ที่ผ่านมา มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งซึ่งอาจไม่ได้เป็นที่สนใจของคนทั่วไปเกิดขึ้น ข่าวนั้นคือ Huga Barra ได้ลาออกจากตำแหน่งในส่วนการจัดการผลิตภัณฑ์ Android ที่ Google โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ที่แน่นอนคือเขาเข้าไปร่วมทีมกับ Xiaomi (อ่านว่า เสียวหมี่,ฉาวหมิ แปลว่า millet หรือข้าวฟ่าง) ผู้พัฒนาสมาร์ทโฟนจากประเทศจีนที่เพิ่งก่อตั้งบริษัทมาได้ราวสามขวบปี โดยเข้าไปรับผิดชอบด้านการขยายตลาดออกจากประเทศจีนบ้านเกิด
สิ่งที่ทำให้ Xiaomi ได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาก็คือ บริษัทสามารถทำส่วนแบ่งตลาดในประเทศจีนแซงหน้า Apple ไปได้ในไตรมาสสองที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัย Canalys ระบุว่า บริษัทสามารถทำส่วนแบ่งตลาดได้กว่าร้อยละ 5 ขณะที่ Apple อยู่ที่ร้อยละ 4.8 โดยที่น่าทึ่งก็คือXiaomi เพิ่งจะได้รับการก่อตั้งเมื่อสามปีที่แล้วในวันที่ 6 มิถุนายน 2553 ด้วยความร่วมมือจากชายหนุ่มชาวจีนทั้งหมด 8 ชีวิต นำทีมโดย Lei Jun ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งซีอีโอ และ Lin Bin ผู้ดำรงตำแหน่งประธาน ส่วนคนอื่นๆยังไม่ได้หาข้อมูลครับขออภัย
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยทำงานเขียน Rom ให้กับแบรนด์ดังๆอีกหลายแบรนด์หนึ่งในนั้นคือ Samsung จากนั้นไม่นานในวันที่ 16 สิงหาคม ปีเดียวกัน บริษัทก็ได้เปิดตัว MIUI (อ่านว่า Me You I หรือ มี-ยู-ไอ)
ถ้าลองมอง Xiaomi จะพบว่าบริษัทนี้มีความคล้ายคลึงกับ Amazon ไม่ใช่น้อย เพราะเติบโตขึ้นมาจาก e-commerce ก่อนแล้วจึงมาทำ Android แต่สิ่งที่ทำให้ Xiaomi เริ่มเป็นที่จับตามองจากวงการ Android ขึ้นมาจริงๆไม่ใช่มือถือที่เค้าทำออกมาขาย แต่ว่าเป็น Custom Rom ที่ทำออกมาแล้วมีเอกลักษณ์ ความสวยงาม ลื่นไหล และยังมีระบบ find Midevice ค้นหากรณีโดนขโมยหรือหาย สามารถตามได้เหมือน iphone และทีเด็ดไปกว่านั้นคือ Clound ฟรีๆไว้สำรองไฟล์ต่าง ความจุเริ่มต้นที่ 5GB จะสามารถเพิ่มได้เรื่อยๆเมื่อ Login ผ่านเว็ป Miclound ทุกสิ้นเดือน (ตอนนีผมมีตั้ง 10 GB แหนะ หุหุ) และรอมของ Xiaomi ยังดีกว่ารอมแท้ๆของเครื่องหลายๆเจ้าซะอีก จนขนาดว่ามีแฟนๆจากหลายประเทศทั่วโลกเอาไปโมจับยัดใส่มือถือรุ่นต่างๆเลยทีเดียว และยังทำรอมให้อีกหลายๆแบรนด์ (เข้าไปดู unofficial site ของ MIUI ที่
http://en.miui.com/download.html)
ล่าสุดได้เปิด Xiaomi Mi4
ที่มาพร้อมฝาหลังแบบ Celeb
สเปคคล่าวๆ
-ชิปเซ็ต Snapgradon 801 ควอดคอร์ความถี่ 2.5 GHz
-แรม 3 GB
-หน้าจอ IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 1080p Full HD
-กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 4K กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล
-แบตเตอร์รี่ 3080 mAh
-ความจุ 16/64 GB โดยเป็น eMMC 5.0 อ่านเร็วเพิ่มขึ้น 100% และเขียนเร็วเพิ่มขึ้น 50%
-รอม MiUi v6
-หนัก 146 กรัม
สำหรับราคารุ่น 16 GB อยู่ที่ $320 (ประมาณ 9,600 บาท) ขณะที่ 64 GB อยู่ที่ $400 (ประมาณ 12,000 บาท) และจะวางจำหน่ายวันที่ 29 กรกฎาคมนี้
และ ตัว Body เป็น CNC 8 ชั้น ขอบข้างเป็น แสตนเลสผสมเหล็ก ผ่านกระบวนการผลิต มา 193 ขั้นตอน!!!!
การเปิดตัว Mi4 ครั้งนี้ มีการดูการถ่ายทอดเป็นรูปภาพผ่านทางเว็ปของ Xiaomi เอง ยอดคนดูมีมากถึง 100,000,000 กว่าล้าน
ล่าสุดได้มีข่าวเกี่ยวการการเปิดตัว Xiaomi Mi4 ครั้งนี้ว่าคล้ายการเปิดตัวของ Steav Job และ
Barra บอกว่าสำหรับเขานั้น Xiaomi คือบริษัทที่มีนวัตกรรมอย่างเหลือเชื่อ และมีการพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์โดยตลอด เขาจึงรู้สึกว่าการที่คนโจมตีว่าบริษัทลอกแอปเปิลนั้นเป็นเพราะ "ไม่รู้จะพูดอะไร" มากกว่า
เมื่อถามถึงการออกแบบสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ที่มีลักษณะหลายอย่างเหมือนกับ iPhone หรือ iPad ของแอปเปิล Barra บอกว่าถ้าหากสองบริษัทมีทีมออกแบบที่มีทักษะความสามารถและกระบวนการคิดเหมือนกัน ก็เป็นไปได้อยู่แล้วที่สุดท้ายผลิตภัณฑ์จะมีบทสรุปออกมาใกล้เคียงกัน มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
ส่วนประเด็นวิธีเปิดตัวสินค้าของซีอีโอ Lei Jun ที่คล้ายกับสตีฟ จ็อบส์มาก Barra บอกว่า Xiaomi ไม่ใช่บริษัทเดียวในโลกที่เลือกใช้วิธีนำเสนอในรูปแบบสตีฟ จ็อบส์ แต่บริษัททั่วโลกก็ใช้กัน
มาถึงคำถามสุดท้ายว่าเมื่อไหร่ที่ Xiaomi จะบุกอเมริกา Barra ตอบว่าบริษัทสนใจอยู่ตลาดอเมริกาอยู่แล้ว แต่การบุกไปลุยนั้นก็ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวว่า Xiaomi ผ่านอณุมัติจาก กสทช. และได้รับการสนใจจาก สาวก Xiaomi เป็นอย่างมากและส่วนตัวผมคิดว่ามาไม่เกินปี 2014 นี้แน่นอน เพราะภายในเวลา 2 ปี Xiaomi บุกประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียเกือบหมดแล้ว คุ้นๆตาก็มี มาเล,ฟิลิปปิน,อินโดเนเซีย ล่าสุด กระโดดไป อินเดีย
สิ่งที่สร้างความแตกต่าง
หลายคนอาจสงสัยว่า เพราะเหตุใด Xiaomi ถึงสามารถขายสมาร์ทโฟนสเปคสูงได้ในราคาถูกกว่าคู่แข่งร่วมเท่าตัว? กลวิธีหนึ่งก็คือตัดผู้ค้าคนกลางไปเสีย โดยสิ่งที่ Xiaomi ทำก็คือขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์เท่านั้น ไม่ได้ขายผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย ร้านค้าปลีก มีหน้าร้าน หรือฝ่ายขายใดๆ จึงทำให้สามารถลดต้นทุนลงไปได้มาก อีกกลวิธีหนึ่งก็คือขายสินค้าตัวหนึ่งในระยะเวลาที่นานขึ้น กล่าวคือแทนที่จะออกมือถือรุ่นใหม่มาทุก 6 เดือน ก็ยืดเวลาออกไปให้นานกว่านั้น เพื่อที่จะสามารถขายบริการและอุปกรณ์เสริมอื่นเพิ่มเติมได้มากขึ้นนั่นเอง
ที่น่าสนใจคือ Xiaomi ยังได้นำกลวิธีที่ Amazon ใช้ในการหารายจากอุปกรณ์ Kindle มาใช้กับการขายมือถือของตนด้วย โดยเป็นที่ทราบกันว่า สาเหตุที่ Amazon สามารถขาย Kindle ได้ในราคาไม่แพงและจนอาจถึงขั้นยอมขาดทุน เพราะสามารถชดเชยส่วนที่หายไปจากการที่ผู้บริโภคซื้อของในร้านค้าออนไลน์ซึ่ง Xiaomi ก็ใช้วิธีการเดียวกัน กล่าวคือผู้ใช้สามารถเข้าไปในร้านค้าออนไลน์เพื่อเลือกซื้อเกม วอลเปเปอร์ และของขวัญเสมือน (virtual gift) ซึ่งวิธีการนี้สามารถสร้างรายรับให้กับบริษัทได้ถึงเดือนละกว่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐ
และนอกจากนี้ ความเอาใจใส่ในลูกค้าก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Xiaomi สามารถเอาชนะใจกลุ่มลูกค้าชาวจีนได้ โดยบริษัทจะปล่อยอัปเดตของ MIUI ทุกสัปดาห์ตามคำแนะนำของแฟนๆ ที่แสดงความเห็นผ่านทาง weibo บริการที่มีลักษณะคล้ายกับ Twitter ว่าคุณสมบัติใดที่ควรเพิ่มเข้าไปหรือแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ผลิตมือถือรายอื่น Barra แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า “คุณลักษณะเด่นของ Xiaomi ที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอเลยก็คือการให้ความสำคัญกับผู้ใช้งาน เพราะทุกคำถาม ทุกความเห็นจะได้รับการตอบกลับ ตลอดจนคุณลักษณะสำคัญหลายอย่างที่เพิ่มเข้าไปนั้นก็เกิดจากคำแนะนำของผู้ใช้เอง”
ความท้าทาย
ณ ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า Xiaomi คือแบรนด์สมาร์ทโฟนที่กำลังมาแรงมากในประเทศจีน โดยเมื่อปีที่แล้วบริษัทสามารถทำยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนไปได้กว่า 7.2 ล้านเครื่อง ในตลาดประเทศจีน ฮ่องกง และไต้หวัน คิดเป็นรายรับทั้งสิ้น 2.1 พันล้านเหรียญ ความสำเร็จดังกล่าวนับว่าเป็นดาบสองคมเพราะปัญหาในปัจจุบันที่บริษัทกำลังเผชิญก็คือได้มีมือถือปลอมที่แปะป้ายแบรนด์ของตนวางจำหน่ายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งหากไม่รีบแก้ปัญหาก็จะทำให้สินค้าของตนเสื่อมเสียชื่อเสียง
นอกจากนี้ การที่บริษัทยังใช้วิธีการหารายได้จากการขายอุปกรณ์เสริมหรือซอฟแวร์ต่างๆ อยู่นั้นก็ไม่เป็นการรับประกันว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว Michael Clendenin นักวิเคราะห์จาก RedTech Advisors บริษัทที่ปรึกษาด้านไอทีซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ แสดงความเห็นว่า ผู้บริโภคชาวจีนส่วนใหญ่มักคุ้นชินกับการใช้งานซอฟแวร์ฟรีและมักไม่ชอบเสียเงินซื้อ จึงอาจทำให้บริษัทประสบกับการหารายได้ต่อไป
สุดท้าย ถึงแม้จะได้ Barra เข้าไปรับผิดชอบด้านการผลักดันแบรนด์ให้เข้าสู่ตลาดโลก แต่ก็ใช่ว่าหนทางจะง่ายไปเสียทีเดียว เพราะนอกจากตลาดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแล้ว Xiaomi ยังเป็นที่รู้จักน้อยมาก และเทียบไม่ได้เลยจากแบรนด์จากจีนด้วยกันเองอย่าง Huawei หรือ ZTE ที่ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างใช้งบประมาณทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถทำส่วนแบ่งตลาดสู้แบรนด์สมาร์ทโฟน Android อื่นอย่าง Samsung หรือ HTC ได้เลย อีกทั้งการที่บริษัทใช้วิธีการขายผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเดียวก็ตรงกันข้ามกับวิธีการขายสมาร์ทโฟนของตะวันตกที่มักขายผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย จึงทำให้ขายตัวเครื่องได้ในราคาที่ถูกกว่า แม้ว่าจะต้องใช้งานภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาก็ตาม
สรุป
จุดเด่นของ Xiaomi อยู่ที่สินค้าคุณภาพสูงแต่มีราคาขายที่ไม่แพง จึงทำให้สามารถเอาใจผู้ใช้งานที่มีงบประมาณไม่มากไปได้ เช่น กลุ่มวัยรุ่น โดยบริษัทได้หาวิธีการชดเชยรายรับด้วยการขายบริการเสริมอื่นเพิ่มเสริมประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงซอฟแวร์ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ จึงทำให้เกิดฐานลูกค้าที่มีความภักดีในตัวแบรนด์สูง การที่บริษัทได้ตัว Barra ไปนั้นก็นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีว่าเราอาจได้เห็น Xiaomi ไปโลดแล่นในตลาดโลกเช่นเดียวกับแบรนด์อื่นที่มาจากถิ่นกำเนิดเดียวกัน และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายเช่นเดียวกับประเทศอื่นที่เป็นตลาดใหญ่อย่าง อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย และประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา ไม่แน่ว่าอีกไม่นานเราอาจได้เห็นมือถือแบรนด์นี้ออกมาแข่งกับสมาร์ทโฟน Android แบรนด์อื่นก็เป็นได้ครับ
สุดท้ายมาดูการทำงานของพวกเค้ากันครับ

สามารถติดตาม Xiaomi ได้ที่
https://www.facebook.com/groups/miui.in.th/
หรือ
http://www.miui.in.th/
บทความจาก blogone,Miui.in.th และ en.miui.com
Xiaomi สุดยอด Smartphone น้องใหม่มาแรงแห่งปี 2014
สิ่งที่ทำให้ Xiaomi ได้รับการกล่าวถึงเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาก็คือ บริษัทสามารถทำส่วนแบ่งตลาดในประเทศจีนแซงหน้า Apple ไปได้ในไตรมาสสองที่ผ่านมา โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัย Canalys ระบุว่า บริษัทสามารถทำส่วนแบ่งตลาดได้กว่าร้อยละ 5 ขณะที่ Apple อยู่ที่ร้อยละ 4.8 โดยที่น่าทึ่งก็คือXiaomi เพิ่งจะได้รับการก่อตั้งเมื่อสามปีที่แล้วในวันที่ 6 มิถุนายน 2553 ด้วยความร่วมมือจากชายหนุ่มชาวจีนทั้งหมด 8 ชีวิต นำทีมโดย Lei Jun ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งซีอีโอ และ Lin Bin ผู้ดำรงตำแหน่งประธาน ส่วนคนอื่นๆยังไม่ได้หาข้อมูลครับขออภัย
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยทำงานเขียน Rom ให้กับแบรนด์ดังๆอีกหลายแบรนด์หนึ่งในนั้นคือ Samsung จากนั้นไม่นานในวันที่ 16 สิงหาคม ปีเดียวกัน บริษัทก็ได้เปิดตัว MIUI (อ่านว่า Me You I หรือ มี-ยู-ไอ)
ถ้าลองมอง Xiaomi จะพบว่าบริษัทนี้มีความคล้ายคลึงกับ Amazon ไม่ใช่น้อย เพราะเติบโตขึ้นมาจาก e-commerce ก่อนแล้วจึงมาทำ Android แต่สิ่งที่ทำให้ Xiaomi เริ่มเป็นที่จับตามองจากวงการ Android ขึ้นมาจริงๆไม่ใช่มือถือที่เค้าทำออกมาขาย แต่ว่าเป็น Custom Rom ที่ทำออกมาแล้วมีเอกลักษณ์ ความสวยงาม ลื่นไหล และยังมีระบบ find Midevice ค้นหากรณีโดนขโมยหรือหาย สามารถตามได้เหมือน iphone และทีเด็ดไปกว่านั้นคือ Clound ฟรีๆไว้สำรองไฟล์ต่าง ความจุเริ่มต้นที่ 5GB จะสามารถเพิ่มได้เรื่อยๆเมื่อ Login ผ่านเว็ป Miclound ทุกสิ้นเดือน (ตอนนีผมมีตั้ง 10 GB แหนะ หุหุ) และรอมของ Xiaomi ยังดีกว่ารอมแท้ๆของเครื่องหลายๆเจ้าซะอีก จนขนาดว่ามีแฟนๆจากหลายประเทศทั่วโลกเอาไปโมจับยัดใส่มือถือรุ่นต่างๆเลยทีเดียว และยังทำรอมให้อีกหลายๆแบรนด์ (เข้าไปดู unofficial site ของ MIUI ที่ http://en.miui.com/download.html)
ล่าสุดได้เปิด Xiaomi Mi4
ที่มาพร้อมฝาหลังแบบ Celeb
สเปคคล่าวๆ
-ชิปเซ็ต Snapgradon 801 ควอดคอร์ความถี่ 2.5 GHz
-แรม 3 GB
-หน้าจอ IPS ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 1080p Full HD
-กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 4K กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล
-แบตเตอร์รี่ 3080 mAh
-ความจุ 16/64 GB โดยเป็น eMMC 5.0 อ่านเร็วเพิ่มขึ้น 100% และเขียนเร็วเพิ่มขึ้น 50%
-รอม MiUi v6
-หนัก 146 กรัม
สำหรับราคารุ่น 16 GB อยู่ที่ $320 (ประมาณ 9,600 บาท) ขณะที่ 64 GB อยู่ที่ $400 (ประมาณ 12,000 บาท) และจะวางจำหน่ายวันที่ 29 กรกฎาคมนี้
และ ตัว Body เป็น CNC 8 ชั้น ขอบข้างเป็น แสตนเลสผสมเหล็ก ผ่านกระบวนการผลิต มา 193 ขั้นตอน!!!!
การเปิดตัว Mi4 ครั้งนี้ มีการดูการถ่ายทอดเป็นรูปภาพผ่านทางเว็ปของ Xiaomi เอง ยอดคนดูมีมากถึง 100,000,000 กว่าล้าน
ล่าสุดได้มีข่าวเกี่ยวการการเปิดตัว Xiaomi Mi4 ครั้งนี้ว่าคล้ายการเปิดตัวของ Steav Job และ
Barra บอกว่าสำหรับเขานั้น Xiaomi คือบริษัทที่มีนวัตกรรมอย่างเหลือเชื่อ และมีการพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์โดยตลอด เขาจึงรู้สึกว่าการที่คนโจมตีว่าบริษัทลอกแอปเปิลนั้นเป็นเพราะ "ไม่รู้จะพูดอะไร" มากกว่า
เมื่อถามถึงการออกแบบสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ที่มีลักษณะหลายอย่างเหมือนกับ iPhone หรือ iPad ของแอปเปิล Barra บอกว่าถ้าหากสองบริษัทมีทีมออกแบบที่มีทักษะความสามารถและกระบวนการคิดเหมือนกัน ก็เป็นไปได้อยู่แล้วที่สุดท้ายผลิตภัณฑ์จะมีบทสรุปออกมาใกล้เคียงกัน มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
ส่วนประเด็นวิธีเปิดตัวสินค้าของซีอีโอ Lei Jun ที่คล้ายกับสตีฟ จ็อบส์มาก Barra บอกว่า Xiaomi ไม่ใช่บริษัทเดียวในโลกที่เลือกใช้วิธีนำเสนอในรูปแบบสตีฟ จ็อบส์ แต่บริษัททั่วโลกก็ใช้กัน
มาถึงคำถามสุดท้ายว่าเมื่อไหร่ที่ Xiaomi จะบุกอเมริกา Barra ตอบว่าบริษัทสนใจอยู่ตลาดอเมริกาอยู่แล้ว แต่การบุกไปลุยนั้นก็ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวว่า Xiaomi ผ่านอณุมัติจาก กสทช. และได้รับการสนใจจาก สาวก Xiaomi เป็นอย่างมากและส่วนตัวผมคิดว่ามาไม่เกินปี 2014 นี้แน่นอน เพราะภายในเวลา 2 ปี Xiaomi บุกประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียเกือบหมดแล้ว คุ้นๆตาก็มี มาเล,ฟิลิปปิน,อินโดเนเซีย ล่าสุด กระโดดไป อินเดีย
สิ่งที่สร้างความแตกต่าง
หลายคนอาจสงสัยว่า เพราะเหตุใด Xiaomi ถึงสามารถขายสมาร์ทโฟนสเปคสูงได้ในราคาถูกกว่าคู่แข่งร่วมเท่าตัว? กลวิธีหนึ่งก็คือตัดผู้ค้าคนกลางไปเสีย โดยสิ่งที่ Xiaomi ทำก็คือขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์เท่านั้น ไม่ได้ขายผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย ร้านค้าปลีก มีหน้าร้าน หรือฝ่ายขายใดๆ จึงทำให้สามารถลดต้นทุนลงไปได้มาก อีกกลวิธีหนึ่งก็คือขายสินค้าตัวหนึ่งในระยะเวลาที่นานขึ้น กล่าวคือแทนที่จะออกมือถือรุ่นใหม่มาทุก 6 เดือน ก็ยืดเวลาออกไปให้นานกว่านั้น เพื่อที่จะสามารถขายบริการและอุปกรณ์เสริมอื่นเพิ่มเติมได้มากขึ้นนั่นเอง
ที่น่าสนใจคือ Xiaomi ยังได้นำกลวิธีที่ Amazon ใช้ในการหารายจากอุปกรณ์ Kindle มาใช้กับการขายมือถือของตนด้วย โดยเป็นที่ทราบกันว่า สาเหตุที่ Amazon สามารถขาย Kindle ได้ในราคาไม่แพงและจนอาจถึงขั้นยอมขาดทุน เพราะสามารถชดเชยส่วนที่หายไปจากการที่ผู้บริโภคซื้อของในร้านค้าออนไลน์ซึ่ง Xiaomi ก็ใช้วิธีการเดียวกัน กล่าวคือผู้ใช้สามารถเข้าไปในร้านค้าออนไลน์เพื่อเลือกซื้อเกม วอลเปเปอร์ และของขวัญเสมือน (virtual gift) ซึ่งวิธีการนี้สามารถสร้างรายรับให้กับบริษัทได้ถึงเดือนละกว่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐ
และนอกจากนี้ ความเอาใจใส่ในลูกค้าก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Xiaomi สามารถเอาชนะใจกลุ่มลูกค้าชาวจีนได้ โดยบริษัทจะปล่อยอัปเดตของ MIUI ทุกสัปดาห์ตามคำแนะนำของแฟนๆ ที่แสดงความเห็นผ่านทาง weibo บริการที่มีลักษณะคล้ายกับ Twitter ว่าคุณสมบัติใดที่ควรเพิ่มเข้าไปหรือแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่เคยเกิดขึ้นกับผู้ผลิตมือถือรายอื่น Barra แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า “คุณลักษณะเด่นของ Xiaomi ที่ฝังอยู่ในดีเอ็นเอเลยก็คือการให้ความสำคัญกับผู้ใช้งาน เพราะทุกคำถาม ทุกความเห็นจะได้รับการตอบกลับ ตลอดจนคุณลักษณะสำคัญหลายอย่างที่เพิ่มเข้าไปนั้นก็เกิดจากคำแนะนำของผู้ใช้เอง”
ความท้าทาย
ณ ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า Xiaomi คือแบรนด์สมาร์ทโฟนที่กำลังมาแรงมากในประเทศจีน โดยเมื่อปีที่แล้วบริษัทสามารถทำยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนไปได้กว่า 7.2 ล้านเครื่อง ในตลาดประเทศจีน ฮ่องกง และไต้หวัน คิดเป็นรายรับทั้งสิ้น 2.1 พันล้านเหรียญ ความสำเร็จดังกล่าวนับว่าเป็นดาบสองคมเพราะปัญหาในปัจจุบันที่บริษัทกำลังเผชิญก็คือได้มีมือถือปลอมที่แปะป้ายแบรนด์ของตนวางจำหน่ายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งหากไม่รีบแก้ปัญหาก็จะทำให้สินค้าของตนเสื่อมเสียชื่อเสียง
นอกจากนี้ การที่บริษัทยังใช้วิธีการหารายได้จากการขายอุปกรณ์เสริมหรือซอฟแวร์ต่างๆ อยู่นั้นก็ไม่เป็นการรับประกันว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว Michael Clendenin นักวิเคราะห์จาก RedTech Advisors บริษัทที่ปรึกษาด้านไอทีซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ แสดงความเห็นว่า ผู้บริโภคชาวจีนส่วนใหญ่มักคุ้นชินกับการใช้งานซอฟแวร์ฟรีและมักไม่ชอบเสียเงินซื้อ จึงอาจทำให้บริษัทประสบกับการหารายได้ต่อไป
สุดท้าย ถึงแม้จะได้ Barra เข้าไปรับผิดชอบด้านการผลักดันแบรนด์ให้เข้าสู่ตลาดโลก แต่ก็ใช่ว่าหนทางจะง่ายไปเสียทีเดียว เพราะนอกจากตลาดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแล้ว Xiaomi ยังเป็นที่รู้จักน้อยมาก และเทียบไม่ได้เลยจากแบรนด์จากจีนด้วยกันเองอย่าง Huawei หรือ ZTE ที่ถึงแม้ต่างฝ่ายต่างใช้งบประมาณทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่สามารถทำส่วนแบ่งตลาดสู้แบรนด์สมาร์ทโฟน Android อื่นอย่าง Samsung หรือ HTC ได้เลย อีกทั้งการที่บริษัทใช้วิธีการขายผ่านช่องทางออนไลน์อย่างเดียวก็ตรงกันข้ามกับวิธีการขายสมาร์ทโฟนของตะวันตกที่มักขายผ่านผู้ให้บริการเครือข่าย จึงทำให้ขายตัวเครื่องได้ในราคาที่ถูกกว่า แม้ว่าจะต้องใช้งานภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาก็ตาม
สรุป
จุดเด่นของ Xiaomi อยู่ที่สินค้าคุณภาพสูงแต่มีราคาขายที่ไม่แพง จึงทำให้สามารถเอาใจผู้ใช้งานที่มีงบประมาณไม่มากไปได้ เช่น กลุ่มวัยรุ่น โดยบริษัทได้หาวิธีการชดเชยรายรับด้วยการขายบริการเสริมอื่นเพิ่มเสริมประสบการณ์การใช้งานให้ดีขึ้น ตลอดจนการรับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงซอฟแวร์ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ จึงทำให้เกิดฐานลูกค้าที่มีความภักดีในตัวแบรนด์สูง การที่บริษัทได้ตัว Barra ไปนั้นก็นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีว่าเราอาจได้เห็น Xiaomi ไปโลดแล่นในตลาดโลกเช่นเดียวกับแบรนด์อื่นที่มาจากถิ่นกำเนิดเดียวกัน และเป็นเรื่องน่ายินดีที่ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายเช่นเดียวกับประเทศอื่นที่เป็นตลาดใหญ่อย่าง อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย และประเทศในกลุ่มละตินอเมริกา ไม่แน่ว่าอีกไม่นานเราอาจได้เห็นมือถือแบรนด์นี้ออกมาแข่งกับสมาร์ทโฟน Android แบรนด์อื่นก็เป็นได้ครับ
สุดท้ายมาดูการทำงานของพวกเค้ากันครับ
สามารถติดตาม Xiaomi ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/miui.in.th/
หรือ http://www.miui.in.th/
บทความจาก blogone,Miui.in.th และ en.miui.com