วันที่ฝนพรำจากภูหินร่องกล้าถึงผาซ่อนเเก้ว

กระทู้สนทนา
ในช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ซึ่งเป็นช่วงวันเข้าพรรษา ใครหลายคนเลือกที่จะไปทำบุญ ตักบาตร ไหว้พระขอพร เดินทางไปเคารพสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หลายคนเลือกที่จะพักผ่อนอยู่กับบ้าน กับครอบครัว แต่ผมเลือกที่จะออกไป ออกไปเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เราไม่เคยเห็นและอยากเห็น ออกไปสัมผัสกับอากาศที่เราสูดหายใจทุกวัน  ลมหายใจที่คุ้นเคย แต่ไม่รู้จักมันจริงๆ ยังมีอะไรหลายๆสิ่ง หลายๆ อย่างที่ยังไม่ประสบและพบเจอ
          ด้วยความอินดี้ของตัวเอง ออกเดินทางตั้งแต่ห้าทุ่มของวันที่ 10 กรกฎาคม 57 กำลังอยู่ในช่วงฟุตบอลโลกพอดีเลยครับ ตั้งใจว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่เขาค้อ สรุปแล้วนอนหลับอยู่ที่ปั๊มน้ำมันแถวๆ บางใหญ่ สะดุ้งตื่นประมาณตีสี่ (จบเลย...พระอาทิตย์ขึ้นที่เขาค้อ...)


          หลักจากนั้นออกเดินทางต่อ จุดมุ่งหมายของผมคือภูทับเบิกครับ เจอป้ายภูทับเบิกเลี้ยวเลยครับ โค้งแล้ว โค้งเล่า ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นระยะ แต่ไม่หนักมาก ขับรถได้ไม่ยากนัก ผ่านมาได้สักระยะมาถึงทางแยก เลี้ยวซ้ายไปภูหินร่องกล้า เลี้ยวขวาไปภูทับเบิก ผมกำลังจะเลี้ยวขวา ทันใดนั้นเสียงได้ดังมาจากที่นั่งด้านซ้ายมือ “ฉันจะไปภูหินร่องกล้าก่อน” (เป็นเสียงของ ผบ.ทบ.)รถของผมก็เลี้ยวอัตโนมัติเลยครับ
          เดินทางจากด่านเก็บค่าธรรมเนียมประมาณ 28 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ หาทำเลที่จะกางเต้นท์


    

          หลังจากกางเตนท์เสร็จแล้ว เราก็เดินทางมายังลานหินแตก เป็นลานหินที่ธรรมชาติสรรสร้างได้อย่างสวยงาม



          ใกล้จะค่ำแล้วเดินทางกลับมาที่เตนท์ พักผ่อนเอาแรง พรุ่งนี้เราค่อยไปลุยกันต่อ
          และแล้วค่ำคืนอันเงียบสงบก็ผ่านไปเข้าสู่เช้าวันใหม่ที่สดใส วันนี้เราจะเดินทางกันต่อไป เป้าหมายของเราคือ ลานหินปุ่ม ผาชูธง โรงเรียนการเมืองการทหาร และกังหันน้ำในโรงเรียนการเมืองการทหาร  ว่าแล้วเราช่วยกันเก็บเต็นท์แล้วออกเดินทางต่อเลยครับ
          ที่หมายแรกครับ ลานหินปุ่ม ในระหว่างทางเดินประมาณ 1.5 กิโลเมตร จากลานจอดรถ สิ่งแรกที่มาสะดุดตาเราคือดอกเปราะภูสีขาว ที่ชูช่อดอกสีขาวสะพรั่งรอผู้มาเยี่ยมชม กระจายอยู่ทั่วบริเวณแนวทางเดิน



          เดินมาสักระยะหนึ่งบังเอิญพบกับพระเอกของเราที่กำลังดอมดมดอกตาเหินไหวอย่างขมักเขม้น เลยจัดมาให้ชมกันครับ


          ละสายตามาจากกลุ่มดอกตาเหินไหว ก็จะพบกับลานหินที่เต็มไปด้วยดอกเปราะภูสีขาวตลอดแนวทางเดิน ก่อนที่จะพบกับลานหินปุ่ม ที่อยู่ตรงเบื้องหน้าของเรา คนเยอะครับ พยายามหลบเพื่อรอจังหวะปลอดคน หามุมกล้องที่มีคนน้อยที่สุดล่ะครับ



          เมื่อชื่นชมกับธรรมชาติที่ลานหินปุ่มอย่างจุใจ แล้วก็เดินเท้าต่อไปยังจุดหมายต่อไป คือผาชูธง เดินยังไม่ทันเหนื่อยก็มาถึงผาชูธง คนเยอะเหมือนเดิมเลยครับ แต่ก็พยายามเลือกมุมที่ดีที่สุดมาให้ชมกันครับ
  


           เมื่อสิ้นสุดจากผาชูธง เราก็เดินทางต่อมาที่ โรงเรียนการเมืองการทหาร และกังหันน้ำ เดินทางมาไม่ไกลมากนัก เราจะพบกับโรงเรียนที่ใช้เป็นที่ศึกษาเล่าเรียนของกลุ่มคน กลุ่มหนึ่งที่มีอุดมการณ์ที่แรงกล้า ในอดีตบรรยากาศเป็นอย่างไรผมไม่ทราบได้ แต่บรรยากาศในวันที่ผมได้ไปสัมผัสนั้น มันช่างเป็นอะไรที่กดดัน อึดอัดอย่างที่อธิบายไม่ถูกจริงๆครับ(เหมือนมีพลังงานบางอย่างก็เป็นได้...)



           เดินถัดมาไม่ไกล ลัดเลาะตามบันไดลงมา จะพบกับน้ำตก ที่มองไปแล้วก็เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามทีเดียวเลย แต่ที่สำคัญกว่านั้น น้ำตกนี้ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นเครื่องทุ่นแรง ในการตำข้าวเพื่อใช้ดำรงชีวิตของกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์  ซึ่งถูกเรียกว่ากังหัน โดยที่กังหันนี้เป็นการคิดค้นจากกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ เช่นกัน


          การเดินทางของผมที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า สิ้นสุด แต่สำหรับสถานที่ต่อไปมันคือการเริ่มต้น อย่างที่หมายต่อไปของผมคือ ภูทับเบิก อยากจะไปสัมผัสกับหมอกที่ลอยผ่านตัวเราไป สูดอากศที่สดชื่น
          เดินทางย้อนกลับเส้นทางเดิม เพื่อที่จะไปภูทับเบิก ขับรถมาสักระยะเราก็มาถึงเป้าหมายของเรา  ยังไม่ทันจะกางเตนท์สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเป็นระยะ พอฝนหยุดตกเราก็ลงมือกางเตนท์ก่อนที่ฝนจะตกอีกครั้ง


          สายฝนได้หายไป แต่ที่งที่เข้ามาแทนที่คือสายหมอก เป็นอะไรที่สวยงามมากเลยครับ มองไปทางไหนเราก็จเจอกับหมอกที่ปกคลุมอยู่ไปทั่วบริเวณ




           เมื่อสายหมอกได้เลือนหายไปอย่างช้าๆ ความงามอีกหลายอย่างก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น ทิวทัศน์ที่มีแนวของเทือกเขา และไร่กะหล่ำปลีทอดแนวยาวสุดสายตา





          ช่วงเวลาได้ดำเนินเรื่องราวให้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แสงสว่างเริ่มหมดลงไปอย่างช้าๆ




          ในไม่ช้าความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณแต่ความงามของภูทับเบิกใช่ว่าจะหมดลงไป


          ในเวลานี้สายหมอกเริ่มปกคลุมอีกครั้ง ทำให้ทัศนียภาพถูกบดบังไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เราตัดสินใจพักผ่อนเก็บแรง ใว้ลุยกันต่อในวันพรุ่งนี้ครับ
          และแล้วความมืดค่อยเลือนหายไป แต่สิ่งที่ยังคงพบเจอคือสายหมอกที่มีอย่างมากมาย จนเริ่มหมดกำลังใจ ตัดสินใจเก็บเตนท์เพื่อที่จะเดินทางต่อไป
          ทันใดที่จะเก็บของกันนั้น สายหมอกได้เริ่มจางหายลงไป ทำให้ผมมีกำลังใจหยิบกล้องขึ้นมาคล้องคออีกครั้ง แล้วผมก็รีบเก็บเกี่ยวความสวยงามที่ธรรมชาติได้สรรสร้างขึ้น










          และเป็นเพียงเวลาไม่นานนัก ธรรมชาติก็ทำให้ผมต้องพบเจอกับสายหมอกอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ อย่างน้อยพบได้พบเจอทั้งเวลาที่มีหมอก ไม่มีหมอก มีฝนฟรำและไม่มีฝนโปรยปราย
          เราใช้เวลาเพียงไม่นานก็สัมภาระต่างๆ แล้วก็เดินทางลงจากภูทับเบิก ตลอดเส้นทางลงจากเขา เราก็พบกับสายหมอก เป็นอีกบรรยากาศที่น่าจดจำเป็นอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากตอนขึ้นเขา เจอฝนตลอดทางเลยครับ ยังไม่อยากจะกลับบ้านเลยสร้างเป้าหมายที่ต่อไป คุยกันว่า “งั้นเราไป วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วกัน” คำตอบเป็นที่น่าพอใจมากครับ “ไปไหน ไปกัน” ผมเลยเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 12 ตรงไปที่หมายต่อไปครับ
          ให้เวลาไม่นานเท่าไรเราก็มาถึง วัดพระธาตุผาซ่อนเเก้ว ทำเอาตะลึงในความงดงาม ตระการตามากเลยครับ






          ในที่สุดเเล้วครับที่เราต้องเดินทางกลับบ้านกัน เดินทางออกจากวัดพระธาตุผาซ่อนเเก้ว มุ่งตรงสู่บ้านเกิดทันทีครับ กลับมาลุยงานกันต่อ
พนักงานเงินเดือนน่ะครับ มีวันหยุดยาวๆ ถึงจะได้หยิบกล้องออกไปเที่ยว เเล้วเจอกันใหม่กับการเดินทางครั้งใหม่ของผมนะครับ


โพสนี้เป็นครั้งเเรกครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยเเละขอคำชี้เเนะด้วยนะครับ
ขอบคุณครับสำหรับการติดตามครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่