..
สวัสดีค่ะ : )
หลังจากห่างหายจากรีวิวครั้งสุดท้ายไปค่อนข้างนาน
ทิเอง .. ก็ผลุบโผล่อยู่ในกระทู้พันทิปบ้างเล็กน้อย
กลับมาวันนี้มีเรื่องราวการเดินทางสั้น ๆ มาฝากกันค่ะ
แทนความคิดถึง .. ทั้งหมดที่มี
ถึงแม้ว่าบ้านทิจะอยู่เชียงใหม่
และมีโอกาสเดินทางกลับไปเกือบทุกเดือน
แต่เมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาที่ชื่อ
" เ เ ม่ เ เ จ่ ม "
กลับอยู่นอกเหนือความสนใจของทิโดยสิ้นเชิง
จนเจ๊เฉด
(Login : ผักกะเฉดใส่ไข่) มาชวน
ทิก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ทันที
" บ้ า น ป่ า บ ง เ ปี ย ง "
..
ทิบินมาก่อนเจ๊เฉด 1 วัน
วันรุ่งขึ้น (พฤ 17 ก.ค.) น้องไปส่งที่สนามบิน
รับเจ๊เฉดจากสนามบินออกมาตอน 8 โมง
นั่งสี่ล้อแดงคนละ 30 บาทเพื่อไปลงประตูเชียงใหม่
เดินข้ามฝั่งจากตลาดประตูเชียงใหม่มาคิวรถจอมทอง
เราจะเริ่มเดินทางจากที่นี่ไปตัวอำเภอจอมทองกันก่อน
ค่ารถเชียงใหม่ - จอมทองคนละ 34 บาท
ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตรจากเชียงใหม่
รถมาจอดส่งเราที่คิวรถไปแม่แจ่มด้านหน้าตลาดจอมทอง
มีคนมารอขึ้นไปแม่แจ่มกันพอสมควร
แต่ที่ท่ารถก็จะมีป้ายบอกเวลารถออกเอาไว้
ค่ารถจากจอมทอง - แม่แจ่มคนละ 70 บาท
แต่วันนี้เราจะยังไม่ไปที่ตัวอำเภอแม่แจ่มกัน
เรานัดรถของโฮมสเตย์บ้านมาฉิโพให้มารับ
จุดนัดพบของเราคือทางแยกน้ำตกแม่ปาน
11.30 น. เราเริ่มออกเดินทางจากอำเภอจอมทอง
ไปตามเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์จนถึงด่านที่ 2
ซ้ายมือจะมีทางแยกไปอำเภอแม่แจ่ม
อากาศเริ่มเย็นขึ้น .. และมีฝนตกปรอย ๆ
มีหมอกฝนลอยระเรี่ยยอดไม้อยู่เป็นระยะ
ทางแยกจากด่าน 2 ไปอำเภอแม่แจ่มเริ่มคดเคี้ยวมากขึ้น
เราเจอโค้งหักศอกเป็นระยะแต่ก็ผ่านมาเรื่อย ๆ ด้วยความชำนาญของคนขับ
จนมาถึงทางแยกน้ำตกแม่ปานคนขับส่งเราลงที่ตรงนี้
มีรถกระบะโฟร์วีลมาจอดรอรับเราอยู่ตรงทางแยกแล้ว
และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกับ
" ม า เ ซ "
ระยะทางจากทางแยกมาจนถึงบ้านป่าบงเปียง
ประมาณ 8 กิโลเมตรแต่เป็น 8 กิโลที่เนิ่นนานมาก
เพราะหนทางข้างหน้าเล็ก แคบ ชัน เป็นร่องน้ำ และเลน
จากทางแยกเราจะผ่านน้ำตกห้วยทรายเหลือง
ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่รถยนต์ธรรมดาจะเข้าถึงได้
หลังจากนั้นทางจะเริ่มฟหโหดขึ้นเรื่อย ๆ โชคดีที่ฝนตกไม่มาก
เราใช้เวลาขโยกเขยกผ่านทางเหล่านั้นมาได้ด้วยฝีมือการขับรถของมาเซ
มาเซเป็นน้องชายของพี่วิชัยเจ้าของบ้านมาฉิโพที่เรากำลังจะไปพัก
ระยะทางแค่ 8 กิโลเมตรแต่ใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง
จนโค้งสุดท้ายเมื่อพ้นแนวไม้เราก็ได้เห็นนาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียงอยู่ตรงหน้า
บ้านไม้ไผ่หลังเล็ก ๆ อยู่เชิงเขา .. ด้านล่างเป็นนาขั้นบันไดและท้องฟ้ากว้าง
หลังจากเอาของขึ้นไปเก็บบนบ้านสิ่งแรกที่ทำคือออกไปยืนสูดอากาศอยู่ที่ระเบียง
อากาศกำลังเย็นสบายอาจเพราะช่วงนี้มีฝนพรำทุกวันโชคดีที่เราไม่เจอฝนหนัก ๆ เลย
ระเบียงบ้านมาฉิโพกลายเป็นที่สิงสถิตย์ของเราสองคนตลอดบ่ายวันนั้น
นั่ง ๆ นอน ๆ มองวิวตรงหน้ากันไม่เบื่อ .. เพราะว่าวิวตรงหน้าเปลี่ยนไปทุกนาที
เมื่อแสงเปลี่ยนทิศ .. เมฆลอยผ่าน .. แม้จะเป็นทุ่งนาทุ่งเดิม แต่ภาพที่มองเห็นกลับไม่เหมือนเดิม
เราถอดรองเท้าแล้วค่อย ๆ ลงเดินไต่ลงไปตามคันนา
ข้าวเพิ่งถูกปักดำลงไปแค่ไม่กี่อาทิตย์ ถึงแม้มันจะยังไม่โตเต็มท้องทุ่ง
แต่เท่านี้ทุก ๆ ที่ที่เราก้าวเดินไปข้างหน้า .. มันล้วนแต่สวยงามและน่าจดจำ
กลับขึ้นมาบนบ้านตอนเย็นย่ำก่อนแสงอาทิตย์จะหมด
เราผลัดกันไปอาบน้ำ .. น้ำใสและเย็นมากเพราะต่อม่อมาจากน้ำตก
หน้าบ้านเรามีลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลมาจากน้ำตกแม่ปาน
อากาศเริ่มเย็นลงมีฝนตกบ้างโปรยปรายไม่หนักหนาเป็นระยะ
เป็นช่วงที่พายุรามสูรเข้าแต่เรากลับไม่เจอพายุเลย .. โชคดีมาก
ห้องน้ำบ้านมาฉิโพถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนเมืองอย่างเรา ๆ
มีทั้งโถนั่ง สายฉีดชำระ ผักบัว ถังน้ำ และห้องน้ำสะอาดมาก ๆ
รีบอาบน้ำกันให้เสร็จก่อนค่ำเพราะว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า พี่วิชัยเตรียมเทียนไขไว้ให้
แต่เราเตรียมไฟฉายอันใหญ่มาโดยเฉพาะ ก็ช่วยให้กระท่อมเล็ก ๆ ไม่มืดมิดจนเกินไป
พี่วิชัยเอาถาดอาหารเย็นมาส่งให้ตอนประมาณทุ่มนึง
กับข้าวชาวบ้านง่าย ๆ มีน้ำพริกผักต้มไข่เจียวไส้อั่วแกงจืด
แต่อร่อยทุกอย่าง .. เราเชื่อว่าคนทำเองก็ตั้งใจทำให้เราสุดฝีมือ
หลังจากอิ่มอาหารมื้อค่ำกันแล้วพี่วิชัยก็มานั่งคุยกันสักพักเรื่องสัพเพเหระ
เรื่องเกี่ยวกับเผ่าปกากะญอ และเราก็ได้ฟังเพลงชาวปกากะญอที่พี่วิชัยเป็นคนแต่ง
เครื่องดนตรีประจำตัวของพี่วิชัยเรียกว่าเตหน่าลักษณะคล้าย ๆ ซอผสมพิณ
พี่วิชัยเล่นทั้งเพลงของตัวเองและเพลงอื่น ๆ ที่พอจะได้ยินและร้องได้ทั้งเดือนเพ็ญและกำลังใจ
คืนนั้นพี่วิชัยส่งเราสองคนเข้านอนด้วย
" หลับฝันดีนะครับ "
บ้านไม้ไผ่หลังเล็ก ๆ ของเราในคืนนั้น
ตอนแรกกะจะนอนกันตรงชานบ้าน
เพราะอากาศเย็นดี แต่พอดึกเริ่มหนาวมากขึ้น
ย้ายตัวกันเข้าไปมุดมุ้งในห่องกันแทบไม่ทัน
อากาศเหมือนต้นหนาวเริ่มหนาวเบาบาง
แต่อุณหภูมิก็ไม่น่าจะเกิน 20 องศา
ตื่นเช้ามากระเด้งตัวเองขึ้นจากพื้นที่นอน
มองลอดมุ้งออกมามันก็ยังไม่ชัดเท่ามุดมุ้งออกมามอง
หน้าต่างไม้ค้ำยันสองบานเล็ก ๆ ที่ปลายเท้า
อวดโฉมนาขั้นบันไดยามเช้าพร้อมหมอกลอยระเรี่ย
ธรรมชาติบรรจงสร้างสรรค์ความสวยงามเสมอ
06.30 น. พี่ฉิโพหิ้วกระติกเก็บน้ำร้อน
มาให้พร้อมกับโอวัลตินซองสองซอง
อากาศเย็น ๆ ได้แก้วโอวัลตินอุ่น ๆ มาอยู่ในมือ
มันทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นมาอีกนิดนึง
เช้าวันนี้ไม่มีแดดมีแต่หมอกฝนกับเมฆเบาบาง
ลอยผ่านหัวเราไปมาที่ระเบียงหน้าบ้าน
เจ็ดโมงกว่าอาหารเช้าก็มาเสิร์ฟถึงชานบ้าน
ไม่มี ABF ไม่มีข้าวต้มกุ้งโจ๊กหมูสับ ปาท่องโก๋
กับข้าวเช้านี้มี
"น้ำพริกปลากระป๋อง" อันขึ้นชื่อ
ใครไปใครมาเยือนที่นี่ขอให้รีเควสท์อร่อยเด็ดจริง ๆ
มีแคบหมูและหน่อไม้ต้มเป็นเครื่องจิ้ม
แกงน้ำเต้าใส่เนื้อปลาป่น ผัดแตงกวาใส่ไข่ ข้าวอีกโถ
กับข้าวชาวเขาง่าย ๆ บ้าน ๆ แต่อร่อยมาก
มื้อนี้คงเป็นมื้อสุดท้ายของบ้านป่าบงเปียงแล้ว
สิบเอ็ดโมงนัดรถมารับเพื่อลงไปส่งที่ตัวอำเภอแม่แจ่ม
แล้วคืนนี้เราจะไปค้างที่แม่แจ่มกันอีกคืน
11.00 น. มาเซกับมาลาโกมารับที่บ้านพัก
ขับโฟร์วีลลงมาส่งที่ตัวอำเภอแม่แจ่ม
ระหว่างทางพาแวะไปดูนาข้าวและข้าวไร่หลายจุด
แวะเข้าไปที่โบสถ์ของหมู่บ้านตีนผา
ชาวเขาแถบนี้นับถือศาสนาคริสต์เกือบทั้งนั้น
จากโบสถ์ผ่านโรงเรียนอินทนนท์วิทยา
มีนักเรียนชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3
จากบ้านตีนผาออกมาเกือบถึงตัวอำเภอแม่แจ่ม
มาเซแวะให้เราดูน้ำออกฮู .. หนองน้ำศักดิ์สิทธิ์
ที่มีน้ำผุดออกมาจากรูตามความเชื่อของชาวบ้านที่นี่
ลงมาถึงตัวอำเภอเที่ยงครึ่งเราตกลงใจพักที่โรงแรมแม่แจ่ม
เราบอกลามาเซและมาลาโกสัญญาว่าเราจะกลับมาอีก
มาเซและมาลาโกส่งเราสองคนที่โรงแรมแม่แจ่ม
โรงแรมแม่แจ่มเป็นบังกะโลสามเหลี่ยมหน้าจั่วหลังเล็ก ๆ
มีห้องน้ำในตัว แอร์ ทีวี ตู้เย็น คืนละ 600 บาท
เอาของเก็บที่ห้องพักชาร์จแบตแป๊ปนึง
ก็เดินออกไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่หน้าปากซอย
ค่าเช่าวันละ (24 ชั่วโมง) 200 บาท (ไม่ต้องมัดจำ)
เมื่อได้รถก็ออกเดินทางกันต่อหาอะไรใส่ท้องกันก่อน
มาเซแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวจันทร์สมอยู่เยื้องวัดบุปผาราม
มีทั้งหมูและเนื้อพิเศษชามละ 40 บาท (เยอะมาก)
ท้องอิ่มก็ออกเดินทางกันต่อไปวัดพุทธเอ้น (บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์)
ตั้งท่าจะไปบ้านกองกานแต่มองไปข้างหน้าฝนมามืด
ตัดสินใจย้อนกลับมาบ้านท้องฝายไปดูศูนย์ทอผ้าตีนจก
หลังจากนั้นย้อนกลับเข้าตัวอำเภอแวะร้านแจ่งเหมือง
ได้ชามะนาวมาเติมความสดชื่นหลังจากเจอทั้งฝนและแดด
หลังจากไปตระเวณทั่วแม่แจ่มฝ่าทั้งฝนและแดด
ก็กลับมา .. นอนเอกเขนก .. ที่ห้องพัก
หกโมงกว่าแดดร่มลมตกออกไปหาของกิน
อากาศเย็นลงกว่ากลางวันแต่ก็ไม่เย็นมาก
เท่ากับบ้านป่าบงเปียงที่เราจากมา (คิดถึง)
ขี่รถเลาะเลียบริมน้ำแม่แจ่มไปเจอร้าน
" ค รั ว ริ ม เ เ จ่ ม " (อยู่ตรงข้ามโรงแรมแพมวิว)
ร้านอาหารเล็ก ๆ แต่วิวดีชะมัดเลยแหะ
ถามน้องในร้านว่ามีอะไรแนะนำที่ขึ้นชื่อของที่นี่
น้องแนะนำปลาจุ่มเลยจัดมาหนึ่งหม้อ (เยอะเอาเรื่อง)
สั่งผัดหน่อไม้ฝรั่งน้ำมันหอย กับ ผัดกะเพราหมูไปด้วย
สองคนสามอย่างตอนยกมาน้องบอกว่าจะหมดมั้ยคะ
พยายามละเลียดปลาจุ่มกับผัดผักจนหมด
แต่กะเพรานี่ยัดลงท้องลงไปไม่หมดจริง ๆ แหะ
เรียกเก็บตังค์ทั้งหมด 280 บาทพุงแทบแตก
วันสุดท้าย .. ในเมืองแม่แจ่ม
กว่าเมื่อเช้าจะลุกจากที่นอนก็แปดโมงกว่าแล้ว
เมื่อคืนฝนตกทั้งคืนและตุ๊กแกร้องอยู่บนหัวนอนทั้งคืน
กว่าจะข่มตาหลับก็ปาเข้าไปตีสามเพราะกลัวมันกระโดดมาใส่
อาบน้ำ เก็บของ แล้วออกไปเก็บภาพรอบ ๆ เมือง
แวะไปคิวรถแม่แจ่มบอกให้เค้ามารับที่พักตอนเที่ยง
ขี่ฝ่าฝนปรอย ๆ ออกไปทางฮอดเลี้ยวเข้าไปวัดยางหลวง
เป็นวัดเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ สถาปัตยกรรมสวยงาม
และมีภาพเงาสะท้อนของอุโบสถกลับหัวตอนที่แสงตกกระทบ
แต่วันนี้ .. ไม่มีแดดก็ไม่เห็นอยู่ดี
ออกมาจากวัดยางหลวงขี่เลยเข้าไปที่วัดบ้านทัพ
วันนี้วันพระที่วัดนี้มีคนเฒ่าคนแก่ใส่ชุดขาวมาถือศีลทำบุญกันเต็มเลย
ได้คุยกับคุณตาคุณยายสักพักก็ขอตัวออกมา
เราเลือกที่จะไม่กลับทางเดินแต่เห็นถนนที่เชื่อมกับบ้านท้องฝาย
ที่เราขี่มาดูศูนย์ทำผ้าตีนจกเมื่อวานนี้
..
[CR] ::::: .. เวลาเดินช้า ที่ป่าบงเปียง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .. :::::
สวัสดีค่ะ : )
หลังจากห่างหายจากรีวิวครั้งสุดท้ายไปค่อนข้างนาน
ทิเอง .. ก็ผลุบโผล่อยู่ในกระทู้พันทิปบ้างเล็กน้อย
กลับมาวันนี้มีเรื่องราวการเดินทางสั้น ๆ มาฝากกันค่ะ
แทนความคิดถึง .. ทั้งหมดที่มี
ถึงแม้ว่าบ้านทิจะอยู่เชียงใหม่
และมีโอกาสเดินทางกลับไปเกือบทุกเดือน
แต่เมืองเล็ก ๆ ในหุบเขาที่ชื่อ " เ เ ม่ เ เ จ่ ม "
กลับอยู่นอกเหนือความสนใจของทิโดยสิ้นเชิง
จนเจ๊เฉด (Login : ผักกะเฉดใส่ไข่) มาชวน
ทิก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่ทันที " บ้ า น ป่ า บ ง เ ปี ย ง "
..
ทิบินมาก่อนเจ๊เฉด 1 วัน
วันรุ่งขึ้น (พฤ 17 ก.ค.) น้องไปส่งที่สนามบิน
รับเจ๊เฉดจากสนามบินออกมาตอน 8 โมง
นั่งสี่ล้อแดงคนละ 30 บาทเพื่อไปลงประตูเชียงใหม่
เดินข้ามฝั่งจากตลาดประตูเชียงใหม่มาคิวรถจอมทอง
เราจะเริ่มเดินทางจากที่นี่ไปตัวอำเภอจอมทองกันก่อน
ค่ารถเชียงใหม่ - จอมทองคนละ 34 บาท
ระยะทางประมาณ 60 กิโลเมตรจากเชียงใหม่
รถมาจอดส่งเราที่คิวรถไปแม่แจ่มด้านหน้าตลาดจอมทอง
มีคนมารอขึ้นไปแม่แจ่มกันพอสมควร
แต่ที่ท่ารถก็จะมีป้ายบอกเวลารถออกเอาไว้
ค่ารถจากจอมทอง - แม่แจ่มคนละ 70 บาท
แต่วันนี้เราจะยังไม่ไปที่ตัวอำเภอแม่แจ่มกัน
เรานัดรถของโฮมสเตย์บ้านมาฉิโพให้มารับ
จุดนัดพบของเราคือทางแยกน้ำตกแม่ปาน
11.30 น. เราเริ่มออกเดินทางจากอำเภอจอมทอง
ไปตามเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์จนถึงด่านที่ 2
ซ้ายมือจะมีทางแยกไปอำเภอแม่แจ่ม
อากาศเริ่มเย็นขึ้น .. และมีฝนตกปรอย ๆ
มีหมอกฝนลอยระเรี่ยยอดไม้อยู่เป็นระยะ
ทางแยกจากด่าน 2 ไปอำเภอแม่แจ่มเริ่มคดเคี้ยวมากขึ้น
เราเจอโค้งหักศอกเป็นระยะแต่ก็ผ่านมาเรื่อย ๆ ด้วยความชำนาญของคนขับ
จนมาถึงทางแยกน้ำตกแม่ปานคนขับส่งเราลงที่ตรงนี้
มีรถกระบะโฟร์วีลมาจอดรอรับเราอยู่ตรงทางแยกแล้ว
และนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกับ " ม า เ ซ "
ระยะทางจากทางแยกมาจนถึงบ้านป่าบงเปียง
ประมาณ 8 กิโลเมตรแต่เป็น 8 กิโลที่เนิ่นนานมาก
เพราะหนทางข้างหน้าเล็ก แคบ ชัน เป็นร่องน้ำ และเลน
จากทางแยกเราจะผ่านน้ำตกห้วยทรายเหลือง
ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่รถยนต์ธรรมดาจะเข้าถึงได้
หลังจากนั้นทางจะเริ่มฟหโหดขึ้นเรื่อย ๆ โชคดีที่ฝนตกไม่มาก
เราใช้เวลาขโยกเขยกผ่านทางเหล่านั้นมาได้ด้วยฝีมือการขับรถของมาเซ
มาเซเป็นน้องชายของพี่วิชัยเจ้าของบ้านมาฉิโพที่เรากำลังจะไปพัก
ระยะทางแค่ 8 กิโลเมตรแต่ใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง
จนโค้งสุดท้ายเมื่อพ้นแนวไม้เราก็ได้เห็นนาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียงอยู่ตรงหน้า
บ้านไม้ไผ่หลังเล็ก ๆ อยู่เชิงเขา .. ด้านล่างเป็นนาขั้นบันไดและท้องฟ้ากว้าง
หลังจากเอาของขึ้นไปเก็บบนบ้านสิ่งแรกที่ทำคือออกไปยืนสูดอากาศอยู่ที่ระเบียง
อากาศกำลังเย็นสบายอาจเพราะช่วงนี้มีฝนพรำทุกวันโชคดีที่เราไม่เจอฝนหนัก ๆ เลย
ระเบียงบ้านมาฉิโพกลายเป็นที่สิงสถิตย์ของเราสองคนตลอดบ่ายวันนั้น
นั่ง ๆ นอน ๆ มองวิวตรงหน้ากันไม่เบื่อ .. เพราะว่าวิวตรงหน้าเปลี่ยนไปทุกนาที
เมื่อแสงเปลี่ยนทิศ .. เมฆลอยผ่าน .. แม้จะเป็นทุ่งนาทุ่งเดิม แต่ภาพที่มองเห็นกลับไม่เหมือนเดิม
เราถอดรองเท้าแล้วค่อย ๆ ลงเดินไต่ลงไปตามคันนา
ข้าวเพิ่งถูกปักดำลงไปแค่ไม่กี่อาทิตย์ ถึงแม้มันจะยังไม่โตเต็มท้องทุ่ง
แต่เท่านี้ทุก ๆ ที่ที่เราก้าวเดินไปข้างหน้า .. มันล้วนแต่สวยงามและน่าจดจำ
กลับขึ้นมาบนบ้านตอนเย็นย่ำก่อนแสงอาทิตย์จะหมด
เราผลัดกันไปอาบน้ำ .. น้ำใสและเย็นมากเพราะต่อม่อมาจากน้ำตก
หน้าบ้านเรามีลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลมาจากน้ำตกแม่ปาน
อากาศเริ่มเย็นลงมีฝนตกบ้างโปรยปรายไม่หนักหนาเป็นระยะ
เป็นช่วงที่พายุรามสูรเข้าแต่เรากลับไม่เจอพายุเลย .. โชคดีมาก
ห้องน้ำบ้านมาฉิโพถูกสร้างขึ้นมาเพื่อคนเมืองอย่างเรา ๆ
มีทั้งโถนั่ง สายฉีดชำระ ผักบัว ถังน้ำ และห้องน้ำสะอาดมาก ๆ
รีบอาบน้ำกันให้เสร็จก่อนค่ำเพราะว่าที่นี่ไม่มีไฟฟ้า พี่วิชัยเตรียมเทียนไขไว้ให้
แต่เราเตรียมไฟฉายอันใหญ่มาโดยเฉพาะ ก็ช่วยให้กระท่อมเล็ก ๆ ไม่มืดมิดจนเกินไป
พี่วิชัยเอาถาดอาหารเย็นมาส่งให้ตอนประมาณทุ่มนึง
กับข้าวชาวบ้านง่าย ๆ มีน้ำพริกผักต้มไข่เจียวไส้อั่วแกงจืด
แต่อร่อยทุกอย่าง .. เราเชื่อว่าคนทำเองก็ตั้งใจทำให้เราสุดฝีมือ
หลังจากอิ่มอาหารมื้อค่ำกันแล้วพี่วิชัยก็มานั่งคุยกันสักพักเรื่องสัพเพเหระ
เรื่องเกี่ยวกับเผ่าปกากะญอ และเราก็ได้ฟังเพลงชาวปกากะญอที่พี่วิชัยเป็นคนแต่ง
เครื่องดนตรีประจำตัวของพี่วิชัยเรียกว่าเตหน่าลักษณะคล้าย ๆ ซอผสมพิณ
พี่วิชัยเล่นทั้งเพลงของตัวเองและเพลงอื่น ๆ ที่พอจะได้ยินและร้องได้ทั้งเดือนเพ็ญและกำลังใจ
คืนนั้นพี่วิชัยส่งเราสองคนเข้านอนด้วย " หลับฝันดีนะครับ "
บ้านไม้ไผ่หลังเล็ก ๆ ของเราในคืนนั้น
ตอนแรกกะจะนอนกันตรงชานบ้าน
เพราะอากาศเย็นดี แต่พอดึกเริ่มหนาวมากขึ้น
ย้ายตัวกันเข้าไปมุดมุ้งในห่องกันแทบไม่ทัน
อากาศเหมือนต้นหนาวเริ่มหนาวเบาบาง
แต่อุณหภูมิก็ไม่น่าจะเกิน 20 องศา
ตื่นเช้ามากระเด้งตัวเองขึ้นจากพื้นที่นอน
มองลอดมุ้งออกมามันก็ยังไม่ชัดเท่ามุดมุ้งออกมามอง
หน้าต่างไม้ค้ำยันสองบานเล็ก ๆ ที่ปลายเท้า
อวดโฉมนาขั้นบันไดยามเช้าพร้อมหมอกลอยระเรี่ย
ธรรมชาติบรรจงสร้างสรรค์ความสวยงามเสมอ
06.30 น. พี่ฉิโพหิ้วกระติกเก็บน้ำร้อน
มาให้พร้อมกับโอวัลตินซองสองซอง
อากาศเย็น ๆ ได้แก้วโอวัลตินอุ่น ๆ มาอยู่ในมือ
มันทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นมาอีกนิดนึง
เช้าวันนี้ไม่มีแดดมีแต่หมอกฝนกับเมฆเบาบาง
ลอยผ่านหัวเราไปมาที่ระเบียงหน้าบ้าน
เจ็ดโมงกว่าอาหารเช้าก็มาเสิร์ฟถึงชานบ้าน
ไม่มี ABF ไม่มีข้าวต้มกุ้งโจ๊กหมูสับ ปาท่องโก๋
กับข้าวเช้านี้มี "น้ำพริกปลากระป๋อง" อันขึ้นชื่อ
ใครไปใครมาเยือนที่นี่ขอให้รีเควสท์อร่อยเด็ดจริง ๆ
มีแคบหมูและหน่อไม้ต้มเป็นเครื่องจิ้ม
แกงน้ำเต้าใส่เนื้อปลาป่น ผัดแตงกวาใส่ไข่ ข้าวอีกโถ
กับข้าวชาวเขาง่าย ๆ บ้าน ๆ แต่อร่อยมาก
มื้อนี้คงเป็นมื้อสุดท้ายของบ้านป่าบงเปียงแล้ว
สิบเอ็ดโมงนัดรถมารับเพื่อลงไปส่งที่ตัวอำเภอแม่แจ่ม
แล้วคืนนี้เราจะไปค้างที่แม่แจ่มกันอีกคืน
11.00 น. มาเซกับมาลาโกมารับที่บ้านพัก
ขับโฟร์วีลลงมาส่งที่ตัวอำเภอแม่แจ่ม
ระหว่างทางพาแวะไปดูนาข้าวและข้าวไร่หลายจุด
แวะเข้าไปที่โบสถ์ของหมู่บ้านตีนผา
ชาวเขาแถบนี้นับถือศาสนาคริสต์เกือบทั้งนั้น
จากโบสถ์ผ่านโรงเรียนอินทนนท์วิทยา
มีนักเรียนชั้นอนุบาลถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3
จากบ้านตีนผาออกมาเกือบถึงตัวอำเภอแม่แจ่ม
มาเซแวะให้เราดูน้ำออกฮู .. หนองน้ำศักดิ์สิทธิ์
ที่มีน้ำผุดออกมาจากรูตามความเชื่อของชาวบ้านที่นี่
ลงมาถึงตัวอำเภอเที่ยงครึ่งเราตกลงใจพักที่โรงแรมแม่แจ่ม
เราบอกลามาเซและมาลาโกสัญญาว่าเราจะกลับมาอีก
มาเซและมาลาโกส่งเราสองคนที่โรงแรมแม่แจ่ม
โรงแรมแม่แจ่มเป็นบังกะโลสามเหลี่ยมหน้าจั่วหลังเล็ก ๆ
มีห้องน้ำในตัว แอร์ ทีวี ตู้เย็น คืนละ 600 บาท
เอาของเก็บที่ห้องพักชาร์จแบตแป๊ปนึง
ก็เดินออกไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่หน้าปากซอย
ค่าเช่าวันละ (24 ชั่วโมง) 200 บาท (ไม่ต้องมัดจำ)
เมื่อได้รถก็ออกเดินทางกันต่อหาอะไรใส่ท้องกันก่อน
มาเซแนะนำร้านก๋วยเตี๋ยวจันทร์สมอยู่เยื้องวัดบุปผาราม
มีทั้งหมูและเนื้อพิเศษชามละ 40 บาท (เยอะมาก)
ท้องอิ่มก็ออกเดินทางกันต่อไปวัดพุทธเอ้น (บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์)
ตั้งท่าจะไปบ้านกองกานแต่มองไปข้างหน้าฝนมามืด
ตัดสินใจย้อนกลับมาบ้านท้องฝายไปดูศูนย์ทอผ้าตีนจก
หลังจากนั้นย้อนกลับเข้าตัวอำเภอแวะร้านแจ่งเหมือง
ได้ชามะนาวมาเติมความสดชื่นหลังจากเจอทั้งฝนและแดด
หลังจากไปตระเวณทั่วแม่แจ่มฝ่าทั้งฝนและแดด
ก็กลับมา .. นอนเอกเขนก .. ที่ห้องพัก
หกโมงกว่าแดดร่มลมตกออกไปหาของกิน
อากาศเย็นลงกว่ากลางวันแต่ก็ไม่เย็นมาก
เท่ากับบ้านป่าบงเปียงที่เราจากมา (คิดถึง)
ขี่รถเลาะเลียบริมน้ำแม่แจ่มไปเจอร้าน
" ค รั ว ริ ม เ เ จ่ ม " (อยู่ตรงข้ามโรงแรมแพมวิว)
ร้านอาหารเล็ก ๆ แต่วิวดีชะมัดเลยแหะ
ถามน้องในร้านว่ามีอะไรแนะนำที่ขึ้นชื่อของที่นี่
น้องแนะนำปลาจุ่มเลยจัดมาหนึ่งหม้อ (เยอะเอาเรื่อง)
สั่งผัดหน่อไม้ฝรั่งน้ำมันหอย กับ ผัดกะเพราหมูไปด้วย
สองคนสามอย่างตอนยกมาน้องบอกว่าจะหมดมั้ยคะ
พยายามละเลียดปลาจุ่มกับผัดผักจนหมด
แต่กะเพรานี่ยัดลงท้องลงไปไม่หมดจริง ๆ แหะ
เรียกเก็บตังค์ทั้งหมด 280 บาทพุงแทบแตก
วันสุดท้าย .. ในเมืองแม่แจ่ม
กว่าเมื่อเช้าจะลุกจากที่นอนก็แปดโมงกว่าแล้ว
เมื่อคืนฝนตกทั้งคืนและตุ๊กแกร้องอยู่บนหัวนอนทั้งคืน
กว่าจะข่มตาหลับก็ปาเข้าไปตีสามเพราะกลัวมันกระโดดมาใส่
อาบน้ำ เก็บของ แล้วออกไปเก็บภาพรอบ ๆ เมือง
แวะไปคิวรถแม่แจ่มบอกให้เค้ามารับที่พักตอนเที่ยง
ขี่ฝ่าฝนปรอย ๆ ออกไปทางฮอดเลี้ยวเข้าไปวัดยางหลวง
เป็นวัดเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ สถาปัตยกรรมสวยงาม
และมีภาพเงาสะท้อนของอุโบสถกลับหัวตอนที่แสงตกกระทบ
แต่วันนี้ .. ไม่มีแดดก็ไม่เห็นอยู่ดี
ออกมาจากวัดยางหลวงขี่เลยเข้าไปที่วัดบ้านทัพ
วันนี้วันพระที่วัดนี้มีคนเฒ่าคนแก่ใส่ชุดขาวมาถือศีลทำบุญกันเต็มเลย
ได้คุยกับคุณตาคุณยายสักพักก็ขอตัวออกมา
เราเลือกที่จะไม่กลับทางเดินแต่เห็นถนนที่เชื่อมกับบ้านท้องฝาย
ที่เราขี่มาดูศูนย์ทำผ้าตีนจกเมื่อวานนี้
..