#pingineurope การไปแลกเปลี่ยนที่เดนมาร์ก พร้อมตะลุย 9 ประเทศ 34 เมือง (รวมเดนมาร์กนะฮะ) - EP. 1 การเตรียมตัว

"เดินทางค้นหาตัวตน ใครหนึ่งคนที่ก็รอฉันอยู่ จากในผู้คนร้อยพันที่ออกเดินทางเหมือนฉัน..."

สวัสดีค่าพ่อแม่พี่น้องลุงป้าน้าอาตายายปู่ย่าทุกคน แบบว่ามั่นใจว่าจะมีคนมาอ่านครบทุกวัยค่ะ

เราชื่อปิ๊งค่ะ อายุ 22 เรียนอยู่ปี3 คณะวิศวะเคมีของมหาลัยที่สิงคโปร์ (Nanyang Technological University)  ปิ๊งย้ายมาเรียนที่สิงคโปร์ได้ปีนี้ก็ปีที่ 11 แล้วค่ะ ขออภัยถ้าภาษาจะผิดๆไปบ้าง ตั้งแต่ย้ายมา ก็มีครูภาษาไทยแค่ไม่กี่คนค่ะ หลักๆก็ครูทมยันตี ลักษณาวดีโรสลาเรน แล้วก็กิ่งฉัตรค่ะ แต่ก็ไม่ค่อยได้เขียน จะฝึกเขียนโดยการเขียนเนื้อเพลงเพลงที่เราชอบค่ะ (ที่จริงคือข้ออ้างให้เราเพ้อได้ถนัดๆ เพราะเราเป็นคนเพ้อฝันไร้สาระมากค่ะ)

ตอนเข้าเรียนใหม่ๆก็ตั้งใจว่าเป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องไปแลกเปลี่ยนให้ได้ แต่เรียนไปเรียนมา อ้าว ไปชอบเพื่อนที่หอตอนอยู่ปี2 เป็นเรื่องละค่ะ ความอยากไปแลกเปลี่ยนหายวับ อยากอยู่สิงคโปร์เพราะไม่อยากไปไกลจากเค้า (ซื่อบื้อและคิดตื้นมาก) แต่สุดท้ายก็ได้มาแลกเปลี่ยนค่ะ เหตุผล? อกหักจากเค้านี่ละค่ะ (กระซิกๆ ร้องไห้ )เลยอยากไปไกลๆ สรุปต้องขอบคุณอีตานี่ (ซึ่งตอนนี้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมแล้ว เป็นเหมือนพี่ชายไปละค่ะ เพราะนางก็ได้สาวน้อยนางหนึ่งมาเป็นแฟนละ) ที่เป็นต้นเหตุให้เรา Apply แลกเปลี่ยนไป

การแลกเปลี่ยนของมหาลัยมี prerequisite ว่าคะแนน cGPA ตลอดเวลาเรียนจนถึงเวลาที่สมัครไปจะต้องไม่ต่ำกว่า 3.5/5 เฉียดมากค่ะ เพราะของเราอยู่ที่ 3.7 (เป็นบุญของลูกที่ได้มา)

การคัดเลือกนักเรียนที่จะไปแลกเปลี่ยนจะคัดที่สัญชาติกันก่อนค่ะ สัญชาติสิงคโปร์จะได้รับพิจารณาก่อน ตามมาด้วย Permanent resident ที่ปิ๊งถืออยู่ แล้วต่อด้วยชาวต่างชาติค่ะ ซึ่งก็แปลว่าเด็กสิงคโปร์ที่ได้คะแนน 3.6 จะมีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนสูงกว่าเด็กต่างชาติที่ได้คะแนน 4.8 ดูไม่แฟร์เนอะ แต่ปิ๊งแอบดีใจค่ะ ที่เค้าตั้งกฏแบบนั้น ไม่งั้นหนูปิ๊งอดแน่ๆ

เหตุผลหลักๆนอกจากการอยากไปเที่ยวต่างประเทศ อยากออกจากเกาะสิงคโปร์ ของนักเรียนทุกคนที่สมัครไปแลกเปลี่ยนมีอีกข้อนึงค่ะ คือการไปเคลียร์วิชาหฤโหดทั้งหลายของคณะ เพราะการไปแลกเปลี่ยนแปลว่าวิชาที่เราเรียนที่นั่น จะไม่นับมาเป็นคะแนนค่ะ จะดูกันแค่ตกกับผ่าน ถึงจะตก ก็ไม่มีผลต่อคะแนนค่ะ ซึ่งเริ่ดมาก เพราะหนูปิ๊งเรียนทุกเทอม มี c cat ออกมาวิ่งเล่นทุกเทอมเลยค่ะ แล้วแมวๆทั้งหลายนี่ก็วิชาหลักของคณะทั้งนั้นค่ะ ต้องขอบคุณวิชาเลือกที่ช่วยชีวิตด้วยเอเทอมละตัว สรุปเฉลี่ยจะออกมาประมาน บีค่ะ (~3.5)

ออกนอกเรื่องละ ยังอธิบายไม่จบเลยค่ะว่า pass/fail system มันทำงานยังไง สรุปคือจะทำยังไงก็ได้ ขอแค่ผ่าน ซึ่งบางทีการผ่านไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น 50%เสมอไป สนุกละค่ะ ทำไมถึงสนุก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนพูดถึงมหาลัยที่มาแลกเปลี่ยนนะคะ

สรุปคือ อยากเรียนกี่วิชาเรียนไป ขอให้ผ่านให้หมด กลับสิงคโปร์ไปชีวิตจะสบายนักแล ซึ่งหารเลือกมหาลัยที่จะไปแลกเปลี่ยนสำคัญมากค่ะ เพราะบางมหาลัยจะจำกัดให้เคลียร์ได้มากที่สุดแค่ 5-6วิชา สำหรับคณะอื่นนี่จะถือว่าเยอะ แต่เด็กวิศวะเคมีไม่เคยมีชีวิตแบบนั้นค่ะ เทอมนึงจะเฉลี่ยอย่างน้อย 7วิชา (รวมแลบ)

ก็แปลว่าถ้าเลือกมหาลัยไปแล้วเวรกรรมมันเล่นตลก เขาให้เคลียร์ได้แค่ 3 วิชา ก็บรรลัยแน่ๆค่ะ กลับมาชดใช้กรรมหนักแน่นอน

นอกจากจำนวนวิชาที่ต้องดูไห้ดีว่ามีกำหนดอะไรรึเปล่า อีกอย่างคือ content ของวิชา จะตรงกับวิชาที่เราเรียนมั้ย? อาจารย์จะให้เรา match มั้ย? งานงอกค่ะ ต้องไปหาดูว่าแต่ละมหาลัยมีวิชาอะไรบ้าง ตรงกับที่เราเรียนมั้ย content ในเพจจะพอบลั๊ฟอาจารย์ได้มั้ย? เป็นงานหนักมากค่ะ โดยเฉพาะถ้าเราไม่รู้ว่าวิชาที่ต้องเคลียร์เป็นยังไง

แต่ก็มีทาง short cut นะคะ ทางนั้นก็คือถามค่ะ ถามเลย รุ่นพี่ เพื่อนๆ ที่เค้าเคยไปมาแล้ว แล้วเราจะรู้ว่ามหาลัยไหนที่พอไปได้บ้าง จากที่ถามมาจะเหลือไม่กี่ชอยซ์ค่ะ จำชื่อไม่ได้ยะคะ แต่จำประเทศได้

มี:
1. อังกฤษ (Strathclyde กับ Manchester แต่จำกัดจำนวนวิชา+คนเลือกเยอะ = ตัดออกค่ะ)
2. เยอรมัน อันนี้รุ่นพี่ไปมาค่ะ แต่พอมาปีเรา เค้าขอว่าต้องรู้ภาษาเยอรมันเบสิค อดค่ะ เพราะไม่ได้เลย
3. ตุรกี .... ได้ยินชื่อตุรกีแล้วนึกถึงตะวันออกกลางค่ะ ตัดออก เพราะหนูปิ๊งอยากไปยุโรปเท่านั้น (แต่ตุรกีก็ยุโรปปะคะ? เพื่อนบางคนบอกไช่ บางคนบอกไม่ใช่)
4. ไต้หวัน แหม ถ้าจะไปแลกเปลี่ยนที้งที เอเชียหนูเชิดค่ะ (ยกเว้นไทยที่อยากไปแต่โดนพ่อกะแม่สกัดดาวรุ่งไว้ค่ะ) ไปมะไหร่ก็ได้ ดูไฮโซเนอะ ไม่ใช่เลยค่ะ ทั้งชีวิตมีไปมาแค่ สิงคโปร์-ไทยแลนด์ (ผ่ายมาเลเชียบ้าง) และก็เพื่อนบ้านค่ะ พม่านี่ไปเชียงรายทีไรก็ข้ามไปทุกที หุๆ ละก็มาเก๊า 7 วัน ไม่เคยไปไกลกว่านั้นค่ะ
5. อเมริกา แต่หนูกลัวอเมริกา ไม่รู้ทำไม...
6. เดนมาร์ก โป๊ะเชะ เพอร์เฟค คนยังไม่ค่อยรู้จัก แถมอยู่ในยุโรป วิชาแมทช์ได้ ไม่จำกัดจำนวนวิชา เลอค่ามากค่ะ เยี่ยม

แน่นอนว่าชอยซ์แรกคือเดนมาร์ก เค้าให้เลือกได้ 6 มหาลัยค่ะ เท่าที่จำได้ใส่อังกฤษ แคนาดา กะ ตุรกีไป(มั้งคะ)

มีเวลาให้สามวันที่จะสมัคร หนูนั่งคิดว่าจะไปมั้ยวันแรก ถามพ่อกะแม่วันที่สอง สมัครไปวันที่สามค่ะ ไม่ค่อยรีบเล้ยยย เตรียมพร้อมฝุดๆ จากการตัดสินใจที่บ้าบิ่นบวกกับความเฮิร์ทที่ทำให้มนุษย์เราไม่ค่อยใช่สมองในการตรึกตรองอะไรมาก ก็นั่งรอค่ะ สารภาพเลยว่าตอนนั้นไม่รู้อะไรเลยค่ะ วิชาต้องแมทช์ก็ยังไม่ได้หาจริงจัง เรียกว่าใช้แต่หัวใจไร้สมองเลยละค่ะ แต่ต้องขอบคุณท่านพ่อและท่านแม่ที่สนับสนุนลูก ว่าลูกควรไปบ้างเพราะมันจะเป็นประสบการณ์ที่ดี ขอบคุณมากๆค่ะ ที่ตอบตกลงตั้งแต่ครั้งแรกที่หนูถาม

จากวันนั้นที่บ้าบิ่นกดสมัครไปก็นั่งภาวนาค่ะ พึ่งจะรู้สึกตัวว่าอยากไปยุโรปมากจริงๆ อยากที่บอกไปตอนแรกอะค่ะ ว่าครูภาษาไทยหนูคือนิยายทั้งหลาย แล้วแหมมมมม บางทีท่านก็เขียน setting ให้อยู่ต่างประเทศ ส่วนมากจะเป็นยุโรปนะคะ (ลำเนาลม- ฝรั่งเศษ, ในเรือนใจ - ฝรั่งเศษ สวิส เยอรมัน อิตาลี, สะพานอธิษฐาน- ฟลอเรนซ์/เวนิส, ทางรัก-สายสัมพันธ์ - เยอรมัน) ด้วยความสามารถพิเศษทางด้านมโน เลยปักใจว่าชีวิตจะต้องโรแมนติกในยุโรปบ้าง เรียกว่าถ้าได้ไป ก็ฝันเป็นจริงเลยละค่ะ หัวใจ

อีกเหตุผลที่อยากไปยุโรปมาก คืออยากไปอังกฤษค่ะ ปิ๊งเป็นสาวกพ่อมดแฮร์รี่มาตั้งแต่หนังสือเล่มแรกออก แม่บอกให้อ่านเพราะสนุก แรกๆไม่เชื่อนะคะ แต่พออ่านละติดหนึบ ตอนนั้น 8-9 ขวบเองมั้งคะ และเพราะแฮร์รี่นี่ละ เลยทำให้มีนิสัยต้องพกหนักสือไปด้วยทุกที่ เมื่อก่อนเรียกว่า ลืมเอาหนังสือใส่กระเป๋านี่เรื่องใหญ่นะคะ เพราะจะกินข้าวก็อ่าน นั่งรถบัสก็อ่าน เข้าห้องน้ำก็อ่าน รอครู ก็อ่านค่ะ อยากไปลอนดอนมาก เพราะอยากไป Harry Potter studio อย่างเดียวเลย จุ๊บๆ

นอกเรื่องอีกละค่ะ ฝอยเรื่องหนังสือซะยาว แหม่

ผ่านไปไม่รู้กี่วัน จำไม่ได้ค่ะ แต่จำได้ว่าวันนั้นเช็คอีเมลล์ทั้งวัน เว้นไปตอนกินข้าวเย็น เพื่อนส่งข้อความมาบอกว่าเค้าได้แล้วนะ ปิ๊งได้มั้ย? ตอนนั้นหายหิวเลยค่ะ ไม่กินละ เช็คอีเมลล์ก่อน เปิดมาแทบกรี๊ดค่ะ อร๊ายยยยย หนูได้ไปแล้ว!!!!!! ซะที่ไหน ต้องรอฝั่งโน้นตอบกลับค่ะ แต่ขั้นแรกคือ...

NTU ยอมส่งชื่อหนูไปที่ DTU แล้ววววว!!!!!!!! DTU คือชื่อมหาลัยที่เดนมาร์กค่ะ Technical University of Denmark แต่ตัวย่อเค้าตามชื่อภาษาแดนิชค่ะ เลยออกมาเป็น DTU แทน TUD (TUD ดูน่ารักดีนะฮะ คงจะน่ารักมากถ้ามีคนถามว่าแลกเปลี่ยนที่ไหน แล้วตอบว่า อ่อ... ที่ตุ๊ดค่ะ)

ระหว่างที่รอคำตอบจากเดนมาร์ก ต้องทำอะไรเยอะแยะเลยค่ะ เตรียมเอกสาร (เป็นตั้ง) ผลการเรียนตั้งแต่ม.ปลายถึงปีที่เรียนอยู่ (ผลม.ปลายเป็นความภูมิใจของชีวิตค่ะ แต่ผลมหาลัยนี่แอบๆเป็นความอับอาย -.-) เอกสารเกี่ยวกับการเงินของครอบครัว ใบสมัคร เยอะแยะมากมาย แอบโชคดีที่ตอนที่ต้องทำพวกนี้คือเทอมที่ฝึกงานค่ะ ฝึกงานว่างๆก็หาวิชา ถ้าเรียนอยู่คงยุ่งนะคะ อ่านหนังสือไม่ได้หาแน่ๆ ขอบคุณเจ้านายด้วยค่ะ ที่เข้าใจหนู #ซึ้งแปป อมยิ้ม02

รอคำตอบจาก DTU สองอาทิตย์ค่ะ ช่วงนี้ก็นั่งแมทช์วิชา แมทช์ได้ 13 วิชาค่ะ แต่ตารางบางวิชามันชนกัน

แล้วก็รอ... รอ....... รอ ต่อไป

จนวันนึง ได้รับคำตอบรับ ได้รับหมายเลขนักเรียนที่จะต้องใช้หาที่อยู่ ปิ๊งโชคดีที่นักเรียนแม่คนนึงเป็นรุ่นพี่ที่เคยไปมหาลัยนี้มาแล้วค่ะ (แม่สอนภาษาไทยค่ะ) พี่เค้าก็แนะนำ ที่อยากได้มากๆคือ Campus village ค่ะ จะเป็นห้องเดี่ยว อยู่ใน container container นึงจะมี 9-10ห้องค่ะ ห้องครัวหนึ่ง ห้องน้ำ1-2 ห้องอาบน้ำอีก 1-2 แล้วแต่บุญแต่กรรมว่าได้ container ไหนค่ะ มีเครื่องซักผ้า เครื่องปั่นแห้ง และอยู่ในตัวมหาลัยเลย แต่ด้วยความห่วงไม่เข้าเรื่องทำให้ปิ๊งกะเพื่อนอีกคนที่ชื่อ แคสแซนดร้า เลือกติ๊กว่าอยากอยู่ใกล้กัน/ด้วยกัน

นี่ค่าาา รูปของ Campus Village (ขุดหาทั้งหมด อ่าว มีรูปเดียว แง้ ที่สิงสถิตเค้าาาา น่าจะถ่ายมาเยอะๆ)



อดค่ะ campus village เราสองคนได้แชร์ห้องกันใน Student house ที่ห่างจากมหาลัยไป 3กิโล student house ส่วนมากจะเป็นบ้านในละแวกใกล้เคียงมหาลัยที่เจ้าของทำสัญญากะมหาลัยว่าให้นักเรียนเช่าค่ะ

จากนั้น... ก็ถึงเรื่องยุ่งยากอีกอย่างนึงค่ะ โดยเฉพาะเราที่ถือพาสปอร์ตไทย วีซ่าค่ะ

ยุ่งวุ่นวายฝุดๆแถมแพงอีกตะหาก ของเพื่อนๆอีกสองคนที่อยู่คณะเดียวกันก็ต้องทำค่ะ เพราะไปอยู่นานกว่า 3เดือน แต่เค้าไปรับที่เดนมาร์กได้ ไม่มีปัญหา เพราะพาสปอร์ตสิงคโปร์ไม่ต้องใช้วีซ่าเข้ายุโรป ชิ ตอนนั้นซัก.. กลางๆเดือนพฤษจิกายนมั้งคะ เพื่อนได้จองตั๋วเรียบร้อยแล้ว วันที่20 มกรา แต่ตัวเรายังไม่กล้าจอง.. เพราะยังไม่รู้เลย ว่าวีซ่าจะได้เมื่อไหร่ แล้วเรามีแข่งว่ายน้ำวันที่ 8-9 แล้วก็ 15 ม.ค. เลยนึกว่าต้องไปช้ากว่าเพื่อนๆแล้ว

แต่แล้ววันหนึ่ง สถานทูตก็โทรมาบอกว่า ผ่านแล้วนะ มาเอาด้วย

แทบกรี๊ดค่ะ ตอนนั้นอยู่กับเจ้านายพอดี เค้าก็ใจดี อนุญาตให้หนูไปเอาได้ ให้พักวันนึง

จากนั้น.. ก็จองตั๋วละค่ะ บินวันที่ 20ม.ค.ตอน 3ทุ่ม ขากลับ... วันที่ 1 ก.ค. ค่ะ (วีซ่าหมดอายุวันที่ 30 มิ.ย.)

ช่วงหลังจากนั้นก็ชิลล์ค่ะ ฝึกงานให้เสร็จ เตรียมตัวแข่งว่ายน้ำ ไอที่จะเตรียมความพร้อม เตรียมจัดกระเป๋า ไม่มีค่ะ 555 มาจัดเอาประมาน 5 วันก่อนบิน แหะๆๆๆ

บินไฟลท์ของ Qatar น้ำหนักที่เช็คอินได้คือ 30 กก.ค่ะ แต่ด้วยความเห่อ (กระเป๋าใบใหญ่ที่จัดไปเต็มไปด้วยของกินกว่าครึ่งค่ะ ประมานว่าเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่อดตายแน่นอน) กระเป๋าที่ปิ๊งเช็คอินมีสองใบ น้ำหนักรวม 40 กิโล เป๊ะค่ะ 5555 มีสะพายหลังอีกหนึ่งใบ หึๆๆๆๆ เอารูปของในใบใหญ่มาให้ดูค่ะ



อันนี้แบบแกะมาตีแผ่ให้ตัวเองดู หึๆๆๆ


โชคดีที่เช็คอินเร็ว พนักงานใจดี (คงชินกับเด็กที่จะไปแลกเปลี่ยนแล้วมั้งคะ สนามบินมีแต่คนไปแลกเปลี่ยนช่วงนั้น) ไม่มีปัญหากับน้ำหนักเกินค่ะ มีแค่เตือนว่าคราวหน้าห้ามเกินนะ

จากนั้นก็ได้เวลาบินค่ะ เอารูปครอบครัวมาลงให้ดู เพราะวันนั้นเป็นวันเริ่มต้นของ #pingineurope วันที่ปิ๊งได้ไปทวีปในฝัน วันที่ไม่คิดว่าจะเป็นจริงค่ะ ยิ้ม



ตอนจะไปนี้ ตั้งใจว่าไม่เอากล้องไป เพราะเป็นคนไม่เล่นกล้อง แต่ขอยืมกล้องโพลารอยด์ของน้องมาค่ะ ซื้อฟิล์มมา 5 กล่อง หมดไป 1 กล่อง ถ่ายรูปกะเพื่อนๆ  5555 ตั้งใจว่าไปที่ไหน จะถ่ายที่ละ 1-2 ใบค่ะ จะเอารูปพวกนี้มาให้ดูนะคะ (แต่กล้องเก่าแล้วค่ะ ไม่ค่อยชัด แหะๆ ก็จะลงรูปจากกล้องโทรศัพท์ด้วยค่ะ)

ไว้จะมาเขียนต่อน้าาา

ลิงค์รวมกระทู้ #pingineurope ทั้งหมดค่ะ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่