชั้นผิดเองแหละ ความคิดโง่ๆ หยั่งงี้ พวกแกก็ดันเชื่อ”
อยู่ๆ ความผิดก็ดันมาตกอยู่กับคนนั่งเงียบได้ง่ายๆ
“เงียบปากไปเลยนะอิไบรท์ ถ้าไม่ใช่แกมาหว่านล้อม เอาดีกรีปริญญาเอกประชาสัมพันธ์อะไรนั่นมาการันตีคุณภาพ มีเรอะที่ชั้นจะยอมขายมรดกมาร่วมมือกะแก”
คนตอกกลับชื่อ ฐานวดี (อ่านว่า ถา-นะ-วะ-ดี) โดยมีอีกคนรีบสนับสนุนทันที
“ไอ้ที่ค่าใช้จ่ายมันบานทะโร่นี่ ก็เพราะแกทั้งนั้น ดันจะมาเลือกออฟฟิศใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ตึกหรู ดูไฮโซ เน้นภาพลักษณ์ อิห่านนน!”
คนนี้ชื่อกนิษฐา จบปริญญาครูพันธุ์ใหม่ ที่ให้อย่างไรๆ ก็ตัดสินใจกลับไปเป็นครูบ้านนอกไม่ได้สักที เพราะสอนพิเศษในเมืองกรุง สามสี่ชั่วโมงรายได้ก็แทบจะเป็นครึ่งเดือนของตำแหน่งครูผู้ช่วย
“ก็นี่ไงเล่า แยกย้ายกันไปเหอะ เนอะ!”
พอสองคนทำเสียงแข็งเข้าใส่ คนเริ่มต้นโวยวายก็มีอันต้องเสียงอ่อยลง
พร้อมกับหันมาทำตาปริบๆ ใส่เพื่อน ยิ้มแห้งๆ อย่างสำนึกในความผิด
“นะ ถา... ไอ้ที่แกลงทุนไป ชั้นสัญญาว่าจะหามาใช้ให้เอง”
“หาที่ไหนล่ะอิไบรท์ ตั้งแต่จบมาสองปีกว่า แกเคยทนทำที่ไหนได้เกินทดลองงานมั่ง”
“หุบเหงือกไปเลยนะอินิด อย่ามาทำเป็นพูดไม่หมด ทุกที่น่ะ ชั้นออกมาเอง ไม่ใช่ไม่ผ่านทดลองงาน แกก็ด้วยแหละ ถ้าตกลงว่าเราจะหยุดไอ้บริษัทบ้าๆ นี่ ค่าศัลยกรรมทั้งหมด ที่ไอ้ถามันลงทุนให้ แกก็ต้องจ่ายเอง ชั้นไม่เกี่ยวนะยะ”
พูดแล้วก็อดตวัดค้อนให้กับหน้าเล็กๆ เรียวๆ สวยๆ ของเพื่อนไม่ได้ ยิ่งเมื่อบวกกับบุคลิกภาพที่ถูกฝึกให้ออกมาเป็นคนสอนคน ทำให้กนิษฐาดูแทบจะเป็นสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อม ถ้าปรับปรุงเรื่องการพูดจา หรือสำเนียงเหน่อบ้านนอกได้อีกนิดก็... เป๊ะ!
“ชั้นไม่ได้อยาก!”
“ย่ะ! งั้นก็ไปถลกออกซะให้หมด ดั้งเอย คางเอย โหนกแก้ม โหนกหน้าผาก กะไอ้สองเต้านั่นด้วย”
“อิ... อิ... อิไบก้อน!”
กนิษฐาถึงกับผุดลุก ชี้หน้าต้นตอความบาดหมางที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือน
“พอเถอะพวกแก มันจะอะไรกันนักหนา กะแค่อีเมลลามกพวกนั้น ไหนแกบอกว่าต้องอดทนไงล่ะไบรท์”
“เออ! ไอ้ที่ชั้นโดนทิ่ม จิ้ม ผ่า แงะ แซะ ตัดนั่นเติมนี่แทบทั้งตัวเนี่ย ...ก็เพราะแกบอกให้อดทนทั้งนั้นเลยนะยะ”
กนิษฐาจิ้ม จิ้มๆ จิ้มแต่ละส่วนที่ถูกผ่าตัดตกแต่ง ประกอบคำพูดของตน ฐานวดีนึกหมั่นเขี้ยวอยากช่วยจิ้มตรงเต้าเต่งเต็มมือนั่น แต่เจ้าของเต้ารีบปัดมือเพื่อนทิ้ง
“อย่ามาแตะนะอิทอมปลอม!”
หล่อนหันมาโวยใส่เจ้าของทุน
“เออ! แล้วทำไม”
คนถูกว่ากลับยอมรับหน้าตาเฉย
“ก็อย่ามาคิดหาเศษหาเลยกะเพื่อน!”
“ก็กะคนอื่นมันไม่กล้านี่อ่ะ”
“แล้วกะเพื่อนนี้เมิงกล้าเรอะ!”
“ชั้นรู้ละ”
ในที่สุดไปรยา ก็กลับต้องมาเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ คำสั้นๆ มันตามมาด้วยไอเดียดีๆ เสมอ
“รู้อะไร!”
สองเสียงที่เหลือแทบประสานกัน
“เพราะแกแหละถา เพราะแกไม่ยอมแต่งหน้าทาปาก นุ่งกระโปร่ง ใส่ส้นสูงมาทำงาน”
“มันเกี่ยวกะเรื่องไม่มีลูกค้าตรงไหนไม่ทราบ!”
ฐานวดีแหวใส่ แต่ก็อดก้มดูสภาพตัวเองไม่ได้ ยีนสีเข้มตัวหลวม เสื้อเชิ้ตลายตารางขนาดพอดีตัว ผมซอยสั้นยกกระบังพอให้รู้ว่ายังเป็นหญิง
“แต่งตัวยังกะทอมฮะอย่างนี้ นี้ไม่ใช่บริษัทจัดหาคู่เบี้ยนนะเว้ย!”
ท้ายคำของกนิษฐา ที่เปลี่ยนมาสนับสนุนไปรยาหมาด ทำเสียงทุ้มๆ ล้อเพื่อน
“หุบปากเลยอินิด ชั้นหมายถึง แกน่ะ สวยที่สุดในกลุ่มละ อย่ามาทำดัดจริตเป็นทอมฮะทอมฮิหน่อยเลยน่ะ”
“แกก็โฟโต้ชอปเอาสิ ชั้นลงทุนไปแล้ว กะไอ้ที่มานั่งเฝ้าออฟฟิศให้ทุกวันๆ นี้ก็เยอะละนะ”
“อย่ามาลำเลิก ที่ชั้นต้องออกไปสอนพิเศษ เอาตังค์มาจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าส่วนกลางค่าแม่บ้าน ก็เพราะใคร”
“เออ... สิ... เพราะใครล่ะ!”
ประโยคนี้ ทั้งสามสาวพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน
แล้วก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา ต่างคนก็ต่างวนกลับเข้าไปอยู่ในความคิดของตัวเอง
สามสาวเพื่อนสนิท เรียนชั้นมัธยมด้วยกันมาหกปี สัญญากันไว้ว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป จะร่วมทุกข์ร่วมสุข ใครลำบากก็จะไม่ทิ้งกัน ใครได้ดิบได้ดีก็จะไม่ลืมเพื่อน หลังจากแยกย้ายกันไปเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ทำงานกันได้คนละปีสองปี ก็มีอันต้องกลับมาร่วมตัวกันได้จริงๆ เพราะการจุดชนวนความฝันของไปรยา
อย่างที่กนิษฐาโวยวายนั่นแหละว่า เพื่อนหล่อนจบวิชาเอกการประชาสัมพันธ์ ดีกรีนั้นเลิศเลอถึงเกียรตินิยม ตอนจบใหม่ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ล้วนอ้าแขนรับ แต่เป็นเจ้าตัวเองที่ขอจรลี เพราะทนกับระบบสารพัดแบบไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นแบบ กงสี พี่ป้าน้าอาหลานเหลนโหลน กระทั่งพวกจะง่อยเปลี้ยเสียขาปัญญาไม่เต็มสติ ก็แทบจะยกกันเข้าเป็นหัวหน้าแผนกนั้นๆ นี้ๆ หรือแบบบริษัทข้ามชาติชัดเปรี๊ยะ ใช้คนเยี่ยงทาสแรงงาน คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ โดยมีข้อแม้สำคัญคือทำยอดๆๆ ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับส่วนประชาสัมพันธ์ของหล่อนเลยสักนิด
“พวกแกก็รู้ว่าชั้นเก่ง และมีความมุ่งมั่น เชื่อใจฉัน แล้วฉันจะดูแลเรื่อง ภาพลักษณ์ การตลาด ประชาสัมพันธ์ทุกสิ่งอย่าง”
ไปรยาเคยยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ตอนนัดมาร่วมตัวกันในค่ำวันหนึ่ง
พอดีนั่นเป็นตอนที่ ฐานวดีกำลังถูกครอบครัวกดดันอย่างหนัก เรื่องให้กลับไปบริหารโรงแรมใหญ่กลางกรุง ที่ตัวเองไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยสักนิด
วันนั้นฐานวดียังผมยาวสลวย นุ่งชุดประโปรงผ้าเบาบาง สวยสมเยี่ยงสตรีมีสกุลทั่วไป ที่หัวยังติดโบเพชรให้แยงตาเพื่อนได้เล่นๆ อีกด้วย
ตอนนั้นฐานวดียังไม่ตอบอะไร แต่อีกสองคนก็ดูรู้ว่าเพื่อนกำลังคิด... หนัก
...
ขณะที่ “อิเงือก” กนิษฐาที่เพื่อนๆ ให้ฉายา ก็ทำตาเป็นประกาย เพราะแนวทางธุรกิจที่ไปรยานำเสนอ ไม่น่าจะต้องใช้รูปร่างหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะถ้าหล่อนเข้าร่วม ก็จะอยู่ในฐานะประจำออกฟิต คอยติดต่อประสานงาน
กนิษฐาเคยชอกช้ำหนักตอนไปฝึกสอน แล้วนักเรียนถามง่ายๆ ที่คล้ายจะรุนแรงกว่าการกระโดดถีบยอดอกว่า
“ครูขา หนูถามจริงๆ ครูทนเห็นหน้าตัวเองทุกวันๆ ตอนแปรงฟันได้ยังไง”
และอีกสารพัดสารพัน ที่เจ้าทโมนพวกนั้น จะสรรหามาถามไถ่ ทำร้ายหัวใจกันเล่นๆ
“ฉันเอาด้วย ช่วยแกทุกอย่างที่ไม่ต้องออกไปเจอหน้าใครๆ”
“ไม่ได้ ถ้าจะช่วย ก็ต้องเต็มที่”
เป็นฐานวดี ที่หันมาสบตากนิษฐา ก่อนหันไปพูดกับไปรยา
“ได้ อิไบรท์ ชั้นจะลงทุนกะแก จะเอาสลากออมสินไปขาย เอาตังค์มาเล่นด้วย แต่... แก... นังนิด”
สองคนหันขวับ กลับมาทางคนจบครูพันธุ์ใหม่ ทั้งคู่คงตามความคิดกันทันแล้ว ยกเว้นคนถูกจ้องหน้า
“มองทำไม จ้องยังกะมะแลงวันจะตอมขรี้”
กนิษฐาพยายามปล่อยมุก หลังจากพอเข้าใจอะไรได้เลาๆ
“แก... ถ้าเราจะก่อตั้ง ก็ต้องช่วยกันทำงาน อิถามันลงทุน ชั้นออกเดินตลาด แต่แกจะเฝ้าออฟฟิศเฉยๆ ไม่ได้”
ไปรยาพูดด้วยเสียงเข้มข้นจริงจังเกินไปเสียแล้ว
“ถึงแกจะเป็นคนเฝ้าออฟฟิศ น้ำหน้าอย่างงี้ คนเขาจะเข้าใจว่า เป็นบริษัทรับจัดงานฌาปณกิจ”
ฐานวดีช่วยเสริม ให้มโนภาพทุกคนชัดเจนยิ่งขึ้น
“ไหนพวกเมิงว่าไม่ได้คบกรูที่หน้าตาไงล่ะ”
กนิษฐาเสียงเครียดขึ้นโดยฉับพลัน
“ใช่ ถ้าเป็นแค่เพื่อน เรื่องหน้าตาไม่สำคัญ แต่... เรากำลังจะทำธุรกิจร่วมกัน แถมเรื่องแบบนี้ หน้า ผม นม หุ่น ต้องเป๊ะ”
ไปรยาถึงกับยืนประกอบเป็นตัวอย่าง ส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรบนส้นสูงสามนิ้วครึ่ง ทำให้หล่อนดูเหมือนนางแบบสวยๆ ได้คนหนึ่งเลยทีเดียว
กนิษฐาส่งสีหน้าลำบากใจให้เพื่อนๆ จนฐานวดีต้องยื่นคำขาด
“ชั้นจะลงทุน ถ้าแกยอมไปเกาหลี พรุ่งนี้บินได้เลย”
“อิบร้า! ตัดสินใจง่ายไปหรือเปล่ายะ”
คนจะถูกส่งไปทำศัลยกรรมถึงแดนกิมจิแทบกรี๊ด
“ไม่งั้นแกก็เป็นอิถึกเงือกเถือกแถไปตลอดชาติเถอะนะ”
ไปรยาช่วยผสมโรงเนียนๆ ประหนึ่งว่า ข้อตกลงการร่วมกันธุรกิจ บรรลุเป้าหมายไปเรียบร้อยแล้ว
“แกอย่าลืม พวกเราแก่ลงทุกวันๆ มันไม่หวานๆ มันๆ แบบพวกจบใหม่ๆ จะหาผู้ชายดีๆ สักคน ถ้ามันรวยๆ มันก็เลี้ยงต้อยตั้งแต่เพิ่งเข้ามหา’ลัย นอกจากเราจะหากำไรจากธรุกิจนี้แล้ว ถ้ามีผู้ชายดีๆ หลงเข้ามา เราก็จัดซะไงล่ะ”
คนต้นคิด หว่านล้อมต่อไป
“ซึ่ง... นังไบรท์กะชั้น แกก็เห็นว่า ไม่น่าจะมีปัญหากะเรื่องนี้ ยกเว้นแก”
“แต่ฉันพอใจกะสิ่งที่พ่อแม่ให้มาแล้วนะ”
“ดัดจริต!!”
สองเสียงประสานกันดังชัด
“เมิงไม่ได้อยู่ต่อหน้านักเรียน ไม่ต้องสร้างภาพ ไหนเคยร้องห่มร้องไห้ ที่อิผู้ปกครองมันมาฟ้องครูใหญ่ ว่าลูกมันกลับไปฝันร้ายเพราะแกเข้าไปฝึกสอน”
“นั่นเด็กมันดูหนังผี”
กนิษฐาพยายามเถียง
“ประกอบกับที่เห็นหนังหน้าแกด้วยแหละ!”
อีกสองเสียงไม่ลดละ
“เอาไง! ยอมนะ โอ เค แกกลับไปจองตั๋ว พรุ่งนี้เช้าชั้นโอนตังค์เข้าบัญชีให้ บินไปคนเดียว เอาให้สวย ทางนี้ชั้นกะอิไบรท์จะจัดการอะไรๆ ไว้รอ”
รุ่งขึ้นไปรยากับฐานวดีก็ไปส่งเพื่อนที่สนามบินสุวรรณภูมิได้จริงๆ โดยคนหลังกลายเป็นสาวผมซอยสั้น สวมยีนกับเสื้อเชิ้ตไปซะอย่างนั้น ตอนนั้นคนลงทุน ให้เหตุผลง่ายๆ
“รำคาญพวกที่จ้องกันตาเป็นมัน ทำตัวงี้แหละ เขาจะไม่ต้องมาคิดว่ากุสวยแต่รูป โง่เง่าเป็นเต่าสมองลีบ”
...และนี้คือเดือนที่สี่ ที่มีลูกค้าแค่ประปราย แบบชวนไปนั่งดื่ม นั่งรับประทานอาหาร และควงไปงานที่เจ้าภาพกับคนได้รับบัตรเชิญ ไม่เคยรู้จักกันเลย...
(มีต่อ)
สุดที่รักจากดาวอื่น(เหรอ) บทนำ
เสียงที่ควรจะดังคลิ้กเบาๆ กลายเป็นเสียง ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก! เพราะอารมณ์โมโห
“เลิกเหอะ! แยกย้ายไปหาอะไรทำซะเหอะ!”
หล่อนตวาดเอากับหน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ้วยังไม่หยุดรัว ล้างข้อมูลในช่องจดหมายขยะ
อีกสองคนนั่งเงียบ อยู่กับหน้าคอมฯของตัวเอง กำลังทำอย่างเดียวกับเพื่อน คงบ่นออกมาเหมือนกัน ถ้ายัยคนตัวตั้งตัวตีไม่โวยวายออกมาเสียก่อน
“ชั้นผิดเองแหละ ความคิดโง่ๆ หยั่งงี้ พวกแกก็ดันเชื่อ”
อยู่ๆ ความผิดก็ดันมาตกอยู่กับคนนั่งเงียบได้ง่ายๆ
“เงียบปากไปเลยนะอิไบรท์ ถ้าไม่ใช่แกมาหว่านล้อม เอาดีกรีปริญญาเอกประชาสัมพันธ์อะไรนั่นมาการันตีคุณภาพ มีเรอะที่ชั้นจะยอมขายมรดกมาร่วมมือกะแก”
คนตอกกลับชื่อ ฐานวดี (อ่านว่า ถา-นะ-วะ-ดี) โดยมีอีกคนรีบสนับสนุนทันที
“ไอ้ที่ค่าใช้จ่ายมันบานทะโร่นี่ ก็เพราะแกทั้งนั้น ดันจะมาเลือกออฟฟิศใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ตึกหรู ดูไฮโซ เน้นภาพลักษณ์ อิห่านนน!”
คนนี้ชื่อกนิษฐา จบปริญญาครูพันธุ์ใหม่ ที่ให้อย่างไรๆ ก็ตัดสินใจกลับไปเป็นครูบ้านนอกไม่ได้สักที เพราะสอนพิเศษในเมืองกรุง สามสี่ชั่วโมงรายได้ก็แทบจะเป็นครึ่งเดือนของตำแหน่งครูผู้ช่วย
“ก็นี่ไงเล่า แยกย้ายกันไปเหอะ เนอะ!”
พอสองคนทำเสียงแข็งเข้าใส่ คนเริ่มต้นโวยวายก็มีอันต้องเสียงอ่อยลง
พร้อมกับหันมาทำตาปริบๆ ใส่เพื่อน ยิ้มแห้งๆ อย่างสำนึกในความผิด
“นะ ถา... ไอ้ที่แกลงทุนไป ชั้นสัญญาว่าจะหามาใช้ให้เอง”
“หาที่ไหนล่ะอิไบรท์ ตั้งแต่จบมาสองปีกว่า แกเคยทนทำที่ไหนได้เกินทดลองงานมั่ง”
“หุบเหงือกไปเลยนะอินิด อย่ามาทำเป็นพูดไม่หมด ทุกที่น่ะ ชั้นออกมาเอง ไม่ใช่ไม่ผ่านทดลองงาน แกก็ด้วยแหละ ถ้าตกลงว่าเราจะหยุดไอ้บริษัทบ้าๆ นี่ ค่าศัลยกรรมทั้งหมด ที่ไอ้ถามันลงทุนให้ แกก็ต้องจ่ายเอง ชั้นไม่เกี่ยวนะยะ”
พูดแล้วก็อดตวัดค้อนให้กับหน้าเล็กๆ เรียวๆ สวยๆ ของเพื่อนไม่ได้ ยิ่งเมื่อบวกกับบุคลิกภาพที่ถูกฝึกให้ออกมาเป็นคนสอนคน ทำให้กนิษฐาดูแทบจะเป็นสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อม ถ้าปรับปรุงเรื่องการพูดจา หรือสำเนียงเหน่อบ้านนอกได้อีกนิดก็... เป๊ะ!
“ชั้นไม่ได้อยาก!”
“ย่ะ! งั้นก็ไปถลกออกซะให้หมด ดั้งเอย คางเอย โหนกแก้ม โหนกหน้าผาก กะไอ้สองเต้านั่นด้วย”
“อิ... อิ... อิไบก้อน!”
กนิษฐาถึงกับผุดลุก ชี้หน้าต้นตอความบาดหมางที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะช่วงปลายเดือน
“พอเถอะพวกแก มันจะอะไรกันนักหนา กะแค่อีเมลลามกพวกนั้น ไหนแกบอกว่าต้องอดทนไงล่ะไบรท์”
“เออ! ไอ้ที่ชั้นโดนทิ่ม จิ้ม ผ่า แงะ แซะ ตัดนั่นเติมนี่แทบทั้งตัวเนี่ย ...ก็เพราะแกบอกให้อดทนทั้งนั้นเลยนะยะ”
กนิษฐาจิ้ม จิ้มๆ จิ้มแต่ละส่วนที่ถูกผ่าตัดตกแต่ง ประกอบคำพูดของตน ฐานวดีนึกหมั่นเขี้ยวอยากช่วยจิ้มตรงเต้าเต่งเต็มมือนั่น แต่เจ้าของเต้ารีบปัดมือเพื่อนทิ้ง
“อย่ามาแตะนะอิทอมปลอม!”
หล่อนหันมาโวยใส่เจ้าของทุน
“เออ! แล้วทำไม”
คนถูกว่ากลับยอมรับหน้าตาเฉย
“ก็อย่ามาคิดหาเศษหาเลยกะเพื่อน!”
“ก็กะคนอื่นมันไม่กล้านี่อ่ะ”
“แล้วกะเพื่อนนี้เมิงกล้าเรอะ!”
“ชั้นรู้ละ”
ในที่สุดไปรยา ก็กลับต้องมาเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ คำสั้นๆ มันตามมาด้วยไอเดียดีๆ เสมอ
“รู้อะไร!”
สองเสียงที่เหลือแทบประสานกัน
“เพราะแกแหละถา เพราะแกไม่ยอมแต่งหน้าทาปาก นุ่งกระโปร่ง ใส่ส้นสูงมาทำงาน”
“มันเกี่ยวกะเรื่องไม่มีลูกค้าตรงไหนไม่ทราบ!”
ฐานวดีแหวใส่ แต่ก็อดก้มดูสภาพตัวเองไม่ได้ ยีนสีเข้มตัวหลวม เสื้อเชิ้ตลายตารางขนาดพอดีตัว ผมซอยสั้นยกกระบังพอให้รู้ว่ายังเป็นหญิง
“แต่งตัวยังกะทอมฮะอย่างนี้ นี้ไม่ใช่บริษัทจัดหาคู่เบี้ยนนะเว้ย!”
ท้ายคำของกนิษฐา ที่เปลี่ยนมาสนับสนุนไปรยาหมาด ทำเสียงทุ้มๆ ล้อเพื่อน
“หุบปากเลยอินิด ชั้นหมายถึง แกน่ะ สวยที่สุดในกลุ่มละ อย่ามาทำดัดจริตเป็นทอมฮะทอมฮิหน่อยเลยน่ะ”
“แกก็โฟโต้ชอปเอาสิ ชั้นลงทุนไปแล้ว กะไอ้ที่มานั่งเฝ้าออฟฟิศให้ทุกวันๆ นี้ก็เยอะละนะ”
“อย่ามาลำเลิก ที่ชั้นต้องออกไปสอนพิเศษ เอาตังค์มาจ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าส่วนกลางค่าแม่บ้าน ก็เพราะใคร”
“เออ... สิ... เพราะใครล่ะ!”
ประโยคนี้ ทั้งสามสาวพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน
แล้วก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา ต่างคนก็ต่างวนกลับเข้าไปอยู่ในความคิดของตัวเอง
สามสาวเพื่อนสนิท เรียนชั้นมัธยมด้วยกันมาหกปี สัญญากันไว้ว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป จะร่วมทุกข์ร่วมสุข ใครลำบากก็จะไม่ทิ้งกัน ใครได้ดิบได้ดีก็จะไม่ลืมเพื่อน หลังจากแยกย้ายกันไปเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ทำงานกันได้คนละปีสองปี ก็มีอันต้องกลับมาร่วมตัวกันได้จริงๆ เพราะการจุดชนวนความฝันของไปรยา
อย่างที่กนิษฐาโวยวายนั่นแหละว่า เพื่อนหล่อนจบวิชาเอกการประชาสัมพันธ์ ดีกรีนั้นเลิศเลอถึงเกียรตินิยม ตอนจบใหม่ๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ล้วนอ้าแขนรับ แต่เป็นเจ้าตัวเองที่ขอจรลี เพราะทนกับระบบสารพัดแบบไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นแบบ กงสี พี่ป้าน้าอาหลานเหลนโหลน กระทั่งพวกจะง่อยเปลี้ยเสียขาปัญญาไม่เต็มสติ ก็แทบจะยกกันเข้าเป็นหัวหน้าแผนกนั้นๆ นี้ๆ หรือแบบบริษัทข้ามชาติชัดเปรี๊ยะ ใช้คนเยี่ยงทาสแรงงาน คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ โดยมีข้อแม้สำคัญคือทำยอดๆๆ ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับส่วนประชาสัมพันธ์ของหล่อนเลยสักนิด
“พวกแกก็รู้ว่าชั้นเก่ง และมีความมุ่งมั่น เชื่อใจฉัน แล้วฉันจะดูแลเรื่อง ภาพลักษณ์ การตลาด ประชาสัมพันธ์ทุกสิ่งอย่าง”
ไปรยาเคยยืนยันเป็นมั่นเหมาะ ตอนนัดมาร่วมตัวกันในค่ำวันหนึ่ง
พอดีนั่นเป็นตอนที่ ฐานวดีกำลังถูกครอบครัวกดดันอย่างหนัก เรื่องให้กลับไปบริหารโรงแรมใหญ่กลางกรุง ที่ตัวเองไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยสักนิด
วันนั้นฐานวดียังผมยาวสลวย นุ่งชุดประโปรงผ้าเบาบาง สวยสมเยี่ยงสตรีมีสกุลทั่วไป ที่หัวยังติดโบเพชรให้แยงตาเพื่อนได้เล่นๆ อีกด้วย
ตอนนั้นฐานวดียังไม่ตอบอะไร แต่อีกสองคนก็ดูรู้ว่าเพื่อนกำลังคิด... หนัก
...
ขณะที่ “อิเงือก” กนิษฐาที่เพื่อนๆ ให้ฉายา ก็ทำตาเป็นประกาย เพราะแนวทางธุรกิจที่ไปรยานำเสนอ ไม่น่าจะต้องใช้รูปร่างหน้าตาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะถ้าหล่อนเข้าร่วม ก็จะอยู่ในฐานะประจำออกฟิต คอยติดต่อประสานงาน
กนิษฐาเคยชอกช้ำหนักตอนไปฝึกสอน แล้วนักเรียนถามง่ายๆ ที่คล้ายจะรุนแรงกว่าการกระโดดถีบยอดอกว่า
“ครูขา หนูถามจริงๆ ครูทนเห็นหน้าตัวเองทุกวันๆ ตอนแปรงฟันได้ยังไง”
และอีกสารพัดสารพัน ที่เจ้าทโมนพวกนั้น จะสรรหามาถามไถ่ ทำร้ายหัวใจกันเล่นๆ
“ฉันเอาด้วย ช่วยแกทุกอย่างที่ไม่ต้องออกไปเจอหน้าใครๆ”
“ไม่ได้ ถ้าจะช่วย ก็ต้องเต็มที่”
เป็นฐานวดี ที่หันมาสบตากนิษฐา ก่อนหันไปพูดกับไปรยา
“ได้ อิไบรท์ ชั้นจะลงทุนกะแก จะเอาสลากออมสินไปขาย เอาตังค์มาเล่นด้วย แต่... แก... นังนิด”
สองคนหันขวับ กลับมาทางคนจบครูพันธุ์ใหม่ ทั้งคู่คงตามความคิดกันทันแล้ว ยกเว้นคนถูกจ้องหน้า
“มองทำไม จ้องยังกะมะแลงวันจะตอมขรี้”
กนิษฐาพยายามปล่อยมุก หลังจากพอเข้าใจอะไรได้เลาๆ
“แก... ถ้าเราจะก่อตั้ง ก็ต้องช่วยกันทำงาน อิถามันลงทุน ชั้นออกเดินตลาด แต่แกจะเฝ้าออฟฟิศเฉยๆ ไม่ได้”
ไปรยาพูดด้วยเสียงเข้มข้นจริงจังเกินไปเสียแล้ว
“ถึงแกจะเป็นคนเฝ้าออฟฟิศ น้ำหน้าอย่างงี้ คนเขาจะเข้าใจว่า เป็นบริษัทรับจัดงานฌาปณกิจ”
ฐานวดีช่วยเสริม ให้มโนภาพทุกคนชัดเจนยิ่งขึ้น
“ไหนพวกเมิงว่าไม่ได้คบกรูที่หน้าตาไงล่ะ”
กนิษฐาเสียงเครียดขึ้นโดยฉับพลัน
“ใช่ ถ้าเป็นแค่เพื่อน เรื่องหน้าตาไม่สำคัญ แต่... เรากำลังจะทำธุรกิจร่วมกัน แถมเรื่องแบบนี้ หน้า ผม นม หุ่น ต้องเป๊ะ”
ไปรยาถึงกับยืนประกอบเป็นตัวอย่าง ส่วนสูงร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรบนส้นสูงสามนิ้วครึ่ง ทำให้หล่อนดูเหมือนนางแบบสวยๆ ได้คนหนึ่งเลยทีเดียว
กนิษฐาส่งสีหน้าลำบากใจให้เพื่อนๆ จนฐานวดีต้องยื่นคำขาด
“ชั้นจะลงทุน ถ้าแกยอมไปเกาหลี พรุ่งนี้บินได้เลย”
“อิบร้า! ตัดสินใจง่ายไปหรือเปล่ายะ”
คนจะถูกส่งไปทำศัลยกรรมถึงแดนกิมจิแทบกรี๊ด
“ไม่งั้นแกก็เป็นอิถึกเงือกเถือกแถไปตลอดชาติเถอะนะ”
ไปรยาช่วยผสมโรงเนียนๆ ประหนึ่งว่า ข้อตกลงการร่วมกันธุรกิจ บรรลุเป้าหมายไปเรียบร้อยแล้ว
“แกอย่าลืม พวกเราแก่ลงทุกวันๆ มันไม่หวานๆ มันๆ แบบพวกจบใหม่ๆ จะหาผู้ชายดีๆ สักคน ถ้ามันรวยๆ มันก็เลี้ยงต้อยตั้งแต่เพิ่งเข้ามหา’ลัย นอกจากเราจะหากำไรจากธรุกิจนี้แล้ว ถ้ามีผู้ชายดีๆ หลงเข้ามา เราก็จัดซะไงล่ะ”
คนต้นคิด หว่านล้อมต่อไป
“ซึ่ง... นังไบรท์กะชั้น แกก็เห็นว่า ไม่น่าจะมีปัญหากะเรื่องนี้ ยกเว้นแก”
“แต่ฉันพอใจกะสิ่งที่พ่อแม่ให้มาแล้วนะ”
“ดัดจริต!!”
สองเสียงประสานกันดังชัด
“เมิงไม่ได้อยู่ต่อหน้านักเรียน ไม่ต้องสร้างภาพ ไหนเคยร้องห่มร้องไห้ ที่อิผู้ปกครองมันมาฟ้องครูใหญ่ ว่าลูกมันกลับไปฝันร้ายเพราะแกเข้าไปฝึกสอน”
“นั่นเด็กมันดูหนังผี”
กนิษฐาพยายามเถียง
“ประกอบกับที่เห็นหนังหน้าแกด้วยแหละ!”
อีกสองเสียงไม่ลดละ
“เอาไง! ยอมนะ โอ เค แกกลับไปจองตั๋ว พรุ่งนี้เช้าชั้นโอนตังค์เข้าบัญชีให้ บินไปคนเดียว เอาให้สวย ทางนี้ชั้นกะอิไบรท์จะจัดการอะไรๆ ไว้รอ”
รุ่งขึ้นไปรยากับฐานวดีก็ไปส่งเพื่อนที่สนามบินสุวรรณภูมิได้จริงๆ โดยคนหลังกลายเป็นสาวผมซอยสั้น สวมยีนกับเสื้อเชิ้ตไปซะอย่างนั้น ตอนนั้นคนลงทุน ให้เหตุผลง่ายๆ
“รำคาญพวกที่จ้องกันตาเป็นมัน ทำตัวงี้แหละ เขาจะไม่ต้องมาคิดว่ากุสวยแต่รูป โง่เง่าเป็นเต่าสมองลีบ”
...และนี้คือเดือนที่สี่ ที่มีลูกค้าแค่ประปราย แบบชวนไปนั่งดื่ม นั่งรับประทานอาหาร และควงไปงานที่เจ้าภาพกับคนได้รับบัตรเชิญ ไม่เคยรู้จักกันเลย...
(มีต่อ)