สวัสดีครับชาวพันทิปที่ได้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ของผม ผมเองก็เป็นสมาชิกของพันทิปมาได้ช่วงหนึ่งแล้วครับ
แต่ในขณะนี้ผมเองมีเรื่องทุกข์ใจอย่างมาก มองไม่เห็นหนทางเลย ว่าผมจะต้องทำอย่างไรต่อไป
ขอเกริ่นก่อนนะครับ ผมเองตอนนี้เรียนวิศวคอมอยู่มหาลัยภาคเหนือปีสอง จะขึ้นปีสามแล้วครับ ตอนอยู่มัธยมผมก็เรียนโรงเรียนในหมู่บ้านครับ ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมาย ตัวผมนั้นเรียกได้ว่าเรียนดีได้เลย ไม่ได้ชมตัวเองนะครับ เรียนดีมาตั้งแต่ประถมจนจบมัธยมต้นเลยครับ สอบได้ที่ 1 มาตลอด แต่ตัวผมมาเสียตอนขึ้นมอปลายครับ
ตอนนั้นมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างมอต้น กับมอปลาย ความจริงตัวผมเองก็คิดอยู่เสมอ ๆ ว่าตัวเองนั้นความจำไม่ค่อยดี พอเรียนอะไรแล้วจะเข้าใจได้เร็วมาก ๆ ครับ แต่หากปล่อยผ่านไปสักช่วงหนึ่งก็จะลืมไปเกือบหมดเลยล่ะครับ ตอนนั้นผมตั้งใจว่าจะเข้าเรียนสายอาชีพเอา เรียนช่างคอม หรือช่างอิเล็กทรอนิกส์ ก็ได้ เพราะตัวเองชอบคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว และมักจะทำอะไรได้ดีเสมอเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
แต่ว่าด้วยปัญหาครอบครัว ตอนนั้นพ่อแม่ของผมไม่ค่อยจะมีเงินเท่าไหร่ ต้องทำงานสองคน แล้วที่บ้านก็มีผมกับตายายด้วยที่ต้องดูแล ผมเลยเลือกที่จะไม่เรียนต่อสายอาชีพครับ แล้วเข้าเรียนมอปลายสายวิทย์ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ที่จริงผมเองก็เคยขอแม่ว่าอยากไปเข้าโรงเรียนดังของจังหวัดเหมือนกัน เพราะมีแต่คนเก่ง ๆ และน่าจะพัฒนาตัวเองขึ้นไปได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็อย่างว่าด้วยปัญหาของเงิน ผมจึงจำเป็นต้องเรียนโรงเรียนในหมู่บ้านนั่นแหละครับ แต่ว่าตอนนี้ผมก็ไม่เคยเสียใจที่จบจากโรงเรียนนี้มีอาจารย์และคนดี ๆ ที่ผมรักพวกท่านมาก
แต่ว่าด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบหรือเพราะว่าแต่เดิมเคยอยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว แต่ท่านต้องไปทำงานไกล ๆ ไม่ได้เจอกัน พร้อมกับที่เพื่อนมาชวนไปเล่นเกมส์ออนไลน์ ด้วยการที่ตอนนั้นมันฮิตมากเลยครับ ผมก็ถลำตัวเข้าไป กลายเป็นเด็กติดเกมไปซะแล้ว ทุกวันหลังเลิกเรียน บวกเสาร์อาทิตย์ นี่ไปเล่นร้านเกมตลอดเลย แน่นอนครับมันทำให้ผมเรียนได้แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เกรดก็อยู่ที่ 3 นิด ๆ เท่านั้นครับ ผมทำตัวอย่างนี้ไปจนผมเกือบจบมอห้าเลยครับ มาคิด ๆ ดูตอนนี้ผมเสียใจมากเลย ที่ไม่รู้จักยั้งคิด ทำแบบนั้น ใช้เวลาแบบนั้น ไประหว่างสองปีนั้น ผมรู้ว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
หลังจากที่ผมตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เลิกเล่นเกม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเกมพวกนี้อีกเลย ก็ตอนจบมอห้านั่นแหละครับ เพราะเริ่มคิดได้ว่าเมื่อขึ้นมอหก เราก็ต้องสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นั่นมันอนาคตของเรานะ ความคิดนี้ช่วยผลักดันให้ผมเลิกติดเกมได้ครับ
ช่วงเวลาปิดเทอมผมก็จะทำงานรับจ้าง หาเงินบ้างครับ เพื่อช่วยยาย ทำตั้งแต่ช่วงมอปลายนั่นแหละครับ พวกรับจ้างเก็บข้าวโพด เกี่ยวถั่ว ฯลฯ แต่ก็เลิกตอนอยู่มอห้าช่วงปิดเทอมครับ เพราะผมรุ้ตัวแล้วว่าตัวเองมีความรู้อันแสนจะน้อยนิด หรือเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ทำให้ผมต้องเริ่มอ่านหนังสืออย่างหนัก เริ่มจากฟิสิกส์ คณิต และหลาย ๆ วิชาครับ วัน ๆ ก็ก้มหน้าก้มตา อ่านไม่ยอมแพ้ ไปจนถึงช่วงเข้าเรียนมอหก ผมกลายเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก พอมีงานมีการบ้าน ผมจะรีบเคลียร์ให้เสร็จก่อนกลับบ้าน เพื่อว่าจะได้มีเวลาอ่านหนังสือเยอะมากขึ้น ผมเคยคิดว่า อย่างน้อยขอให้ได้อ่านหนังสือมากกว่าคนอื่นสักนาทีก็ยังดี ผมคิดแบบนี้จริง ๆ นะครับช่วงนั้น จนถึงประกาศผลสอบ ปรากฏว่าความพยายามของผมประสบผลสำเร็จครับ
ผมติดวิศวคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือครับ ตอนนั้นผมคิดว่านี่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของผม เป็นอีกก้าวหนึ่ง เป็นความสำเร็จแรกเลยมั้งครับที่ผมภูมิใจ
แต่ว่าเรื่องนี้ก็เป็นจุดสำคัญของปํญหาของผมในวันนี้เช่นกันครับ ต้องขอย้อนกลับไปช่วงที่ผมติดเกมนั่นแหละครับ ตอนนั้นผมปล่อยบอทเล่นเกม และผมมีความคิดอยากจะสร้างบอทได้บ้าง ก็เริ่มควานหาหนังสือมาอ่าน ฝึกเขียนโปรแกรมไปเรื่อย ๆ ครับ แต่ก็ทำไม่ได้นะ ตอนนี้ก็ด้วย นี่คือจุดเริ่มต้นที่ผมบอกตัวเองว่าผมชอบเขียนโปรแกรม
พอผมเข้ามหาวิทยาลัยแน่นอนครับว่าต้องเจอวิชาโหด ๆ หิน ๆ เยอะแยะไปหมด ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ผมต้องอ่านหนังสืออย่างหนัก ทั้งฟิสิกส์ เคมี แคลคูลัส แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี (เกรด A) ตลอดเลยครับ ผมก็พยายามบอกตัวเองเสมอไม่ให้ท้อ สู้ๆ พยายามเราทำได้ แม้ว่าบางครั้งจะมีปัญหาเพื่อนเก่าเข้ามาหาบ่อย ๆ คือลืมไปง่าย ๆ นั่นก็เถอะครับ
ผมบอกตัวเองว่าสักวันต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งกาจให้ได้ ทำให้ผมพยายามอย่างหนักเสมอมา ต้องหาเวลา แบ่งเวลา อ่านหนังสือ เขียนโปรแกรมไปด้วย ผมทำแบบนี้เสมอมาครับ น่าจะด้วยเหตุนี้ด้วยที่ผมพยายามทุ่มเทให้กับความฝันอย่างหนัก ทำให้ผมออกจะเป็นคนเงียบ ๆ สังคมของผมก็น้อย เพื่อนในคณะที่สนิทก็มีเพียงไม่กี่คนครับ ผมรู้ว่าผมเป็นคนพูดไม่เก่ง และก็ไม่ดื่มเหล้าด้วย ทำให้บางครั้ง ความสัมพันธ์ก็ดูเหินห่าง เพื่อนโรงเรียนเดียวกับผมที่เข้ามหาลัยมาด้วยกันได้ ผมคิดว่าเขากับผมน่าจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากละ ตั้งแต่สมัยมอปลาย แต่ด้วยความที่ผมไม่เคยเข้าร่วมวงกินเหล้าด้วยกันเลย ตลอดเวลาที่อยู่หอใน ในที่สุดความสัมพันธ์ของเราก็ค่อย ๆ จางลงครับ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ล้มเหลวในชีวิตของผม
จนขึ้นปีสองผมเองก็ยังคงตั้งใจไล่ตามความฝันของตัวเองต่อไป อ่านหนังสืออย่างหนัก ตื่นเช้ามาก็อ่าน คาบว่างก็อ่าน ตอนเย็นไปจนถึงก่อนนอนก็อ่าน เริ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ แล้วนะครับ แม้จะไม่ดีเท่าไหร่ แต่อ่านไปเรื่อย ๆ ก็เข้าใจไปได้เอง ผมคิดว่าผมได้อุทิศเวลาและแรงกาย แรงใจ ให้กับความฝันของผมไปแล้ว แต่ผมเองก็ไม่ได้ทิ้งการเรียน เกรดที่ได้ก็ประทับใจได้อยู่ครับ เกินสามจุดห้า อยู่แม้ว่าช่วงสอบผมเองจะเป็นไข้เลือดออก ก็ดันทุรังมาสอบจนผ่านไปได้ จนเทอมสุดท้ายก็ได้เกรดมา 3.92 ผมเองก็ดีใจมาก แต่ครั้งนี้มากกว่า ตรงที่ผมได้สอนเพื่อนของผมเกี่ยวกับวิชาที่พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจ ผมเเองก็ยินดีเสมอครับ หากใครจะอธิบายให้ ครั้งนี้เพราะเพื่อนบอกให้ช่วยสอนให้เขา ผมก็ยินดีครับ แต่ผมเองก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยกล้าเสนอตัวก่อนเท่าไหร่ครับ
จนมาถึงช่วงปิดเทอมนี่แหละครับ ความพลิกผันและปัญหาชีวิต ผมก็เกิดขึ้นแล้ว ช่วงปิดเทอมผมเอง ก็ลงเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อหวังว่าจะพัฒนาตัวเอง ให้มากกว่านี้ อยากให้สามารถสื่อสารกับฝรั่งรู้เรื่อง จะได้เป็นผลดีตอนสมัครงาน ก็เลยเรียนที่สถาบันภาษาครับ ผมเรียนอยู่สามเดือนกว่า ๆ ความรู้สึกตอนนั้นก็โอเคครับ เริ่มพูดกับเพื่อนต่างชาติได้บ้างแล้ว ฟังครูที่เป็นคนฟิลิปปินส์ สอนก็รุ้เรื่อง แม้แต่ตอนนอกห้องผมก็ฝึกครับทั้งดูหนังซับ อ่านหนังสือ อ่านข่าวภาษาอังกฤษ ฟังเพลง ทำหมดครับ แต่ก็ไม่คล่องเท่าไหร่ พร้อมทั้งหาเวลาว่างฝึกเขียนโปรแกรมไปด้วยเสมอ ๆ
แต่ว่าหลังจากจบคอร์สเรียน ผมก็ต้องกลับมาช่วยที่บ้านทำไร่ ทำสวน ตามปกติ ช่วงนี้แหละครับผมเริ่มเกิดความคิดแล้วว่า เราเดินทางมาผิดหรือเปล่า เพราะว่าอย่างแรกเลย ผมไม่เคยเขียนโปรแกรมที่ใช้งานจริงสำเร็จเลยสักโปรแกรมเดียว ทั้งที่ผมพยายามแล้วพยายามอีก ที่ทำได้ก็เป็นพวกโปรแกรมแก้ปัญหาผ่านหน้าจอ console สีดำ ๆ เช่น ที่ใช้แข่ง acm พวกนั้นได้อยุ่ครับ ลองเขียนโปรแกรมมือถือก็ไม่สำเร็จ ได้หน้าลืมหลัง แต่ที่ฝึกเรื่อย ๆ มาก็เป็นภาษา php เพราะผมชอบเข้าไปดู www.javathailand.com พี่กบถือเป็นแรงบันดาลใจของผมเลยก็ว่าได้ครับ ผมทุ่มเทให้กับมันอยู่ 2 ปีกว่า ๆ จนตอนนี้ผมเองยังไม่เห็นความก้าวหน้าของตัวเองเลย ไม่เคยจะทำโปรแกรมที่ใช้งาน ขอเรียกว่าโปรแกรมเชิงพาณิชย์ออกมาได้สำเร็จเลยครับ และผมก็เริ่มรู้ตัวว่าผมเป็นคนที่ไม่มีหัวศิลป์ เอาซะเลย ผมไม่ค่อยชอบงานออกแบบ ยิ่งออกแบบหน้าเว็บเพจยิ่งไม่ชอบ เข้าไปใหญ่ ยิ่งทำ css ยิ่งไม่ใช่เลย รวมทั้งผมค่อนข้างเป็นคนที่ลืมง่ายอยู่แล้ว ทำให้จำพวกฟังก์ชัน หรือเมธอด อะไรไม่ค่อยได้เลย ทำให้ผมต้องมาคิดแล้วว่า ผมเองไม่ได้ชอบเขียนโปรแกรมอีกแล้ว!!!
ผมจึงเลือกที่จะเดินออกมาจากเส้นทางของโปรแกรมเมอร์ เพราะตัวผมคงไม่เหมาะกับมัน ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามทุ่มเทมาตลอด ยิ่งจะให้เข้าไปเขียนเกม ผมก็ค่อนข้างจะแอนตี้แล้ว บวกกับการที่ผมไม่มีความสามารถทางศิลปะเอาซะเลย นี่จึงเป็นจุดสั่นคลอนในชีวิตของผมตอนนี้ครับ
นอกจากนี้ภาษาอังกฤษที่ผมฝึกฝนมาตลอด พอกลับมาอยู่บ้านเหมือนมันจะลืมเลือนหายไปจากหัวผมจะหมดแล้ว เท่ากับเวลาที่ผมเสียไปช่วงปิดเทอม 6 เดือนนี้คืออะไรกันแน่
เท่านั้นยังไม่พอผมเองมีความฝันอยู่ว่าสักวันหนึ่งจะมีธุรกิจ เป็นของตัวเองให้ได้ ทำให้ผมสนใจ อยากทำอะไร หลาย ๆ อย่างมากมาย ผมขอท้าวความกลับไปช่วงที่ปิดเทอมใหม่ ๆ ตอนนั้นผมกับน้องและอาอยากทำอะไรหารายได้อยู่ น้องกับอาเลยชวนกันว่าทำขนมหวานขายกันไหม ตอนนั้นผมก็คิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ เผื่อทำเป็นธุรกิจในอนาคตได้ เพราะผมเองก็ชอบเรื่องทำขนม ทำเบเกอรี่ พวกนี้มากครับ แต่ตอนนั้นผมคิด ๆ ดุแล้ว เราไม่น่าจะได้กำไรสักเท่าไหร่ เพราะมีเวลาอยู่ 7 วัน ก่อนผมกับน้องจะต้องไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ แต่เราก็ลองดูก่อนครับ ตอนแรก ๆ นั้นสนุกมาก แต่พอทำไปได้สามวันสี่วัน ผลพวงจากการที่ผมนั่งนาน ๆ จากตอนที่ผมอ่านหนังสือ และฝึกเขียนโปรแกรมมาอย่างหนัก ตั้งแต่ช่วงมอหก มหาลัยปีหนึ่ง ปีสอง มันได้ตามมาทำร้ายผมแล้วครับ เวลาผมนั่งนวดแป้งทำขนมหวาน นี่คือเวลาตกนรกของผม เพราะมันปวดหลังอย่างมากครับ แต่ผมก็อดทนทำจนครบเจ็ดวันก่อนจะไปเรียน
ขอเล่าเกี่ยวกับปัญหาการปวดหลังนี้นะครับ ผมเป็นมาได้ช่วงเทอมสอง ของปีสอง แล้วครับ เวลานั่งเรียนอยู่ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พอกลับมาพักที่ห้องต้องนอนเลยครับ เพื่อให้หายปวดหลัง สาเหตุก็เพราะผมนั่งอ่านหนังสือ นั่งน่าคอมนาน ๆ เกินไปนี่เอง ที่มันส่งผลเสียมาทำร้ายผมซะแล้ว
ขอกลับมาเรื่องขายขนมหวานนะครับ เราทำกันทั้งหมดเจ็ดวัน สุดท้ายได้กำไรอยู่คนละร้อยกว่าบาท และทำไม่ได้อีกเพราะผมปวดหลัง นวดแป้งให้ไม่ได้แล้ว จากนั้นหลังจากสามเดือนที่เรียนพิเศษเสร็จผมกับน้องก็กลับมาบ้าน ตอนนี้เราลองทำซาลาเปาเพื่อขายดูครับ แต่ก็ไม่รุ่งอีกแล้ว ปัญหาเยอะครับ คนทางบ้านเริ่มไม่เห็นด้วยแล้ว บวกกับอาการปวดหลังของผมจะกำเริบ ถ้าต้องนั่งทำขนมนาน ๆ ครับ สุดท้ายแล้วผมก็ยังคงล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกอยู่ดี เพราะเครื่องมือที่ซื้อมา ก็ยังไม่คืนทุน ทำอะไรไม่ได้เลยครับ ได้แต่ทำกินเองนาน ๆ ครั้ง
หลังจากที่ผมตัดสินใจออกจากเส้นทางของโปรแกรมเมอร์แล้ว มันก็เคว้งคว้างจริง ๆ ครับ จิตใจก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ผมกลายเป็นวิศวกรหลงทาง ไปอย่างสิ้นเชิง ผมเลยเริ่มลองศึกษาทางด้านเน็ตเวิร์กดู ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองชอบหรือเปล่า
ผมอยากจะค้นหาว่าผมควรจะไปในเส้นทางไหนกันแน่ ตอนหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็ไปเจอเกี่ยวกับการฝึกอาชีพ ผมเองก็สนใจด้านการซ่อมรถอยู่บ้าง ผมเลยอยากไปเรียนดู แต่ดูแล้วช่วงนี้ผมไม่สามารถไปเรียนได้เลย เขาเรียนกันช่วงก่อนหน้านั้นแล้ว หรือช่วงหลังจากนี้ที่มหาลัยเปิดพอดี ทำให้ผมหมดสิทธิ์ไม่สามารถไปเรียนได้ หลังจากนั้นมาผมเองก็หาข้อมูล เจอเรียนเกี่ยวกับการซ่อมมือถือ ดูแล้วถ้าไปเรียนก็จะเสร็จก่อนมหาลัยเปิดพอดี แต่ว่าแม่ผม กับทางบ้านก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี ถ้าไปกรุงเทพก็เตรียมเงินสักหมื่นไว้ได้เลย ซึ่งมันคงจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายของผมจริง ๆ แล้ว จนมาถึงวันนี้เราก็คุยกันถึงขั้นรุนแรงว่าไม่ยอมให้ผมไปเด็ดขาด
ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าผมควรจะทำอย่างไรดี เพราะตอนแรกความฝันของผมคืออยากเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ว่าเมื่อมันไม่ใช่ เมื่อผมไม่ได้ชอบด้านนี้อีกแล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมควรจะไปทางไหนดี ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามอย่างหนักมาตลอด สิ่งที่ผมทำมา เวลาที่ผมสูญเสียไป กับทั้งอาการปวดหลังจากการพยายามนี่อีก รวมทั้งปัญหาครอบครัว เงินทองที่แทบจะไม่พอใช้ ผมเองก็แอบคิดเหมือนกันว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมน่าจะไปทำงานตั้งแต่ตอนจบมอหกแล้วเรียนไปด้วย หรือเรียนสายอาชีพตั้งแต่แรกเลยน่าจะดีกว่านี้ เพราะผมไม่อยากเห็นพ่อแม่เหนื่อย และปัญหาทางบ้านสารพัดจากเรื่องเงินทอง
ผมควรทำอย่างไรต่อไปดี
แต่ในขณะนี้ผมเองมีเรื่องทุกข์ใจอย่างมาก มองไม่เห็นหนทางเลย ว่าผมจะต้องทำอย่างไรต่อไป
ขอเกริ่นก่อนนะครับ ผมเองตอนนี้เรียนวิศวคอมอยู่มหาลัยภาคเหนือปีสอง จะขึ้นปีสามแล้วครับ ตอนอยู่มัธยมผมก็เรียนโรงเรียนในหมู่บ้านครับ ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมาย ตัวผมนั้นเรียกได้ว่าเรียนดีได้เลย ไม่ได้ชมตัวเองนะครับ เรียนดีมาตั้งแต่ประถมจนจบมัธยมต้นเลยครับ สอบได้ที่ 1 มาตลอด แต่ตัวผมมาเสียตอนขึ้นมอปลายครับ
ตอนนั้นมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างมอต้น กับมอปลาย ความจริงตัวผมเองก็คิดอยู่เสมอ ๆ ว่าตัวเองนั้นความจำไม่ค่อยดี พอเรียนอะไรแล้วจะเข้าใจได้เร็วมาก ๆ ครับ แต่หากปล่อยผ่านไปสักช่วงหนึ่งก็จะลืมไปเกือบหมดเลยล่ะครับ ตอนนั้นผมตั้งใจว่าจะเข้าเรียนสายอาชีพเอา เรียนช่างคอม หรือช่างอิเล็กทรอนิกส์ ก็ได้ เพราะตัวเองชอบคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว และมักจะทำอะไรได้ดีเสมอเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
แต่ว่าด้วยปัญหาครอบครัว ตอนนั้นพ่อแม่ของผมไม่ค่อยจะมีเงินเท่าไหร่ ต้องทำงานสองคน แล้วที่บ้านก็มีผมกับตายายด้วยที่ต้องดูแล ผมเลยเลือกที่จะไม่เรียนต่อสายอาชีพครับ แล้วเข้าเรียนมอปลายสายวิทย์ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน ที่จริงผมเองก็เคยขอแม่ว่าอยากไปเข้าโรงเรียนดังของจังหวัดเหมือนกัน เพราะมีแต่คนเก่ง ๆ และน่าจะพัฒนาตัวเองขึ้นไปได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็อย่างว่าด้วยปัญหาของเงิน ผมจึงจำเป็นต้องเรียนโรงเรียนในหมู่บ้านนั่นแหละครับ แต่ว่าตอนนี้ผมก็ไม่เคยเสียใจที่จบจากโรงเรียนนี้มีอาจารย์และคนดี ๆ ที่ผมรักพวกท่านมาก
แต่ว่าด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบหรือเพราะว่าแต่เดิมเคยอยู่กับพ่อแม่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว แต่ท่านต้องไปทำงานไกล ๆ ไม่ได้เจอกัน พร้อมกับที่เพื่อนมาชวนไปเล่นเกมส์ออนไลน์ ด้วยการที่ตอนนั้นมันฮิตมากเลยครับ ผมก็ถลำตัวเข้าไป กลายเป็นเด็กติดเกมไปซะแล้ว ทุกวันหลังเลิกเรียน บวกเสาร์อาทิตย์ นี่ไปเล่นร้านเกมตลอดเลย แน่นอนครับมันทำให้ผมเรียนได้แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เกรดก็อยู่ที่ 3 นิด ๆ เท่านั้นครับ ผมทำตัวอย่างนี้ไปจนผมเกือบจบมอห้าเลยครับ มาคิด ๆ ดูตอนนี้ผมเสียใจมากเลย ที่ไม่รู้จักยั้งคิด ทำแบบนั้น ใช้เวลาแบบนั้น ไประหว่างสองปีนั้น ผมรู้ว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
หลังจากที่ผมตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เลิกเล่นเกม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเกมพวกนี้อีกเลย ก็ตอนจบมอห้านั่นแหละครับ เพราะเริ่มคิดได้ว่าเมื่อขึ้นมอหก เราก็ต้องสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ นั่นมันอนาคตของเรานะ ความคิดนี้ช่วยผลักดันให้ผมเลิกติดเกมได้ครับ
ช่วงเวลาปิดเทอมผมก็จะทำงานรับจ้าง หาเงินบ้างครับ เพื่อช่วยยาย ทำตั้งแต่ช่วงมอปลายนั่นแหละครับ พวกรับจ้างเก็บข้าวโพด เกี่ยวถั่ว ฯลฯ แต่ก็เลิกตอนอยู่มอห้าช่วงปิดเทอมครับ เพราะผมรุ้ตัวแล้วว่าตัวเองมีความรู้อันแสนจะน้อยนิด หรือเรียกว่าแทบจะไม่มีเลย ทำให้ผมต้องเริ่มอ่านหนังสืออย่างหนัก เริ่มจากฟิสิกส์ คณิต และหลาย ๆ วิชาครับ วัน ๆ ก็ก้มหน้าก้มตา อ่านไม่ยอมแพ้ ไปจนถึงช่วงเข้าเรียนมอหก ผมกลายเป็นคนที่ตั้งใจเรียนมาก พอมีงานมีการบ้าน ผมจะรีบเคลียร์ให้เสร็จก่อนกลับบ้าน เพื่อว่าจะได้มีเวลาอ่านหนังสือเยอะมากขึ้น ผมเคยคิดว่า อย่างน้อยขอให้ได้อ่านหนังสือมากกว่าคนอื่นสักนาทีก็ยังดี ผมคิดแบบนี้จริง ๆ นะครับช่วงนั้น จนถึงประกาศผลสอบ ปรากฏว่าความพยายามของผมประสบผลสำเร็จครับ
ผมติดวิศวคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือครับ ตอนนั้นผมคิดว่านี่เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของผม เป็นอีกก้าวหนึ่ง เป็นความสำเร็จแรกเลยมั้งครับที่ผมภูมิใจ
แต่ว่าเรื่องนี้ก็เป็นจุดสำคัญของปํญหาของผมในวันนี้เช่นกันครับ ต้องขอย้อนกลับไปช่วงที่ผมติดเกมนั่นแหละครับ ตอนนั้นผมปล่อยบอทเล่นเกม และผมมีความคิดอยากจะสร้างบอทได้บ้าง ก็เริ่มควานหาหนังสือมาอ่าน ฝึกเขียนโปรแกรมไปเรื่อย ๆ ครับ แต่ก็ทำไม่ได้นะ ตอนนี้ก็ด้วย นี่คือจุดเริ่มต้นที่ผมบอกตัวเองว่าผมชอบเขียนโปรแกรม
พอผมเข้ามหาวิทยาลัยแน่นอนครับว่าต้องเจอวิชาโหด ๆ หิน ๆ เยอะแยะไปหมด ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ผมต้องอ่านหนังสืออย่างหนัก ทั้งฟิสิกส์ เคมี แคลคูลัส แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ด้วยดี (เกรด A) ตลอดเลยครับ ผมก็พยายามบอกตัวเองเสมอไม่ให้ท้อ สู้ๆ พยายามเราทำได้ แม้ว่าบางครั้งจะมีปัญหาเพื่อนเก่าเข้ามาหาบ่อย ๆ คือลืมไปง่าย ๆ นั่นก็เถอะครับ
ผมบอกตัวเองว่าสักวันต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งกาจให้ได้ ทำให้ผมพยายามอย่างหนักเสมอมา ต้องหาเวลา แบ่งเวลา อ่านหนังสือ เขียนโปรแกรมไปด้วย ผมทำแบบนี้เสมอมาครับ น่าจะด้วยเหตุนี้ด้วยที่ผมพยายามทุ่มเทให้กับความฝันอย่างหนัก ทำให้ผมออกจะเป็นคนเงียบ ๆ สังคมของผมก็น้อย เพื่อนในคณะที่สนิทก็มีเพียงไม่กี่คนครับ ผมรู้ว่าผมเป็นคนพูดไม่เก่ง และก็ไม่ดื่มเหล้าด้วย ทำให้บางครั้ง ความสัมพันธ์ก็ดูเหินห่าง เพื่อนโรงเรียนเดียวกับผมที่เข้ามหาลัยมาด้วยกันได้ ผมคิดว่าเขากับผมน่าจะเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากละ ตั้งแต่สมัยมอปลาย แต่ด้วยความที่ผมไม่เคยเข้าร่วมวงกินเหล้าด้วยกันเลย ตลอดเวลาที่อยู่หอใน ในที่สุดความสัมพันธ์ของเราก็ค่อย ๆ จางลงครับ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ล้มเหลวในชีวิตของผม
จนขึ้นปีสองผมเองก็ยังคงตั้งใจไล่ตามความฝันของตัวเองต่อไป อ่านหนังสืออย่างหนัก ตื่นเช้ามาก็อ่าน คาบว่างก็อ่าน ตอนเย็นไปจนถึงก่อนนอนก็อ่าน เริ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ แล้วนะครับ แม้จะไม่ดีเท่าไหร่ แต่อ่านไปเรื่อย ๆ ก็เข้าใจไปได้เอง ผมคิดว่าผมได้อุทิศเวลาและแรงกาย แรงใจ ให้กับความฝันของผมไปแล้ว แต่ผมเองก็ไม่ได้ทิ้งการเรียน เกรดที่ได้ก็ประทับใจได้อยู่ครับ เกินสามจุดห้า อยู่แม้ว่าช่วงสอบผมเองจะเป็นไข้เลือดออก ก็ดันทุรังมาสอบจนผ่านไปได้ จนเทอมสุดท้ายก็ได้เกรดมา 3.92 ผมเองก็ดีใจมาก แต่ครั้งนี้มากกว่า ตรงที่ผมได้สอนเพื่อนของผมเกี่ยวกับวิชาที่พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจ ผมเเองก็ยินดีเสมอครับ หากใครจะอธิบายให้ ครั้งนี้เพราะเพื่อนบอกให้ช่วยสอนให้เขา ผมก็ยินดีครับ แต่ผมเองก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยกล้าเสนอตัวก่อนเท่าไหร่ครับ
จนมาถึงช่วงปิดเทอมนี่แหละครับ ความพลิกผันและปัญหาชีวิต ผมก็เกิดขึ้นแล้ว ช่วงปิดเทอมผมเอง ก็ลงเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อหวังว่าจะพัฒนาตัวเอง ให้มากกว่านี้ อยากให้สามารถสื่อสารกับฝรั่งรู้เรื่อง จะได้เป็นผลดีตอนสมัครงาน ก็เลยเรียนที่สถาบันภาษาครับ ผมเรียนอยู่สามเดือนกว่า ๆ ความรู้สึกตอนนั้นก็โอเคครับ เริ่มพูดกับเพื่อนต่างชาติได้บ้างแล้ว ฟังครูที่เป็นคนฟิลิปปินส์ สอนก็รุ้เรื่อง แม้แต่ตอนนอกห้องผมก็ฝึกครับทั้งดูหนังซับ อ่านหนังสือ อ่านข่าวภาษาอังกฤษ ฟังเพลง ทำหมดครับ แต่ก็ไม่คล่องเท่าไหร่ พร้อมทั้งหาเวลาว่างฝึกเขียนโปรแกรมไปด้วยเสมอ ๆ
แต่ว่าหลังจากจบคอร์สเรียน ผมก็ต้องกลับมาช่วยที่บ้านทำไร่ ทำสวน ตามปกติ ช่วงนี้แหละครับผมเริ่มเกิดความคิดแล้วว่า เราเดินทางมาผิดหรือเปล่า เพราะว่าอย่างแรกเลย ผมไม่เคยเขียนโปรแกรมที่ใช้งานจริงสำเร็จเลยสักโปรแกรมเดียว ทั้งที่ผมพยายามแล้วพยายามอีก ที่ทำได้ก็เป็นพวกโปรแกรมแก้ปัญหาผ่านหน้าจอ console สีดำ ๆ เช่น ที่ใช้แข่ง acm พวกนั้นได้อยุ่ครับ ลองเขียนโปรแกรมมือถือก็ไม่สำเร็จ ได้หน้าลืมหลัง แต่ที่ฝึกเรื่อย ๆ มาก็เป็นภาษา php เพราะผมชอบเข้าไปดู www.javathailand.com พี่กบถือเป็นแรงบันดาลใจของผมเลยก็ว่าได้ครับ ผมทุ่มเทให้กับมันอยู่ 2 ปีกว่า ๆ จนตอนนี้ผมเองยังไม่เห็นความก้าวหน้าของตัวเองเลย ไม่เคยจะทำโปรแกรมที่ใช้งาน ขอเรียกว่าโปรแกรมเชิงพาณิชย์ออกมาได้สำเร็จเลยครับ และผมก็เริ่มรู้ตัวว่าผมเป็นคนที่ไม่มีหัวศิลป์ เอาซะเลย ผมไม่ค่อยชอบงานออกแบบ ยิ่งออกแบบหน้าเว็บเพจยิ่งไม่ชอบ เข้าไปใหญ่ ยิ่งทำ css ยิ่งไม่ใช่เลย รวมทั้งผมค่อนข้างเป็นคนที่ลืมง่ายอยู่แล้ว ทำให้จำพวกฟังก์ชัน หรือเมธอด อะไรไม่ค่อยได้เลย ทำให้ผมต้องมาคิดแล้วว่า ผมเองไม่ได้ชอบเขียนโปรแกรมอีกแล้ว!!!
ผมจึงเลือกที่จะเดินออกมาจากเส้นทางของโปรแกรมเมอร์ เพราะตัวผมคงไม่เหมาะกับมัน ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามทุ่มเทมาตลอด ยิ่งจะให้เข้าไปเขียนเกม ผมก็ค่อนข้างจะแอนตี้แล้ว บวกกับการที่ผมไม่มีความสามารถทางศิลปะเอาซะเลย นี่จึงเป็นจุดสั่นคลอนในชีวิตของผมตอนนี้ครับ
นอกจากนี้ภาษาอังกฤษที่ผมฝึกฝนมาตลอด พอกลับมาอยู่บ้านเหมือนมันจะลืมเลือนหายไปจากหัวผมจะหมดแล้ว เท่ากับเวลาที่ผมเสียไปช่วงปิดเทอม 6 เดือนนี้คืออะไรกันแน่
เท่านั้นยังไม่พอผมเองมีความฝันอยู่ว่าสักวันหนึ่งจะมีธุรกิจ เป็นของตัวเองให้ได้ ทำให้ผมสนใจ อยากทำอะไร หลาย ๆ อย่างมากมาย ผมขอท้าวความกลับไปช่วงที่ปิดเทอมใหม่ ๆ ตอนนั้นผมกับน้องและอาอยากทำอะไรหารายได้อยู่ น้องกับอาเลยชวนกันว่าทำขนมหวานขายกันไหม ตอนนั้นผมก็คิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ เผื่อทำเป็นธุรกิจในอนาคตได้ เพราะผมเองก็ชอบเรื่องทำขนม ทำเบเกอรี่ พวกนี้มากครับ แต่ตอนนั้นผมคิด ๆ ดุแล้ว เราไม่น่าจะได้กำไรสักเท่าไหร่ เพราะมีเวลาอยู่ 7 วัน ก่อนผมกับน้องจะต้องไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ แต่เราก็ลองดูก่อนครับ ตอนแรก ๆ นั้นสนุกมาก แต่พอทำไปได้สามวันสี่วัน ผลพวงจากการที่ผมนั่งนาน ๆ จากตอนที่ผมอ่านหนังสือ และฝึกเขียนโปรแกรมมาอย่างหนัก ตั้งแต่ช่วงมอหก มหาลัยปีหนึ่ง ปีสอง มันได้ตามมาทำร้ายผมแล้วครับ เวลาผมนั่งนวดแป้งทำขนมหวาน นี่คือเวลาตกนรกของผม เพราะมันปวดหลังอย่างมากครับ แต่ผมก็อดทนทำจนครบเจ็ดวันก่อนจะไปเรียน
ขอเล่าเกี่ยวกับปัญหาการปวดหลังนี้นะครับ ผมเป็นมาได้ช่วงเทอมสอง ของปีสอง แล้วครับ เวลานั่งเรียนอยู่ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พอกลับมาพักที่ห้องต้องนอนเลยครับ เพื่อให้หายปวดหลัง สาเหตุก็เพราะผมนั่งอ่านหนังสือ นั่งน่าคอมนาน ๆ เกินไปนี่เอง ที่มันส่งผลเสียมาทำร้ายผมซะแล้ว
ขอกลับมาเรื่องขายขนมหวานนะครับ เราทำกันทั้งหมดเจ็ดวัน สุดท้ายได้กำไรอยู่คนละร้อยกว่าบาท และทำไม่ได้อีกเพราะผมปวดหลัง นวดแป้งให้ไม่ได้แล้ว จากนั้นหลังจากสามเดือนที่เรียนพิเศษเสร็จผมกับน้องก็กลับมาบ้าน ตอนนี้เราลองทำซาลาเปาเพื่อขายดูครับ แต่ก็ไม่รุ่งอีกแล้ว ปัญหาเยอะครับ คนทางบ้านเริ่มไม่เห็นด้วยแล้ว บวกกับอาการปวดหลังของผมจะกำเริบ ถ้าต้องนั่งทำขนมนาน ๆ ครับ สุดท้ายแล้วผมก็ยังคงล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกอยู่ดี เพราะเครื่องมือที่ซื้อมา ก็ยังไม่คืนทุน ทำอะไรไม่ได้เลยครับ ได้แต่ทำกินเองนาน ๆ ครั้ง
หลังจากที่ผมตัดสินใจออกจากเส้นทางของโปรแกรมเมอร์แล้ว มันก็เคว้งคว้างจริง ๆ ครับ จิตใจก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ผมกลายเป็นวิศวกรหลงทาง ไปอย่างสิ้นเชิง ผมเลยเริ่มลองศึกษาทางด้านเน็ตเวิร์กดู ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองชอบหรือเปล่า
ผมอยากจะค้นหาว่าผมควรจะไปในเส้นทางไหนกันแน่ ตอนหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็ไปเจอเกี่ยวกับการฝึกอาชีพ ผมเองก็สนใจด้านการซ่อมรถอยู่บ้าง ผมเลยอยากไปเรียนดู แต่ดูแล้วช่วงนี้ผมไม่สามารถไปเรียนได้เลย เขาเรียนกันช่วงก่อนหน้านั้นแล้ว หรือช่วงหลังจากนี้ที่มหาลัยเปิดพอดี ทำให้ผมหมดสิทธิ์ไม่สามารถไปเรียนได้ หลังจากนั้นมาผมเองก็หาข้อมูล เจอเรียนเกี่ยวกับการซ่อมมือถือ ดูแล้วถ้าไปเรียนก็จะเสร็จก่อนมหาลัยเปิดพอดี แต่ว่าแม่ผม กับทางบ้านก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี ถ้าไปกรุงเทพก็เตรียมเงินสักหมื่นไว้ได้เลย ซึ่งมันคงจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายของผมจริง ๆ แล้ว จนมาถึงวันนี้เราก็คุยกันถึงขั้นรุนแรงว่าไม่ยอมให้ผมไปเด็ดขาด
ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าผมควรจะทำอย่างไรดี เพราะตอนแรกความฝันของผมคืออยากเป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ว่าเมื่อมันไม่ใช่ เมื่อผมไม่ได้ชอบด้านนี้อีกแล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมควรจะไปทางไหนดี ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามอย่างหนักมาตลอด สิ่งที่ผมทำมา เวลาที่ผมสูญเสียไป กับทั้งอาการปวดหลังจากการพยายามนี่อีก รวมทั้งปัญหาครอบครัว เงินทองที่แทบจะไม่พอใช้ ผมเองก็แอบคิดเหมือนกันว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมน่าจะไปทำงานตั้งแต่ตอนจบมอหกแล้วเรียนไปด้วย หรือเรียนสายอาชีพตั้งแต่แรกเลยน่าจะดีกว่านี้ เพราะผมไม่อยากเห็นพ่อแม่เหนื่อย และปัญหาทางบ้านสารพัดจากเรื่องเงินทอง