"ไทยมีคดีข่มขืนถึง 31,866 คดี เฉลี่ยวันละ 87 คดี หรือ 15 นาทีต่อ 1 คดี และที่ไม่ได้แจ้งความอีกไม่รู้อีกกี่คดี" (ข้อมูลจากมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ปี 2556)
แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะน่าตกใจ แต่ในสามหมื่นคดีข่มขื่นอาจไม่มีการฆ่า ไม่เป็นข่าวดังเหมือนกรณีเด็กหญิงอายุ 13 ปีถูกข่มขืนบนรถไฟ ซึ่งคดีข่มขืนนี้ตามกฎหมายอาญาไทย การข่มขืนหญิงอายุเกิน 15 ปี มีโทษจำคุก 4–20 ปี ถ้าข่มขืนเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13ปี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปีถึง 20 ปี ถ้าได้รับอันตรายสาหัส จำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี แต่ถ้าถึงแก่ความตายต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ของคนร้ายและดุลพินิจของศาล
โทษฐานข่มขืนต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นประเด็นที่สังคมไทยจะถกเถียงกัน จึงเกิดวงเสวนาหลายวงในรอบสัปดาห์ เพื่อถกเถียงหาข้อสรุป ทั้งงานสานเสวนา สามศาสนา คริสต์ พุทธและอิสลาม ในหัวข้อ ฆ่า ข่มขืน โทษประหาร สังคมไทยจะก้าวไปทางใด ที่วัดบ้านเซเวียร์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (17 ก.ค.) ซึ่งระบุว่าทั้งสามศาสนาไม่ได้สนับสนุนโทษประหารชีวิตแต่อย่างใด แต่เสนอแนะให้สังคมช่วยกันแก้ไขที่ต้นเหตุ ก่อนจะเกิดการข่มขืน มากกว่าชูโทษประหาร ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาปลายเหตุ
และล่าสุดกับวงเสวนา "จากจอ สู่จริง" ที่มีเดีย คาเฟ่ สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน เชิงสะพานหัวช้าง พญาไท จัดโดยกลุ่มมีเดีย อินไซด์ เอ้าท์ แหล่งรวมตัวกันของคนทำงานสื่อเพื่อวิพากษ์วิจารณ์บทบาทสื่อมวลชนไทย ซึ่งมีประเด็นเห็นคล้ายคลึงกัน คือทั้งตัวผู้ถูกกระทำ (เหยื่อ) และผู้กระทำการข่มขื่น ทั้งสองเป็นเหยื่อของกระบวนการโครงสร้างของสังคมไทย และโทษประหารชีวิตสถานเดียวเป็นเพียงปลายเหตุไม่สามารถปัญหาการข่มขืนให้ลดจำนวนลงในระยะยาว ซึ่งในวงเสวนามีการพูดถึงปัจจัยเหตุต่างๆ ที่นำมาซึ่งคดีข่มขืนในสังคมไทย ซึ่งสรุปเป็นประเด็น ดังต่อไปนี้
ปัจจัยด้านการเลี้ยงดูในครอบครัว...สู่ปัญหาทางจิตเวช
อารีวรรณ จตุทอง อดีตรองนางสาวไทย และนางพยาบาลอาชีพ ที่ผันตัวมาเป็นนักกฎหมาย เคลื่อนไหวรณรงค์ให้สตรีมีสิทธิความเสมอภาคระหว่างเพศ กล่าวว่า
"การเลี้ยงดูแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน การอบรมสั่งสอนอย่างเช่นการสอนให้ผู้หญิงซึ่งจะเป็นภรรยาต้องดูแลเรื่องภายในบ้าน สำหรับผู้ชายสอนให้เป็นขุนศึก (ยิ่งมีผู้หญิงมาก ยิ่งดีได้รับการยอมรับ) ทั้งสภาพแวดล้อมบริบทภายในบ้านไม่เหมือนกัน จนกระทั่งเรื่องความป่วยทางจิต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคจิต แต่มีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ มีความก้าวร้าว ซึ่งมีสถิติมากกว่า 1 ใน 3 แต่ในสังคมไทยไม่สร้างระบบทางจิตเวชมาดูแลคนป่วย สะท้อนจากจำนวนแพทย์ทางจิตเวชมีจำนวนน้อยกว่าแพทย์ผิวหนัง สิว ศัลยกรรม สะท้อนบางอย่างในสังคม"
ปัจจัยเรื่อง Sex ถูกปิดกั้น เรื่องลับ เรื่องสกปรกและเพศศึกษา
อธึกกิต แสวงสุข (เจ้าของนามปากกา "ใบตองแห้ง") คอลัมนิสต์อิสระ เจ้าของคอลัมน์ “Scenes of Nudity” ในนสพ.ไทยโพสต์ กล่าวว่า
"ในสังคมไทยการปิดกั้นทางเพศทำให้เกิดปัญหา ความต้องการทางเพศเป็นเรื่องปกติ เซ็กซ์ต้องทำให้เป็นเรื่องที่สวยงามไม่ใช่เป็นเรื่องที่ชั่วช้าต่ำทราม หรือเป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์ และการที่คุณจะมีความสุขทางเพศ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ใครก็ได้ มันคือ คนที่คุณรัก ซึ่งไม่ต้องสวยแต่คุณรัก คุณจะมีความสุข ไม่ได้มาด้วยเทคนิค ลีลา ขนาด แต่เป็นเรื่องหัวใจต่อหัวใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยอมรับกันในสังคมอดีต อย่างภาพยนตร์ในอดีตก็มีการเซนเซอร์ฉากนู้ด การจูบ ทำให้คนไทยได้ดูหนังโป๊แบบรสนิยมต่ำ ทำให้เซ็กซ์กับชีวิตถูกตัดขาดออกจากกัน หนังเอ๊กซ์ที่มีแต่การไปทำเรื่องนั้นอย่างเดียว แต่ไม่มีการดำเนินเรื่องเล่า"
ปัจจัยในข้อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไทย
คุณอ้วน อารีวรรณ จตุทอง อดีตรองนางสาวไทย และนางพยาบาลอาชีพ ที่ผันตัวมาเป็นนักกฎหมาย เคลื่อนไหวรณรงค์ให้สตรีมีสิทธิความเสมอภาคระหว่างเพศ
"ยิ่งเขียนกฎหมายให้แรงเท่าไร ผู้กระทำผิดยิ่งพยายามหาพยานไม่ให้ซักทอดถึงตัวเอง ฉะนั้นคดีฆ่าข่มขืนแล้วมีบทลงโทษรุนแรง ผู้กระทำผิดก็มักพยายามทำลายพยาน หรือฆ่าเหยื่อให้ไม่สามารถเป็นพยานในคดีได้"
คุณอ้วนยังกล่าวอีกว่า "การแก้ปัญหาไม่เคยแก้ที่ต้นเหตุ ทุกหน่วยงานก็ทำตามขอบเขตอำนาจทางกฎหมาย มีอำนาจเท่านี้ก็ทำแค่นี้ ทำไมไม่ถกเถียงให้ครบ ดูที่สาเหตุแล้วหาข้อสรุป ว่าใครจะทำอะไร ไม่ทำอะไร สังคมไทยเราเป็นฝี ฝีที่มีหนอง แล้วหนองก็แตกแล้วด้วยหนองแตกก็แค่เช็ดให้หมดไป รอวันแตกใหม่ ไม่เอาเคยเอาต้นตอออก"
นอกจากนี้ด้วยงบประมาณที่น้อยของกรมราชทัณฑ์ และกระแสสังคมที่มีกระแสเป็นหมอทางผิวหนัง เสริมสวย สิว ศัลยกรรมมากกว่าการผลิตจิตแพทย์ ทำให้คนไทยยังไม่เข้าใจว่าเรามีผู้ป่วยทางจิต ซึ่งเขาไม่ได้เป็นโรคจิตแต่มีอาการไม่ปกติ ซึ่งสามารถรักษาและบำบัดได้ อารีวรรณ กล่าว
ปัจจัยของ สื่อ-ละคร-โฆษณา ตอกย้ำมายาคติ "ข่มขืน"
ทัศนวรรณ บรรจง เจ้าหน้าที่บริหารโครงการมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย และพิธีกรรายการ Divas Inter, ว็อย์ทีวี เปิดประเด็นถึงละครในไทยที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจผิดว่า
"ในละครไทยมีการเสนอฉากพระเอกข่มขืนนางเอกแล้วลงเอยกันด้วยดี หรือแม้กระทั่งการใช้คำพูดที่บ่งบอกความรุนแรงทางเพศ แต่เราก็เฉยๆ กับมัน แต่พอเกิดเรื่องขึ้นก็มองว่าเป็นเรื่องของปัจเจกไม่เกี่ยวกับปัญหาทางโครงสร้างของสังคม ที่สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู การบังคับใช้กฎหมาย เอื้อให้ง่าย เอื้อให้ทำแล้วไม่รู้สึกผิด"
ขณะที่อารีวรรณกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "หลายเสียงเรียกร้องผู้กำกับดูแลสื่ออย่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เป็นผู้ดูแลสื่อในการนำเสนอ แต่พอไปอ่านตัวบทกฎหมายที่ให้อำนาจของ กสทช. ก็ร่างไว้อย่างกว้าง ประกอบกับเราเป็นประเทศเสรี การจำกัดการนำเสนอเรื่องดังกล่าวจึงเป็นไปได้ยาก...ครั้นจะให้ผู้เขียนบทละครแก้ไขบทให้ไม่มีฉากดังกล่าว การใช้คำพูดเกี่ยวกับความรุนแรงหรือความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ก็จะอ้างว่าคนดู คนชมละครอยากดูแบบนี้ เพราะวัดจากเรตติ้ง และบางครั้งนโยบายบางช่องเกี่ยวกับละครก็ต้องการฉากแบบนี้ บทแบบนี้เพื่อตอบสนองผู้ชมโดยตรง ทำให้อาจจะเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด หากจะมุ่งไปที่คนเขียนบทแต่ฝ่ายเดียว"
สาเหตุของคดีข่มขื่นทั้งหมดทั้งมวลไม่สามารถแก้ไขหรือลงโทษผู้กระทำผิดฝ่ายเดียว หากคนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นเพียงเหยื่อโครงสร้างใหญ่ของสังคม
อาจไม่ใช่บทสรุปของคดีข่มขืนทุกกรณีในประเทศไทย หากเราทุกฝ่ายยังไม่มีแนวทางร่วมกันแก้ไขปัญหาไฟไหม้ฟางนี้อย่างจริงจัง
ข่าวจาก : มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406119728
ปัญหาไฟไหม้ฟาง : กรณีข่มขืนในไทย
"ไทยมีคดีข่มขืนถึง 31,866 คดี เฉลี่ยวันละ 87 คดี หรือ 15 นาทีต่อ 1 คดี และที่ไม่ได้แจ้งความอีกไม่รู้อีกกี่คดี" (ข้อมูลจากมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ปี 2556)
แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะน่าตกใจ แต่ในสามหมื่นคดีข่มขื่นอาจไม่มีการฆ่า ไม่เป็นข่าวดังเหมือนกรณีเด็กหญิงอายุ 13 ปีถูกข่มขืนบนรถไฟ ซึ่งคดีข่มขืนนี้ตามกฎหมายอาญาไทย การข่มขืนหญิงอายุเกิน 15 ปี มีโทษจำคุก 4–20 ปี ถ้าข่มขืนเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13ปี มีโทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปีถึง 20 ปี ถ้าได้รับอันตรายสาหัส จำคุกตั้งแต่ 15 ปีถึง 20 ปี แต่ถ้าถึงแก่ความตายต้องระวางโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ของคนร้ายและดุลพินิจของศาล
โทษฐานข่มขืนต้องประหารชีวิตสถานเดียว เป็นประเด็นที่สังคมไทยจะถกเถียงกัน จึงเกิดวงเสวนาหลายวงในรอบสัปดาห์ เพื่อถกเถียงหาข้อสรุป ทั้งงานสานเสวนา สามศาสนา คริสต์ พุทธและอิสลาม ในหัวข้อ ฆ่า ข่มขืน โทษประหาร สังคมไทยจะก้าวไปทางใด ที่วัดบ้านเซเวียร์ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (17 ก.ค.) ซึ่งระบุว่าทั้งสามศาสนาไม่ได้สนับสนุนโทษประหารชีวิตแต่อย่างใด แต่เสนอแนะให้สังคมช่วยกันแก้ไขที่ต้นเหตุ ก่อนจะเกิดการข่มขืน มากกว่าชูโทษประหาร ซึ่งเป็นวิธีแก้ปัญหาปลายเหตุ
และล่าสุดกับวงเสวนา "จากจอ สู่จริง" ที่มีเดีย คาเฟ่ สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน เชิงสะพานหัวช้าง พญาไท จัดโดยกลุ่มมีเดีย อินไซด์ เอ้าท์ แหล่งรวมตัวกันของคนทำงานสื่อเพื่อวิพากษ์วิจารณ์บทบาทสื่อมวลชนไทย ซึ่งมีประเด็นเห็นคล้ายคลึงกัน คือทั้งตัวผู้ถูกกระทำ (เหยื่อ) และผู้กระทำการข่มขื่น ทั้งสองเป็นเหยื่อของกระบวนการโครงสร้างของสังคมไทย และโทษประหารชีวิตสถานเดียวเป็นเพียงปลายเหตุไม่สามารถปัญหาการข่มขืนให้ลดจำนวนลงในระยะยาว ซึ่งในวงเสวนามีการพูดถึงปัจจัยเหตุต่างๆ ที่นำมาซึ่งคดีข่มขืนในสังคมไทย ซึ่งสรุปเป็นประเด็น ดังต่อไปนี้
ปัจจัยด้านการเลี้ยงดูในครอบครัว...สู่ปัญหาทางจิตเวช
อารีวรรณ จตุทอง อดีตรองนางสาวไทย และนางพยาบาลอาชีพ ที่ผันตัวมาเป็นนักกฎหมาย เคลื่อนไหวรณรงค์ให้สตรีมีสิทธิความเสมอภาคระหว่างเพศ กล่าวว่า
"การเลี้ยงดูแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน การอบรมสั่งสอนอย่างเช่นการสอนให้ผู้หญิงซึ่งจะเป็นภรรยาต้องดูแลเรื่องภายในบ้าน สำหรับผู้ชายสอนให้เป็นขุนศึก (ยิ่งมีผู้หญิงมาก ยิ่งดีได้รับการยอมรับ) ทั้งสภาพแวดล้อมบริบทภายในบ้านไม่เหมือนกัน จนกระทั่งเรื่องความป่วยทางจิต ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นโรคจิต แต่มีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ มีความก้าวร้าว ซึ่งมีสถิติมากกว่า 1 ใน 3 แต่ในสังคมไทยไม่สร้างระบบทางจิตเวชมาดูแลคนป่วย สะท้อนจากจำนวนแพทย์ทางจิตเวชมีจำนวนน้อยกว่าแพทย์ผิวหนัง สิว ศัลยกรรม สะท้อนบางอย่างในสังคม"
ปัจจัยเรื่อง Sex ถูกปิดกั้น เรื่องลับ เรื่องสกปรกและเพศศึกษา
อธึกกิต แสวงสุข (เจ้าของนามปากกา "ใบตองแห้ง") คอลัมนิสต์อิสระ เจ้าของคอลัมน์ “Scenes of Nudity” ในนสพ.ไทยโพสต์ กล่าวว่า
"ในสังคมไทยการปิดกั้นทางเพศทำให้เกิดปัญหา ความต้องการทางเพศเป็นเรื่องปกติ เซ็กซ์ต้องทำให้เป็นเรื่องที่สวยงามไม่ใช่เป็นเรื่องที่ชั่วช้าต่ำทราม หรือเป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์ และการที่คุณจะมีความสุขทางเพศ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ใครก็ได้ มันคือ คนที่คุณรัก ซึ่งไม่ต้องสวยแต่คุณรัก คุณจะมีความสุข ไม่ได้มาด้วยเทคนิค ลีลา ขนาด แต่เป็นเรื่องหัวใจต่อหัวใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยอมรับกันในสังคมอดีต อย่างภาพยนตร์ในอดีตก็มีการเซนเซอร์ฉากนู้ด การจูบ ทำให้คนไทยได้ดูหนังโป๊แบบรสนิยมต่ำ ทำให้เซ็กซ์กับชีวิตถูกตัดขาดออกจากกัน หนังเอ๊กซ์ที่มีแต่การไปทำเรื่องนั้นอย่างเดียว แต่ไม่มีการดำเนินเรื่องเล่า"
ปัจจัยในข้อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไทย
คุณอ้วน อารีวรรณ จตุทอง อดีตรองนางสาวไทย และนางพยาบาลอาชีพ ที่ผันตัวมาเป็นนักกฎหมาย เคลื่อนไหวรณรงค์ให้สตรีมีสิทธิความเสมอภาคระหว่างเพศ
"ยิ่งเขียนกฎหมายให้แรงเท่าไร ผู้กระทำผิดยิ่งพยายามหาพยานไม่ให้ซักทอดถึงตัวเอง ฉะนั้นคดีฆ่าข่มขืนแล้วมีบทลงโทษรุนแรง ผู้กระทำผิดก็มักพยายามทำลายพยาน หรือฆ่าเหยื่อให้ไม่สามารถเป็นพยานในคดีได้"
คุณอ้วนยังกล่าวอีกว่า "การแก้ปัญหาไม่เคยแก้ที่ต้นเหตุ ทุกหน่วยงานก็ทำตามขอบเขตอำนาจทางกฎหมาย มีอำนาจเท่านี้ก็ทำแค่นี้ ทำไมไม่ถกเถียงให้ครบ ดูที่สาเหตุแล้วหาข้อสรุป ว่าใครจะทำอะไร ไม่ทำอะไร สังคมไทยเราเป็นฝี ฝีที่มีหนอง แล้วหนองก็แตกแล้วด้วยหนองแตกก็แค่เช็ดให้หมดไป รอวันแตกใหม่ ไม่เอาเคยเอาต้นตอออก"
นอกจากนี้ด้วยงบประมาณที่น้อยของกรมราชทัณฑ์ และกระแสสังคมที่มีกระแสเป็นหมอทางผิวหนัง เสริมสวย สิว ศัลยกรรมมากกว่าการผลิตจิตแพทย์ ทำให้คนไทยยังไม่เข้าใจว่าเรามีผู้ป่วยทางจิต ซึ่งเขาไม่ได้เป็นโรคจิตแต่มีอาการไม่ปกติ ซึ่งสามารถรักษาและบำบัดได้ อารีวรรณ กล่าว
ปัจจัยของ สื่อ-ละคร-โฆษณา ตอกย้ำมายาคติ "ข่มขืน"
ทัศนวรรณ บรรจง เจ้าหน้าที่บริหารโครงการมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประเทศไทย และพิธีกรรายการ Divas Inter, ว็อย์ทีวี เปิดประเด็นถึงละครในไทยที่มีส่วนกระตุ้นให้เกิดความเข้าใจผิดว่า
"ในละครไทยมีการเสนอฉากพระเอกข่มขืนนางเอกแล้วลงเอยกันด้วยดี หรือแม้กระทั่งการใช้คำพูดที่บ่งบอกความรุนแรงทางเพศ แต่เราก็เฉยๆ กับมัน แต่พอเกิดเรื่องขึ้นก็มองว่าเป็นเรื่องของปัจเจกไม่เกี่ยวกับปัญหาทางโครงสร้างของสังคม ที่สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู การบังคับใช้กฎหมาย เอื้อให้ง่าย เอื้อให้ทำแล้วไม่รู้สึกผิด"
ขณะที่อารีวรรณกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "หลายเสียงเรียกร้องผู้กำกับดูแลสื่ออย่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เป็นผู้ดูแลสื่อในการนำเสนอ แต่พอไปอ่านตัวบทกฎหมายที่ให้อำนาจของ กสทช. ก็ร่างไว้อย่างกว้าง ประกอบกับเราเป็นประเทศเสรี การจำกัดการนำเสนอเรื่องดังกล่าวจึงเป็นไปได้ยาก...ครั้นจะให้ผู้เขียนบทละครแก้ไขบทให้ไม่มีฉากดังกล่าว การใช้คำพูดเกี่ยวกับความรุนแรงหรือความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ก็จะอ้างว่าคนดู คนชมละครอยากดูแบบนี้ เพราะวัดจากเรตติ้ง และบางครั้งนโยบายบางช่องเกี่ยวกับละครก็ต้องการฉากแบบนี้ บทแบบนี้เพื่อตอบสนองผู้ชมโดยตรง ทำให้อาจจะเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด หากจะมุ่งไปที่คนเขียนบทแต่ฝ่ายเดียว"
สาเหตุของคดีข่มขื่นทั้งหมดทั้งมวลไม่สามารถแก้ไขหรือลงโทษผู้กระทำผิดฝ่ายเดียว หากคนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับว่าเขาเป็นเพียงเหยื่อโครงสร้างใหญ่ของสังคม
อาจไม่ใช่บทสรุปของคดีข่มขืนทุกกรณีในประเทศไทย หากเราทุกฝ่ายยังไม่มีแนวทางร่วมกันแก้ไขปัญหาไฟไหม้ฟางนี้อย่างจริงจัง
ข่าวจาก : มติชนออนไลน์
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406119728