ธรรมาธิปไตยคืออะไร สภาธรรมาธิปไตยเป็นอย่างไร ทำไมถึงเสนอสภาธรรมาธิปไตย เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าโครงสร้างสังคมโดยรวมตั้งแต่ประชาชน ข้าราชการจนถึงนักการเมืองในกรอบการเมืองมีปัญหาทุกส่วนคุณภาพของนักการเมืองก็จะสะท้อนคุณภาพคนเลือก คุณภาพคนเลือกก็สะท้อนคุณภาพของนักการเมืองที่เลือกหรือ เสียงในต่างจังหวัดสู้เสียงในกรุงเทพฯไม่ได้ เสียงในต่างจังหวัดไม่มีคุณภาพตรงนี้ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ขึ้นอยู่
ที่ความรู้ แต่ทั้งหลายทั้งปวงคือเรื่องของคุณธรรมอย่างเดียว ก็คือถ้าเราเข้าใจหลักของธรรมาธิปไตยหรือคนที่เลือกเลือกอย่างมีธรรมาธิปไตยไม่ใช่เลือกเพราะมีผลประโยชน์เฉาพะหน้า ไม่ใช่เลือกเพราะสัญญาว่าจะให้ ซึ่งไม่ใช่เรื่อง
สาธารณะเราก็จะเลือกคนที่จะเข้าไปทำงานได้ถูก ทีนี้เรื่องของสภาธรรมาธิปไตยเกิดขึ้นจากการที่ว่า วันนี้หน่วยเล็กที่สุดคือหมู่บ้านน่าจะเป็นพื้นฐานเราได้ยกเอาพระราชดำรัสของในหลวงไปทำการศึกษาทำหมู่บ้านนำร่องเพื่อให้เกิดหมู่บ้านธรรมาธิปไตย โดยเอาหน่วยที่เล็กที่สุดคือครอบครัวและหมู่บ้านมาสอนในเรื่องของประชาธิปไตยและคุณธรรมเราเชื่อว่าจะส่งผลขึ้นมาทำให้ประชาธิปไตยของประเทศดีขึ้น โครงสร้างของสภาธรรมาธิปไตยก็จะเป็นระบบที่ประชาชนเลือกกันเอง ระบบราชการนักการเมืองเข้าไปยุ่งไม่ได้ คัดเลือกกันเองมาเป็นตัวแทนแล้วก็รวมกันเป็นสมาชิกพอได้จำนวนก็เลือกผู้อาวุโสเป็นสภาที่เกิดโดยธรรมชาติ เมื่อเป็นสภาแล้วก็กำหนดกฎเกณฑ์เรื่องภายในของตัวเองทำหน้าที่เหมือนฝ่ายนิติบัญญัติ
เราจะเห็นว่าตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องมาหลายรัฐบาลเริ่มต้นที่จะให้การตัดสินใจด้านการเงินลงไปที่ประชาชนโดยตรงซึ่งแต่ก่อนต้องผ่านราชการอย่างเดียว พอมีการให้เงินตรงเพื่อพัฒนาก็เกิดปัญหาคือกองทุนเหล่านี้บริหารโดยกรรมการกองทุน กรรมการก็คือคนในหมู่บ้านเป็นฝ่ายบริหารอย่างเดียวเหมือนฝ่ายบริหารและมีการตรวจสอบเหมือนเป็นอำนาจตุลาการ อันนี้คือโครงสร้างที่อยากเห็นเพราะปัจจุบันกรรมการกองทุนทำหน้าที่เป็นรัฐบาลอย่างเดียว สิ่งที่เราเห็นคือพอได้เงินมาก็ทุจริตกันเองชาวบ้านก็มองตาปริบ ๆ ขณะเดียวกันก็มีการไปร่วมมือกับข้าราชการแล้วก็ทุจริตเช่นอย่างที่เราได้ยินไปทำไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ตู้น้ำเย็น ทั้งที่ชาวบ้านไม่ต้องการ อันนี้คือสิ่งที่เป็นปัญหา ดังนั้นถ้าเรามีธรรมาธิปไตยระดับหมู่บ้านมาทำหน้าที่ในการดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ กรรมการกองทุนก็รับความต้องการไปจัดทำมีการตรวจสอบเกิดการถ่วงดุล ถอดถอนได้ปลดได้
คือมี 3 ฝ่ายนิติบัญัติ บริหารและตุลาการลงไปในระดับหมู่บ้าน
วันนี้เราทำแต่ภาพใหญ่ 82 ปีที่ประชาธิปไตยเราล้มเหลวเพราะว่าเราไม่พัฒนาคนที่เป็นเจ้าของสิทธิให้รู้จักสิทธิและหน้าที่และทั้ง 2 อย่างต้องเป็นการใช้ที่มีธรรมมีคุณธรรม แต่วันนี้ถ้าดู 82 ปี เรากระจายความรู้เรื่องประชาธิปไตยเพียงแต่เปลือกนอกเท่านั้น คือเราเลือกตั้งเสร็จแล้วจบ ประชาชนเหมือนหมดหน้าที่คือส่งมอบอำนาจทั้งหมดให้นักการเมืองให้ข้าราชการประจำไปทำ แต่จริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วก็บอกว่าเลือกคนไม่มีคุณภาพเพราะเราไม่ได้ฝึกประชาธิปไตยจริง ๆ แต่ถ้าทำแบบนี้จะเป็นการฝึกประชาธิปไตยและสอดคล้องกับพระราชดำรัสซึ่งเป็นใจความสำคัญคือประชาธิปไตยขั้นหมู่บ้านจะพัฒนาประชาธิปไตยขั้นประเทศ ถ้าเราสามารถทำให้หมู่บ้านเกิดกลไกของประชาธิปไตยที่เป็นธรรมาธิปไตยได้แบบนี้ก็เชื่อแน่ว่า เมื่อมีการเลือกตั้งประชาชนจะรู้แล้วว่าสิทธิของเขาสามารถตรวจสอบสามารถเลือกคน ปลดคนสนับสนุนคนได้ เขาจะเลือก ส.ส.หรือ ส.ว.เขาก็จะพิจารณาจากผลประโยชน์ของส่วนรวม
จึงอยากจะใช้โอกาสของการปฏิรูปครั้งนี้ เราเขียนรัฐธรรมนูญมา 18 ฉบับฉีกทิ้ง 18 ฉบับเพราะว่าเราทำลักษณะบนลงล่าง ถึงเวลามีการฉีกรัฐธรรมนูญเราก็จะ ตั้งคนมา ไปอนุมานว่าเป็นคนดีรู้ทุกเรื่องเก่งทุกอย่างแล้วก็มาเขียนรัฐธรรมนูญให้คนปฏิบัติตาม ตอนหลังมีกฎหมายประชามติก็มีการทำประชามติแต่ถามว่าเป็นประชามติจริงมั้ยก็ไม่ใช่ ประชามติครั้งนั้นบอกว่าเรากำลังหิวข้าวแล้วเราเป็นคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์แต่มีข้าวหน้าเนื้อมาให้จานเดียวคุณจะทานหรือคุณจะอด การทำประชามติเป็นแบบนั้น ดังนั้นควรจะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงปฏิรูปซะ เราสนับสนุนให้ คสช.ได้ทำการปฏิรูปตามที่ตั้งใจไว้ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดีกับประชาชนและน่าจะใช้โอกาสนี้สร้างให้เกิดธรรมาธิปไตยขั้นหมู่บ้านให้อำนาจในการตรวจสอบการร้องตรงต่อรัฐ
ถ้าเราสามารถทำให้เกิดธรรมาธิปไตยระดับหมู่บ้านได้ฝึกประชาชนให้หารือกันและมีความเห็นว่าอยากจะปฏิรูปอะไรในประเทศนี้บ้าง ให้เขาออกแบบ เขาจะเอาปัญหาความเดือดร้อนที่เขาเห็นมาเป็นข้อเสนอ ข้อเสนอนี้ก็เป็นการทำคู่ขนานไปกับสภาปฏิรูปจากนั้นก็เอามาทำรวมกันเพื่อให้รู้ว่ามีอะไรที่ควรปฏิรูปและทิศทางแนวโน้มควรจะเป็นอย่างไร
แสดงว่าสภาปฏิรูปอย่างเดียวไม่น่าจะพอ
ทำมา 18 ฉบับแล้วทำไมไม่คิดที่จะปรับบ้าง แม้จะมีตัวแทนแต่ไม่ใช่กระบวนการของการมีตัวแทนโดยตรงบางคนเก่งในทางวิชาการก็มองแต่มุมของตัวเอง แต่ถ้าเราใช้วิธีนี้โดยที่ให้ประชาชนมีส่วนที่จะเสนอความคิดเห็นเมื่อไปรวมกับที่สภาปฏิรูปมีมาก่อนพอรวมกันก็ไปจัดการทำพิมพ์เขียวพอได้มาก็ให้ประชาชนซึ่งตอนแรกมีส่วนแสดงความเห็นได้ดูว่าดีมั้ย ไม่ใช่อยู่ ๆกำหนดวันเหมือนเลือกตั้งว่าจะเอาหรือไม่เอา กระบวนการเรียนรู้มันไปไม่ถึง ซึ่งตรงนี้ก็สามารถที่จะสร้างกระบวนการให้ประชาชนได้รับฟังความเห็นว่าที่ร่างคืออะไร จัดเสวนาหรืออะไรก็ได้จากนั้นก็ถึงระยะเวลาที่ คสช.กำหนดจากนั้นก็ไปทำประชามติสมมุติว่ารัฐธรรมนูญมี 300 มาตรา คนอาจจะเห็นด้วย 80% เหลืออีก 20% ก็เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน 20%นี้แหละคือสิ่งที่ทำประชามติ แต่การทำประชามติประชาชนจะต้องรู้ข้อมูลและเมื่อลงประชามติอย่างไรก็จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่จะไม่ถูกฉีกง่าย ๆ อีกเพราะไม่ใช่ประชาชนมีส่วนร่วมแต่เพราะได้มีโอกาสฟังความต้องการของประชาชนจริง ๆ ถ้าทำแบบนี้ก็จะเป็นคุณูปการและเป็นไปตามความตั้งใจของ คสช.ที่อยากเห็นการปฏิรูปการเมืองและทำให้การเมืองเข้มแข็ง คสช.พูดเองว่าอยากให้การปฏิวัติครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่ถ้าไม่แก้ที่โครงสร้างเลยก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย.
ชูธง "สภาธรรมาธิปไตย"
ธรรมาธิปไตยคืออะไร สภาธรรมาธิปไตยเป็นอย่างไร ทำไมถึงเสนอสภาธรรมาธิปไตย เพราะจากการศึกษาแล้วพบว่าโครงสร้างสังคมโดยรวมตั้งแต่ประชาชน ข้าราชการจนถึงนักการเมืองในกรอบการเมืองมีปัญหาทุกส่วนคุณภาพของนักการเมืองก็จะสะท้อนคุณภาพคนเลือก คุณภาพคนเลือกก็สะท้อนคุณภาพของนักการเมืองที่เลือกหรือ เสียงในต่างจังหวัดสู้เสียงในกรุงเทพฯไม่ได้ เสียงในต่างจังหวัดไม่มีคุณภาพตรงนี้ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ขึ้นอยู่
ที่ความรู้ แต่ทั้งหลายทั้งปวงคือเรื่องของคุณธรรมอย่างเดียว ก็คือถ้าเราเข้าใจหลักของธรรมาธิปไตยหรือคนที่เลือกเลือกอย่างมีธรรมาธิปไตยไม่ใช่เลือกเพราะมีผลประโยชน์เฉาพะหน้า ไม่ใช่เลือกเพราะสัญญาว่าจะให้ ซึ่งไม่ใช่เรื่อง
สาธารณะเราก็จะเลือกคนที่จะเข้าไปทำงานได้ถูก ทีนี้เรื่องของสภาธรรมาธิปไตยเกิดขึ้นจากการที่ว่า วันนี้หน่วยเล็กที่สุดคือหมู่บ้านน่าจะเป็นพื้นฐานเราได้ยกเอาพระราชดำรัสของในหลวงไปทำการศึกษาทำหมู่บ้านนำร่องเพื่อให้เกิดหมู่บ้านธรรมาธิปไตย โดยเอาหน่วยที่เล็กที่สุดคือครอบครัวและหมู่บ้านมาสอนในเรื่องของประชาธิปไตยและคุณธรรมเราเชื่อว่าจะส่งผลขึ้นมาทำให้ประชาธิปไตยของประเทศดีขึ้น โครงสร้างของสภาธรรมาธิปไตยก็จะเป็นระบบที่ประชาชนเลือกกันเอง ระบบราชการนักการเมืองเข้าไปยุ่งไม่ได้ คัดเลือกกันเองมาเป็นตัวแทนแล้วก็รวมกันเป็นสมาชิกพอได้จำนวนก็เลือกผู้อาวุโสเป็นสภาที่เกิดโดยธรรมชาติ เมื่อเป็นสภาแล้วก็กำหนดกฎเกณฑ์เรื่องภายในของตัวเองทำหน้าที่เหมือนฝ่ายนิติบัญญัติ
เราจะเห็นว่าตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องมาหลายรัฐบาลเริ่มต้นที่จะให้การตัดสินใจด้านการเงินลงไปที่ประชาชนโดยตรงซึ่งแต่ก่อนต้องผ่านราชการอย่างเดียว พอมีการให้เงินตรงเพื่อพัฒนาก็เกิดปัญหาคือกองทุนเหล่านี้บริหารโดยกรรมการกองทุน กรรมการก็คือคนในหมู่บ้านเป็นฝ่ายบริหารอย่างเดียวเหมือนฝ่ายบริหารและมีการตรวจสอบเหมือนเป็นอำนาจตุลาการ อันนี้คือโครงสร้างที่อยากเห็นเพราะปัจจุบันกรรมการกองทุนทำหน้าที่เป็นรัฐบาลอย่างเดียว สิ่งที่เราเห็นคือพอได้เงินมาก็ทุจริตกันเองชาวบ้านก็มองตาปริบ ๆ ขณะเดียวกันก็มีการไปร่วมมือกับข้าราชการแล้วก็ทุจริตเช่นอย่างที่เราได้ยินไปทำไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ตู้น้ำเย็น ทั้งที่ชาวบ้านไม่ต้องการ อันนี้คือสิ่งที่เป็นปัญหา ดังนั้นถ้าเรามีธรรมาธิปไตยระดับหมู่บ้านมาทำหน้าที่ในการดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นโครงการ กรรมการกองทุนก็รับความต้องการไปจัดทำมีการตรวจสอบเกิดการถ่วงดุล ถอดถอนได้ปลดได้
คือมี 3 ฝ่ายนิติบัญัติ บริหารและตุลาการลงไปในระดับหมู่บ้าน
วันนี้เราทำแต่ภาพใหญ่ 82 ปีที่ประชาธิปไตยเราล้มเหลวเพราะว่าเราไม่พัฒนาคนที่เป็นเจ้าของสิทธิให้รู้จักสิทธิและหน้าที่และทั้ง 2 อย่างต้องเป็นการใช้ที่มีธรรมมีคุณธรรม แต่วันนี้ถ้าดู 82 ปี เรากระจายความรู้เรื่องประชาธิปไตยเพียงแต่เปลือกนอกเท่านั้น คือเราเลือกตั้งเสร็จแล้วจบ ประชาชนเหมือนหมดหน้าที่คือส่งมอบอำนาจทั้งหมดให้นักการเมืองให้ข้าราชการประจำไปทำ แต่จริง ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วก็บอกว่าเลือกคนไม่มีคุณภาพเพราะเราไม่ได้ฝึกประชาธิปไตยจริง ๆ แต่ถ้าทำแบบนี้จะเป็นการฝึกประชาธิปไตยและสอดคล้องกับพระราชดำรัสซึ่งเป็นใจความสำคัญคือประชาธิปไตยขั้นหมู่บ้านจะพัฒนาประชาธิปไตยขั้นประเทศ ถ้าเราสามารถทำให้หมู่บ้านเกิดกลไกของประชาธิปไตยที่เป็นธรรมาธิปไตยได้แบบนี้ก็เชื่อแน่ว่า เมื่อมีการเลือกตั้งประชาชนจะรู้แล้วว่าสิทธิของเขาสามารถตรวจสอบสามารถเลือกคน ปลดคนสนับสนุนคนได้ เขาจะเลือก ส.ส.หรือ ส.ว.เขาก็จะพิจารณาจากผลประโยชน์ของส่วนรวม
จึงอยากจะใช้โอกาสของการปฏิรูปครั้งนี้ เราเขียนรัฐธรรมนูญมา 18 ฉบับฉีกทิ้ง 18 ฉบับเพราะว่าเราทำลักษณะบนลงล่าง ถึงเวลามีการฉีกรัฐธรรมนูญเราก็จะ ตั้งคนมา ไปอนุมานว่าเป็นคนดีรู้ทุกเรื่องเก่งทุกอย่างแล้วก็มาเขียนรัฐธรรมนูญให้คนปฏิบัติตาม ตอนหลังมีกฎหมายประชามติก็มีการทำประชามติแต่ถามว่าเป็นประชามติจริงมั้ยก็ไม่ใช่ ประชามติครั้งนั้นบอกว่าเรากำลังหิวข้าวแล้วเราเป็นคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์แต่มีข้าวหน้าเนื้อมาให้จานเดียวคุณจะทานหรือคุณจะอด การทำประชามติเป็นแบบนั้น ดังนั้นควรจะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงปฏิรูปซะ เราสนับสนุนให้ คสช.ได้ทำการปฏิรูปตามที่ตั้งใจไว้ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ดีกับประชาชนและน่าจะใช้โอกาสนี้สร้างให้เกิดธรรมาธิปไตยขั้นหมู่บ้านให้อำนาจในการตรวจสอบการร้องตรงต่อรัฐ
ถ้าเราสามารถทำให้เกิดธรรมาธิปไตยระดับหมู่บ้านได้ฝึกประชาชนให้หารือกันและมีความเห็นว่าอยากจะปฏิรูปอะไรในประเทศนี้บ้าง ให้เขาออกแบบ เขาจะเอาปัญหาความเดือดร้อนที่เขาเห็นมาเป็นข้อเสนอ ข้อเสนอนี้ก็เป็นการทำคู่ขนานไปกับสภาปฏิรูปจากนั้นก็เอามาทำรวมกันเพื่อให้รู้ว่ามีอะไรที่ควรปฏิรูปและทิศทางแนวโน้มควรจะเป็นอย่างไร
แสดงว่าสภาปฏิรูปอย่างเดียวไม่น่าจะพอ
ทำมา 18 ฉบับแล้วทำไมไม่คิดที่จะปรับบ้าง แม้จะมีตัวแทนแต่ไม่ใช่กระบวนการของการมีตัวแทนโดยตรงบางคนเก่งในทางวิชาการก็มองแต่มุมของตัวเอง แต่ถ้าเราใช้วิธีนี้โดยที่ให้ประชาชนมีส่วนที่จะเสนอความคิดเห็นเมื่อไปรวมกับที่สภาปฏิรูปมีมาก่อนพอรวมกันก็ไปจัดการทำพิมพ์เขียวพอได้มาก็ให้ประชาชนซึ่งตอนแรกมีส่วนแสดงความเห็นได้ดูว่าดีมั้ย ไม่ใช่อยู่ ๆกำหนดวันเหมือนเลือกตั้งว่าจะเอาหรือไม่เอา กระบวนการเรียนรู้มันไปไม่ถึง ซึ่งตรงนี้ก็สามารถที่จะสร้างกระบวนการให้ประชาชนได้รับฟังความเห็นว่าที่ร่างคืออะไร จัดเสวนาหรืออะไรก็ได้จากนั้นก็ถึงระยะเวลาที่ คสช.กำหนดจากนั้นก็ไปทำประชามติสมมุติว่ารัฐธรรมนูญมี 300 มาตรา คนอาจจะเห็นด้วย 80% เหลืออีก 20% ก็เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน 20%นี้แหละคือสิ่งที่ทำประชามติ แต่การทำประชามติประชาชนจะต้องรู้ข้อมูลและเมื่อลงประชามติอย่างไรก็จะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่จะไม่ถูกฉีกง่าย ๆ อีกเพราะไม่ใช่ประชาชนมีส่วนร่วมแต่เพราะได้มีโอกาสฟังความต้องการของประชาชนจริง ๆ ถ้าทำแบบนี้ก็จะเป็นคุณูปการและเป็นไปตามความตั้งใจของ คสช.ที่อยากเห็นการปฏิรูปการเมืองและทำให้การเมืองเข้มแข็ง คสช.พูดเองว่าอยากให้การปฏิวัติครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่ถ้าไม่แก้ที่โครงสร้างเลยก็จะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย.