สวัสดีชาวพันทิพทุกท่าน
ขอแนะนำตัวเบื้องต้นนะคะ ดิฉันเล่นพันทิพมาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ไม่เคยตั้งกระทู้เป็นเรื่องเป็นราว ระยะหลัง ๆ เข้าบ้างเป็นครั้งคราวประปราย เล่นสลับหลายห้องตามแต่ความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ทั้งชายคา สินธร โต๊ะเครื่องแป้ง ก้นครัว และอื่น ๆ กฏของพันทิพพยายามจะไม่ละเมิด และโพสข้อความให้อยู่ในระเบียบปฏิบัติให้มากที่สุด หากมีตรงไหนผิดพลาด ช่วยแจ้งด้วยนะคะ (ถ้าตอบช้า หรือ ไม่ได้ตอบ ให้ตั้งสมมุติฐานก่อนนะคะ ว่าอาจจะไม่ได้เฝ้ากระทู้เพื่อติดตามผลตลอดเวลา สำหรับการติดแท็ก พยายามไล่อ่านแล้ว คิดว่าที่ติดไปน่าจะเกี่ยวข้องกับห้องนั้นๆ ผิดพลาดอย่างไร แจ้งได้นะคะ รวมถึงดิฉันอาจจะเข้าใจไม่ครบทุก feature ของพันทิพ ฉะนั้นคาดหวังว่ากระทู้นี้จะไม่มีดราม่าเกิดขึ้นนะคะ )
จุดประสงค์ของกระทู้นี้คือ อยากแชร์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และขอคำปรึกษา จากเพื่อน ๆ เพื่อให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ที่ดิฉันอาจจะคาดไม่ถึง หรือ คิดไม่รอบด้านค่ะ
ขอเล่าประวัติคร่าว ๆ ดิฉันเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรัฐ ในด้านวิศวกรรม และปริญญาโทมหาวิทยาลัยรัฐ ปัจจุบันทำงานด้วยวุฒิปริญญาตรี (เนื่องจากทำงานที่ปัจจุบันในขณะที่เรียนปริญญาโท ค่ะ ฐานเงินจึงได้ตามวุฒิปริญญาตรี) ครอบครัวจัดว่าฐานะปานกลางค่อนไปทางธรรมดา มีน้องชายเรียนจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเอกชนย่านรังสิต ปัจจุบัน บิดาเกษียณ มารดา early retire แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายอย่างมาก เนื่องจาก
บิดา ไม่มีรายได้จากแหล่งใดเลย เงินบำเหน็ดที่เคยได้เป็นก้อนตอนเกษียณ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 400000 ในสหกรณ์ เงินปันผลที่ได้จึงจัดว่าไม่เพียงพอในการเลี้ยงชีพตนเอง
มารดา ไม่มีรายได้จากแหล่งใดเลยเช่นกัน แต่มีเงินออมในรูปหุ้นสหกรณ์ในระดับหนึ่ง เงินปันผลต่อปีสามารถนำใช้จ่ายส่วนตัวของตนเองได้
อธิบายเพิ่มเติม
สมัยที่ดิฉันยังไม่ทำงาน บิดาเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ทุกอย่างในครอบครัว ตั้งแต่ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าว ไปจนถึง ค่าเล่าเรียน ของดิฉัน และ น้องชาย ตามคำบอกกล่าว และ ประสบการณ์ที่พบเห็นด้วยตัวเอง มาตลอดชีวิตที่ผ่านมา
เป็นเหตุให้ ช่วงชีวิตทำงานของบิดามีรายจ่ายมาก หนี้สินเยอะ เคยถึงขนาดกดบัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยแพง มาใช้จ่าย
บิดามีปัญหากับมารดามาโดยตลอดตั้งแต่จำความได้ โดยเฉพาะเรื่องการเงินในครอบครัว และมารดาค่อนข้างไม่รับรู้รายจ่ายที่เกิดขึ้นในครอบครัว ภาระจึงตกที่บิดาเป็นหลัก รายละเอียดตรงนี้ไม่ขอลงลึก
มารดามีนิสัยประหยัด และ ไม่สามารถรองรับความเสี่ยงใด ๆ ได้ อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย เมื่อไม่กี่วันมานี้เพิ่งทราบว่า สมัยที่เค้าทำงานอยู่ เค้าจะตัดเงินเดือนตัวเองซื้อหุ้นสหกรณ์สม่ำเสมอ 50000 บาททุกเดือน จนระยะหลังเหลือ 30000 บาท นั่นเป็นเหตุว่า ตลอดระยะที่ผ่านมา ดิฉันและน้องเติบโตมาด้วยการเผชิญหน้าทางภาวะขัดสนของครอบครัว ที่บิดาจ่ายทุกอย่าง และติดลบ จนต้องมีบัตรเครดิตเป็นสิบใบ และกู้เงินบัตรฯ ออกมาใช้จ่าย ในขณะที่มารดาบอกเสมอว่า ไม่รับรู้ค่าใช้จ่ายใด ๆ และไม่มีเงิน
ครั้งหนึ่งจำความได้ว่า ทะเลาะกับบิดา ว่าทำไมถึงกดบัตรนั้นมาปิดบัตรนี้ เป็นหลักแสน ทำให้เกิดความเห็นใจ และตั้งใจว่าเมื่อทำงานแล้วดิฉันจะดูแลเค้าเอง ไม่ต้องทำอะไร เพื่อไม่ให้เกิดหนี้ และอยากให้เค้าได้พักผ่อนหลังเกษียณ
ปัจจุบัน ดิฉันพักอาศัยในกรุงเทพฯ บิดา มารดา และน้องพักที่บ้านแถบชานเมือง (ก่อนหน้านี้ดิฉันมาทำงานโดยใช้รถสาธารณะจากบ้านมาถึง อนุสาวรีย์ชัยฯ ประมาณ 2.5 ชม ต่อเที่ยว ไปกลับเสียเวลาทั้งสิ้น ราว ๆ 5 ชม ต่อวัน)
ปัจจุบันด้วยหน้าที่การงานน้อง ซึ่งจำเป็นต้องใช้รถ จึงมีภาระมาก (น้องมีรายรับฐานเงินเดือน 17K + ค่าน้ำมัน 5K) รถคันนี้เริ่มซื้อตอนน้องเริ่มทำงานที่ปัจจุบัน (นี่เป็นที่ที่สองในการทำงานของเค้า ก่อนหน้านี้ทำงานก็ไม่พอเลี้ยงตัวเองเช่นกัน ) รถที่ซื้อเป็นรถมือสอง และใช้เงินสดในสหกรณ์มารดาซื้อ ดังนั้น น้องมีหน้าที่ต้องผ่อนแม่ เดือนละ 5000 บาท รถคันนี้เป็นรถแก๊ซที่ติดมาตั้งแต่ตอนซื้อ ค่าเชื้อเพลิงตกต่อเดือน 8000 ขั้นต่ำ บางเดือนหลักหมื่น ( อาจจะสงสัยทำไมรถแก๊ซ ค่าเชื้อเพลิงถึงสูงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่วิ่งอยู่แค่ รอบ ๆ กทม และไปกลับบ้าน (ประมาณ 35 km ต่อเที่ยว ดังนั้นรวมไปกลับก็ 70 km ต่อวันเป็นอย่างน้อย ไม่รวมระยะทางที่ต้องขับในเนื้องานต่อวันอีกต่างหาก) – ดิฉันก็สงสัย – แต่รายจ่ายดังกล่าว มาจากปากมารดา และ น้องชายเอง เข้าใจว่าอาจจะมีค่าน้ำมัน ปน ค่าแก๊ซ บ้างเป็นครั้งคราว)
ตั้งแต่ทำงานมา น้องชาย รายได้ไม่เคยเพียงพอรายจ่าย และหลักๆ จะเป็นบัตรเครดิตมารดา และน้องก็ต้องจ่ายคืน เมื่อเงินเดือนออก ซ้ำด้วยเป็นรถมือสอง ที่มีการใช้งานหนักตลอดเวลา (เพราะทำงานด้านที่ดิน ต้องวิ่งทั่ว) ทำให้มีค่าซ่อมบำรุงมาตลอด แทบจะเดือนเว้นเดือน ติดหนี้เพื่อน และ ญาติพี่น้องหลักแสน (แต่ล่าสุดได้ค่า Commission และเพิ่งปลดหนี้ไปหมด )
หน้าที่ดิฉัน คือ ทำงาน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังนี้
1) จ่ายให้มารดา 5000 ทุกเดือน เค้ามีเงินปันผลจากสหกรณ์หุ้นเก็บกินต่างหาก
2) จ่ายให้บิดา 5000 ทุกเดือน เงินปันผลที่มีน้อยมากจนแทบไม่ต้องเอามานับ ให้ไว้เป็นค่ากินอย่างเดียว แต่ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ตามที่กล่าวอ้างมาคือ ค่าน้ำมันดีเซล 4000 ต่อเดือน (วิ่งละแวกบ้านกินข้าวเฉยๆ) ค่าผ่อนสหกรณ์ 3500 (เพราะแอบไปกู้มาเมื่อต้นปี เพราะเงินไม่พอใช้) ไม่นับรวมที่ต้องซ่อมบำรุงรถแทบทุกเดือน (รถก็ 10 ปีแล้ว พรบ ประกัน ซ่อมบำรุงทุกอย่าง ดิฉันหมด)
3) น้องชาย มีมายืมเงินบ้างประปราย หลัง ๆ ไม่กล้าขอยืม นอกจากจะไปต่อไม่ไหวจริง ๆ ก็จะเปิดปากยืม ก่อนหน้านี้ดิฉันก็ support ทุกครั้งที่มีการขอ เพราะก็ไม่อยากให้เค้าคิดว่า เค้าไม่มีที่พึ่ง ไม่อยากบ่มเพาะนิสัยการแก้ปัญหาด้วยการไปกู้หนี้ยืมสินนอกบ้าน จนมองเป็นเรื่องปกติ เหมือนที่บิดาเคยทำสมัยก่อน สมัยที่ยังเรียนก็ช่วยค่ากินอยู่ทุกเดือน และหยุดให้ไปเมื่อเค้าเรียนจบ (ปัจจุบันเค้าทำงานมา 3 ปีโดยประมาณ ก็ยังมียืมเงินอยู่เป็นระยะ ๆ) ถามว่ากินเที่ยวไหม ไม่รู้แน่ชัด คงมีบ้างประปราย แต่เชื่อว่าไม่มีการพนัน ไม่มีการมั่วสุม ส่วนเรื่องแฟนก็มีตามประสา แต่คิดว่าไม่ได้หมดเพราะแฟนมากหรอกมั้ง น้องเป็นคนกินอยู่ธรรมดา ไม่ติดหรู ไม่กินข้าวห้าง (นอกจากจะมีคนเลี้ยง หึหึ..)
4) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว หลัก ๆ ก็ค่าที่พักปัจจุบัน 3000 ต่อเดือน รวม ค่าใช้จ่าย น่าจะประมาณ หมื่นต้น ๆ ไม่มีรถส่วนตัว ใช้รถบนฟ้า ใต้ดิน นิสัยไม่ช้อปปิ้ง แต่เรื่องกินก็มีกินข้าวบนห้างเดือนละ 2 ครั้ง (เป็นกฏที่ตั้งไว้ให้กับตัวเอง คือ ต้นเดือน และ กลางเดือนกินดี ๆ )
5) ค่าใช้จ่ายในบ้าน หารกะน้อง ตกเดือนละ 2000 มั้ง (ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เนต ไม่รู้มันเกินกว่านี้ไหม แต่ทุกวันนี้ จ่ายไปเดือนละ 1000 แต่คิดว่าไม่เกิน เพราะถ้าเกินเค้าต้องเรียกเงินเพิ่ม)
อาจจะสงสัยทำไมค่าใช้จ่ายส่วนกลางในบ้านน้อยจัง คำตอบคือ บ้านนี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่สามารถซื้อของแล้วกินร่วมกันได้ เพราะปัญหาความไม่ลงรอยกันของบิดามารดา ที่จะเกี่ยงกันออกเงินซื้อของ เค้าจึงเลือกที่จะ ต่างคนต่างกิน
ตอนนี้ดิฉันมีปัญหา และยอมรับว่าเครียดทุกเดือนเรื่องเงิน เหตุผลเพราะ ดิฉันทำงานระยะใหญ่แล้ว แต่ไม่มีเงินเก็บเลย เพราะ หมดไปกับค่าเรียนปริญญาโท ปัจจุบันเปิดบัญชีใหม่เพื่อตัด 50% ของเงินเดือน เข้าไว้เป็นเงินออมไว้ลงทุน หรืออื่น ๆ
สิ่งที่ดิฉันกังวลคือ หรือว่า ความไม่พอใช้ของครอบครัวเกิดจากการที่ดิฉันตัดเงินเก็บออมมากเกินไป (50% ของเงินที่ได้รับหลังหักภาษีและอื่น ๆ ) ดิฉันควรเก็บออมต่อไปอย่างมีวินัย หรือ เก็บให้หย่อนลง เหตุผลคือ ตั้งใจจะ boost เงินสดให้ได้เป็นก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เพื่อเอาไปลงทุนอาคารพาณิชย์ฯ และกำลังศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างรอบคอบค่ะ
สิ่งที่คิดจะทำคือ หารายได้เสริม เพราะ บิดามารดา อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร ว่างมาก ทุกวัน มารดาออกจากบ้านไปฟิตเนสโดยส่วนมาก ส่วนบิดา ก็ใช้ชีวิตตะลอน ๆ อยู่ละแวกบ้าน ทั้งคู่ไม่ชอบการอยู่บ้าน (หรือเพราะมันไม่มีอะไรให้ทำ อันนี้ก็ไม่ทราบได้)
1) การสร้างธุรกิจเล็ก ๆ ในครัวเรือน มีบิดาที่ต้องการทำ เพราะเค้าต้องการมีรายรับ แต่มารดาไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะรายรับค่อนข้างอยู่ได้ (ทั้งคู่ไม่มีภาระต้องรับผิดชอบอะไรเลย แม้แต่บาทเดียว)
คำถามคือ
บิดาอายุ 65 ปี – มีงานอะไร ที่เหมาะกับเค้าบ้างคะ เค้าทำรัฐวิสาหกิจมาตลอด ไม่เคยค้าขาย เคยถามแล้ว เค้าอยากทำร้านกาแฟ ดิฉันคิดว่าไม่รอด เพราะมันเป็น red ocean ไปแล้ว และต้องมีต้นทุน และทำเล (มองตั้งแต่เข้าไปเช่า พท ในห้าง ซื้อ franchise มาทำเป็นแผงคีออส, ซื้ออาคารพาณิชย์เลือกทำเลดี ๆ เคสนี้มีต่อยอดด้านล่างนะคะ)
มารดาอายุ 59 ปี – เป็นคนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงอะไรได้เลย และไม่ต้องการทำอะไร อยากอยู่เฉย ๆ และมีรายได้มาก ๆ
อยากทราบคำแนะนำ จากทุกคน ว่า พ่อแม่เกษียณแล้ว ทำอะไรกันบ้าง หรือ ว่าไม่ควรต้องทำ ให้เค้าพักผ่อนแบบนี้ดีแล้ว
ตรงนี้ขอระบาย : มารดามักจะตัดพ้อชีวิตตัวเองว่า บั้นปลาย ชีวิตลำบาก ไมได้กินอยู่สุขสบาย ปีกกล้าขาแข็งกันหมด และอื่น ๆ (เคมีดิฉันกับมารดา เรียกได้ว่าเข้ากันไม่ค่อยได้ค่ะ แต่เค้าจะเข้าได้กับน้องชายมากกว่า) ความดราม่าในวัยเรียนของดิฉันขอไม่ลงลึก แต่สรุปได้สั้น ๆ คือ เด็ก ๆ เป็นคนเก็บกด คิดว่าพ่อแม่รักน้องมากกว่า และมีความฝันคือ อยากมีบ้านดี ๆ ให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกัน เพราะลึก ๆ เคยคิดว่า ที่บ้านไม่สุขสงสัยเพราะ รายได้ไม่พอ ทุกคนตึงเครียด บ้านร้อน และไม่น่าอยู่ ถ้าดิฉันสามารถจ่ายแทนได้ทุกอย่าง เค้าก็ไม่ต้องทะเลาะกัน เพราะเกี่ยงกันรับผิดชอบค่าใช้จ่าย และมันก็เป็นแบบนั้นเรื่อยมา ตั้งแต่เดือนแรกที่ดิฉันเริ่มทำงาน จน ปัจจุบัน
2) บ้านปัจจุบันทรุดโทรมมาก เรียกว่าอยู่ได้ลำบากมาก ผลพวงจากน้ำท่วมใหญ่ และยังไม่ได้ปรับปรุง ถ้าจะปรับปรุงก็คือดิฉันต้องกู้คนเดียว (น้องชายฐานเงินต่ำ และ ที่สำคัญไม่มีความสามารถช่วยดิฉันผ่อนแน่นอน) ทุกวันนี้ ห้องนอนดิฉันถูกยึดกลายเป็นห้องเก็บขยะ กลายเป็นคนไม่มีบ้านให้กลับ เพราะกลับไปไม่มีที่ให้นั่งและนอนจริงๆ (เนื่องจากช่วงน้ำท่วมดิฉันได้ย้ายมาอยู่ กรุงเทพ เช่าอยู่กะเพื่อน) บ้านนี้ไม่สามารถจัดเป็นระเบียบได้ เพราะอำนาจอยู่ที่มารดา ล่าสุดน้องคุยกับมารดาว่าต้องการปรับปรุงโยกย้ายขยะทิ้ง เพื่อเอาพื้นที่มาเพาะปลูกพืช ส่งขายตลาดแถวบ้าน (ที่กำลังเป็นเทรนด์ เพาะผักสลัด เพาะเห็ดพวกนี้) พูดคุยธรรมดา จนกลายเป็นทะเลาะขั้นรุนแรง
นี่เป็นอีกสาเหตุที่ดิฉันต้องการ มีอาคารพาณิชย์เป็นของตัวเอง เพื่อทำการค้าชั้นล่าง และชั้นบนเป็นที่พักอาศัย (ทำนองบ้านเดิมแก้ไขไม่ได้ ก็เริ่มที่บ้านใหม่หลังนี้ละกัน) ไม่แน่ใจว่าแนวทางนี้เป็นการสร้างหนี้ที่เกินตัวในภาวะครอบครัวแบบนี้หรือไม่ ราคาที่เห็นปัจจุบันคือ 3-4 ล้าน
3) แต่อีกใจก็กำลังศึกษาการลงทุนในหลาย ๆ รูปแบบ ทั้งที่ดิน หุ้น และอื่น ๆ (ลงทุนอย่างมีสติ) เลยยังไม่อยากสร้างหนี้ในข้อ 2 แต่ว่าครอบครัวก็จะอยู่แบบแตกแยกไปเรื่อยๆ และไม่สามารถทำธุรกิจอะไรได้เพราะอยู่คนละทิศละทาง
ขอคำปรึกษาหน่อยได้ไหมคะ ว่าดิฉันตรงไหนตึงไป หรือตรงไหน หย่อนไป ทุกวันนี้ นอนไม่ค่อยสนิท เพราะเครียดทุกวัน
เหมือน เงินเดือนเท่านี้ แต่ทุกชีวิตฝากความหวังไว้ที่ดิฉัน ... ปลง ในตัวน้องชาย มากเหมือนกัน ...
||| ความเครียดที่เกิดขึ้น เพราะดิฉันตึงเกินไปหรือเปล่า - เพื่อการลงทุน และ บ้านหลังใหม่
ขอแนะนำตัวเบื้องต้นนะคะ ดิฉันเล่นพันทิพมาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ไม่เคยตั้งกระทู้เป็นเรื่องเป็นราว ระยะหลัง ๆ เข้าบ้างเป็นครั้งคราวประปราย เล่นสลับหลายห้องตามแต่ความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ทั้งชายคา สินธร โต๊ะเครื่องแป้ง ก้นครัว และอื่น ๆ กฏของพันทิพพยายามจะไม่ละเมิด และโพสข้อความให้อยู่ในระเบียบปฏิบัติให้มากที่สุด หากมีตรงไหนผิดพลาด ช่วยแจ้งด้วยนะคะ (ถ้าตอบช้า หรือ ไม่ได้ตอบ ให้ตั้งสมมุติฐานก่อนนะคะ ว่าอาจจะไม่ได้เฝ้ากระทู้เพื่อติดตามผลตลอดเวลา สำหรับการติดแท็ก พยายามไล่อ่านแล้ว คิดว่าที่ติดไปน่าจะเกี่ยวข้องกับห้องนั้นๆ ผิดพลาดอย่างไร แจ้งได้นะคะ รวมถึงดิฉันอาจจะเข้าใจไม่ครบทุก feature ของพันทิพ ฉะนั้นคาดหวังว่ากระทู้นี้จะไม่มีดราม่าเกิดขึ้นนะคะ )
จุดประสงค์ของกระทู้นี้คือ อยากแชร์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และขอคำปรึกษา จากเพื่อน ๆ เพื่อให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ที่ดิฉันอาจจะคาดไม่ถึง หรือ คิดไม่รอบด้านค่ะ
ขอเล่าประวัติคร่าว ๆ ดิฉันเรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรัฐ ในด้านวิศวกรรม และปริญญาโทมหาวิทยาลัยรัฐ ปัจจุบันทำงานด้วยวุฒิปริญญาตรี (เนื่องจากทำงานที่ปัจจุบันในขณะที่เรียนปริญญาโท ค่ะ ฐานเงินจึงได้ตามวุฒิปริญญาตรี) ครอบครัวจัดว่าฐานะปานกลางค่อนไปทางธรรมดา มีน้องชายเรียนจบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเอกชนย่านรังสิต ปัจจุบัน บิดาเกษียณ มารดา early retire แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายอย่างมาก เนื่องจาก
บิดา ไม่มีรายได้จากแหล่งใดเลย เงินบำเหน็ดที่เคยได้เป็นก้อนตอนเกษียณ ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 400000 ในสหกรณ์ เงินปันผลที่ได้จึงจัดว่าไม่เพียงพอในการเลี้ยงชีพตนเอง
มารดา ไม่มีรายได้จากแหล่งใดเลยเช่นกัน แต่มีเงินออมในรูปหุ้นสหกรณ์ในระดับหนึ่ง เงินปันผลต่อปีสามารถนำใช้จ่ายส่วนตัวของตนเองได้
อธิบายเพิ่มเติม
สมัยที่ดิฉันยังไม่ทำงาน บิดาเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ทุกอย่างในครอบครัว ตั้งแต่ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าว ไปจนถึง ค่าเล่าเรียน ของดิฉัน และ น้องชาย ตามคำบอกกล่าว และ ประสบการณ์ที่พบเห็นด้วยตัวเอง มาตลอดชีวิตที่ผ่านมา
เป็นเหตุให้ ช่วงชีวิตทำงานของบิดามีรายจ่ายมาก หนี้สินเยอะ เคยถึงขนาดกดบัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยแพง มาใช้จ่าย
บิดามีปัญหากับมารดามาโดยตลอดตั้งแต่จำความได้ โดยเฉพาะเรื่องการเงินในครอบครัว และมารดาค่อนข้างไม่รับรู้รายจ่ายที่เกิดขึ้นในครอบครัว ภาระจึงตกที่บิดาเป็นหลัก รายละเอียดตรงนี้ไม่ขอลงลึก
มารดามีนิสัยประหยัด และ ไม่สามารถรองรับความเสี่ยงใด ๆ ได้ อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย เมื่อไม่กี่วันมานี้เพิ่งทราบว่า สมัยที่เค้าทำงานอยู่ เค้าจะตัดเงินเดือนตัวเองซื้อหุ้นสหกรณ์สม่ำเสมอ 50000 บาททุกเดือน จนระยะหลังเหลือ 30000 บาท นั่นเป็นเหตุว่า ตลอดระยะที่ผ่านมา ดิฉันและน้องเติบโตมาด้วยการเผชิญหน้าทางภาวะขัดสนของครอบครัว ที่บิดาจ่ายทุกอย่าง และติดลบ จนต้องมีบัตรเครดิตเป็นสิบใบ และกู้เงินบัตรฯ ออกมาใช้จ่าย ในขณะที่มารดาบอกเสมอว่า ไม่รับรู้ค่าใช้จ่ายใด ๆ และไม่มีเงิน
ครั้งหนึ่งจำความได้ว่า ทะเลาะกับบิดา ว่าทำไมถึงกดบัตรนั้นมาปิดบัตรนี้ เป็นหลักแสน ทำให้เกิดความเห็นใจ และตั้งใจว่าเมื่อทำงานแล้วดิฉันจะดูแลเค้าเอง ไม่ต้องทำอะไร เพื่อไม่ให้เกิดหนี้ และอยากให้เค้าได้พักผ่อนหลังเกษียณ
ปัจจุบัน ดิฉันพักอาศัยในกรุงเทพฯ บิดา มารดา และน้องพักที่บ้านแถบชานเมือง (ก่อนหน้านี้ดิฉันมาทำงานโดยใช้รถสาธารณะจากบ้านมาถึง อนุสาวรีย์ชัยฯ ประมาณ 2.5 ชม ต่อเที่ยว ไปกลับเสียเวลาทั้งสิ้น ราว ๆ 5 ชม ต่อวัน)
ปัจจุบันด้วยหน้าที่การงานน้อง ซึ่งจำเป็นต้องใช้รถ จึงมีภาระมาก (น้องมีรายรับฐานเงินเดือน 17K + ค่าน้ำมัน 5K) รถคันนี้เริ่มซื้อตอนน้องเริ่มทำงานที่ปัจจุบัน (นี่เป็นที่ที่สองในการทำงานของเค้า ก่อนหน้านี้ทำงานก็ไม่พอเลี้ยงตัวเองเช่นกัน ) รถที่ซื้อเป็นรถมือสอง และใช้เงินสดในสหกรณ์มารดาซื้อ ดังนั้น น้องมีหน้าที่ต้องผ่อนแม่ เดือนละ 5000 บาท รถคันนี้เป็นรถแก๊ซที่ติดมาตั้งแต่ตอนซื้อ ค่าเชื้อเพลิงตกต่อเดือน 8000 ขั้นต่ำ บางเดือนหลักหมื่น ( อาจจะสงสัยทำไมรถแก๊ซ ค่าเชื้อเพลิงถึงสูงขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่วิ่งอยู่แค่ รอบ ๆ กทม และไปกลับบ้าน (ประมาณ 35 km ต่อเที่ยว ดังนั้นรวมไปกลับก็ 70 km ต่อวันเป็นอย่างน้อย ไม่รวมระยะทางที่ต้องขับในเนื้องานต่อวันอีกต่างหาก) – ดิฉันก็สงสัย – แต่รายจ่ายดังกล่าว มาจากปากมารดา และ น้องชายเอง เข้าใจว่าอาจจะมีค่าน้ำมัน ปน ค่าแก๊ซ บ้างเป็นครั้งคราว)
ตั้งแต่ทำงานมา น้องชาย รายได้ไม่เคยเพียงพอรายจ่าย และหลักๆ จะเป็นบัตรเครดิตมารดา และน้องก็ต้องจ่ายคืน เมื่อเงินเดือนออก ซ้ำด้วยเป็นรถมือสอง ที่มีการใช้งานหนักตลอดเวลา (เพราะทำงานด้านที่ดิน ต้องวิ่งทั่ว) ทำให้มีค่าซ่อมบำรุงมาตลอด แทบจะเดือนเว้นเดือน ติดหนี้เพื่อน และ ญาติพี่น้องหลักแสน (แต่ล่าสุดได้ค่า Commission และเพิ่งปลดหนี้ไปหมด )
หน้าที่ดิฉัน คือ ทำงาน และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังนี้
1) จ่ายให้มารดา 5000 ทุกเดือน เค้ามีเงินปันผลจากสหกรณ์หุ้นเก็บกินต่างหาก
2) จ่ายให้บิดา 5000 ทุกเดือน เงินปันผลที่มีน้อยมากจนแทบไม่ต้องเอามานับ ให้ไว้เป็นค่ากินอย่างเดียว แต่ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ตามที่กล่าวอ้างมาคือ ค่าน้ำมันดีเซล 4000 ต่อเดือน (วิ่งละแวกบ้านกินข้าวเฉยๆ) ค่าผ่อนสหกรณ์ 3500 (เพราะแอบไปกู้มาเมื่อต้นปี เพราะเงินไม่พอใช้) ไม่นับรวมที่ต้องซ่อมบำรุงรถแทบทุกเดือน (รถก็ 10 ปีแล้ว พรบ ประกัน ซ่อมบำรุงทุกอย่าง ดิฉันหมด)
3) น้องชาย มีมายืมเงินบ้างประปราย หลัง ๆ ไม่กล้าขอยืม นอกจากจะไปต่อไม่ไหวจริง ๆ ก็จะเปิดปากยืม ก่อนหน้านี้ดิฉันก็ support ทุกครั้งที่มีการขอ เพราะก็ไม่อยากให้เค้าคิดว่า เค้าไม่มีที่พึ่ง ไม่อยากบ่มเพาะนิสัยการแก้ปัญหาด้วยการไปกู้หนี้ยืมสินนอกบ้าน จนมองเป็นเรื่องปกติ เหมือนที่บิดาเคยทำสมัยก่อน สมัยที่ยังเรียนก็ช่วยค่ากินอยู่ทุกเดือน และหยุดให้ไปเมื่อเค้าเรียนจบ (ปัจจุบันเค้าทำงานมา 3 ปีโดยประมาณ ก็ยังมียืมเงินอยู่เป็นระยะ ๆ) ถามว่ากินเที่ยวไหม ไม่รู้แน่ชัด คงมีบ้างประปราย แต่เชื่อว่าไม่มีการพนัน ไม่มีการมั่วสุม ส่วนเรื่องแฟนก็มีตามประสา แต่คิดว่าไม่ได้หมดเพราะแฟนมากหรอกมั้ง น้องเป็นคนกินอยู่ธรรมดา ไม่ติดหรู ไม่กินข้าวห้าง (นอกจากจะมีคนเลี้ยง หึหึ..)
4) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว หลัก ๆ ก็ค่าที่พักปัจจุบัน 3000 ต่อเดือน รวม ค่าใช้จ่าย น่าจะประมาณ หมื่นต้น ๆ ไม่มีรถส่วนตัว ใช้รถบนฟ้า ใต้ดิน นิสัยไม่ช้อปปิ้ง แต่เรื่องกินก็มีกินข้าวบนห้างเดือนละ 2 ครั้ง (เป็นกฏที่ตั้งไว้ให้กับตัวเอง คือ ต้นเดือน และ กลางเดือนกินดี ๆ )
5) ค่าใช้จ่ายในบ้าน หารกะน้อง ตกเดือนละ 2000 มั้ง (ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เนต ไม่รู้มันเกินกว่านี้ไหม แต่ทุกวันนี้ จ่ายไปเดือนละ 1000 แต่คิดว่าไม่เกิน เพราะถ้าเกินเค้าต้องเรียกเงินเพิ่ม)
อาจจะสงสัยทำไมค่าใช้จ่ายส่วนกลางในบ้านน้อยจัง คำตอบคือ บ้านนี้ต่างคนต่างอยู่ ไม่สามารถซื้อของแล้วกินร่วมกันได้ เพราะปัญหาความไม่ลงรอยกันของบิดามารดา ที่จะเกี่ยงกันออกเงินซื้อของ เค้าจึงเลือกที่จะ ต่างคนต่างกิน
ตอนนี้ดิฉันมีปัญหา และยอมรับว่าเครียดทุกเดือนเรื่องเงิน เหตุผลเพราะ ดิฉันทำงานระยะใหญ่แล้ว แต่ไม่มีเงินเก็บเลย เพราะ หมดไปกับค่าเรียนปริญญาโท ปัจจุบันเปิดบัญชีใหม่เพื่อตัด 50% ของเงินเดือน เข้าไว้เป็นเงินออมไว้ลงทุน หรืออื่น ๆ
สิ่งที่ดิฉันกังวลคือ หรือว่า ความไม่พอใช้ของครอบครัวเกิดจากการที่ดิฉันตัดเงินเก็บออมมากเกินไป (50% ของเงินที่ได้รับหลังหักภาษีและอื่น ๆ ) ดิฉันควรเก็บออมต่อไปอย่างมีวินัย หรือ เก็บให้หย่อนลง เหตุผลคือ ตั้งใจจะ boost เงินสดให้ได้เป็นก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เพื่อเอาไปลงทุนอาคารพาณิชย์ฯ และกำลังศึกษาการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างรอบคอบค่ะ
สิ่งที่คิดจะทำคือ หารายได้เสริม เพราะ บิดามารดา อยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร ว่างมาก ทุกวัน มารดาออกจากบ้านไปฟิตเนสโดยส่วนมาก ส่วนบิดา ก็ใช้ชีวิตตะลอน ๆ อยู่ละแวกบ้าน ทั้งคู่ไม่ชอบการอยู่บ้าน (หรือเพราะมันไม่มีอะไรให้ทำ อันนี้ก็ไม่ทราบได้)
1) การสร้างธุรกิจเล็ก ๆ ในครัวเรือน มีบิดาที่ต้องการทำ เพราะเค้าต้องการมีรายรับ แต่มารดาไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะรายรับค่อนข้างอยู่ได้ (ทั้งคู่ไม่มีภาระต้องรับผิดชอบอะไรเลย แม้แต่บาทเดียว)
คำถามคือ
บิดาอายุ 65 ปี – มีงานอะไร ที่เหมาะกับเค้าบ้างคะ เค้าทำรัฐวิสาหกิจมาตลอด ไม่เคยค้าขาย เคยถามแล้ว เค้าอยากทำร้านกาแฟ ดิฉันคิดว่าไม่รอด เพราะมันเป็น red ocean ไปแล้ว และต้องมีต้นทุน และทำเล (มองตั้งแต่เข้าไปเช่า พท ในห้าง ซื้อ franchise มาทำเป็นแผงคีออส, ซื้ออาคารพาณิชย์เลือกทำเลดี ๆ เคสนี้มีต่อยอดด้านล่างนะคะ)
มารดาอายุ 59 ปี – เป็นคนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงอะไรได้เลย และไม่ต้องการทำอะไร อยากอยู่เฉย ๆ และมีรายได้มาก ๆ
อยากทราบคำแนะนำ จากทุกคน ว่า พ่อแม่เกษียณแล้ว ทำอะไรกันบ้าง หรือ ว่าไม่ควรต้องทำ ให้เค้าพักผ่อนแบบนี้ดีแล้ว
ตรงนี้ขอระบาย : มารดามักจะตัดพ้อชีวิตตัวเองว่า บั้นปลาย ชีวิตลำบาก ไมได้กินอยู่สุขสบาย ปีกกล้าขาแข็งกันหมด และอื่น ๆ (เคมีดิฉันกับมารดา เรียกได้ว่าเข้ากันไม่ค่อยได้ค่ะ แต่เค้าจะเข้าได้กับน้องชายมากกว่า) ความดราม่าในวัยเรียนของดิฉันขอไม่ลงลึก แต่สรุปได้สั้น ๆ คือ เด็ก ๆ เป็นคนเก็บกด คิดว่าพ่อแม่รักน้องมากกว่า และมีความฝันคือ อยากมีบ้านดี ๆ ให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกัน เพราะลึก ๆ เคยคิดว่า ที่บ้านไม่สุขสงสัยเพราะ รายได้ไม่พอ ทุกคนตึงเครียด บ้านร้อน และไม่น่าอยู่ ถ้าดิฉันสามารถจ่ายแทนได้ทุกอย่าง เค้าก็ไม่ต้องทะเลาะกัน เพราะเกี่ยงกันรับผิดชอบค่าใช้จ่าย และมันก็เป็นแบบนั้นเรื่อยมา ตั้งแต่เดือนแรกที่ดิฉันเริ่มทำงาน จน ปัจจุบัน
2) บ้านปัจจุบันทรุดโทรมมาก เรียกว่าอยู่ได้ลำบากมาก ผลพวงจากน้ำท่วมใหญ่ และยังไม่ได้ปรับปรุง ถ้าจะปรับปรุงก็คือดิฉันต้องกู้คนเดียว (น้องชายฐานเงินต่ำ และ ที่สำคัญไม่มีความสามารถช่วยดิฉันผ่อนแน่นอน) ทุกวันนี้ ห้องนอนดิฉันถูกยึดกลายเป็นห้องเก็บขยะ กลายเป็นคนไม่มีบ้านให้กลับ เพราะกลับไปไม่มีที่ให้นั่งและนอนจริงๆ (เนื่องจากช่วงน้ำท่วมดิฉันได้ย้ายมาอยู่ กรุงเทพ เช่าอยู่กะเพื่อน) บ้านนี้ไม่สามารถจัดเป็นระเบียบได้ เพราะอำนาจอยู่ที่มารดา ล่าสุดน้องคุยกับมารดาว่าต้องการปรับปรุงโยกย้ายขยะทิ้ง เพื่อเอาพื้นที่มาเพาะปลูกพืช ส่งขายตลาดแถวบ้าน (ที่กำลังเป็นเทรนด์ เพาะผักสลัด เพาะเห็ดพวกนี้) พูดคุยธรรมดา จนกลายเป็นทะเลาะขั้นรุนแรง
นี่เป็นอีกสาเหตุที่ดิฉันต้องการ มีอาคารพาณิชย์เป็นของตัวเอง เพื่อทำการค้าชั้นล่าง และชั้นบนเป็นที่พักอาศัย (ทำนองบ้านเดิมแก้ไขไม่ได้ ก็เริ่มที่บ้านใหม่หลังนี้ละกัน) ไม่แน่ใจว่าแนวทางนี้เป็นการสร้างหนี้ที่เกินตัวในภาวะครอบครัวแบบนี้หรือไม่ ราคาที่เห็นปัจจุบันคือ 3-4 ล้าน
3) แต่อีกใจก็กำลังศึกษาการลงทุนในหลาย ๆ รูปแบบ ทั้งที่ดิน หุ้น และอื่น ๆ (ลงทุนอย่างมีสติ) เลยยังไม่อยากสร้างหนี้ในข้อ 2 แต่ว่าครอบครัวก็จะอยู่แบบแตกแยกไปเรื่อยๆ และไม่สามารถทำธุรกิจอะไรได้เพราะอยู่คนละทิศละทาง
ขอคำปรึกษาหน่อยได้ไหมคะ ว่าดิฉันตรงไหนตึงไป หรือตรงไหน หย่อนไป ทุกวันนี้ นอนไม่ค่อยสนิท เพราะเครียดทุกวัน
เหมือน เงินเดือนเท่านี้ แต่ทุกชีวิตฝากความหวังไว้ที่ดิฉัน ... ปลง ในตัวน้องชาย มากเหมือนกัน ...