การแผ่เมตตา ที่ถูกต้อง เเล้วได้ผลมากที่สุด ที่เคยมีการสอนมาในปัจจุบัน

จะพูดถึงความสำคัญ หลักใหญ่ๆเลย จะมีที่ตรัส ถึง การ เจริญ เมตตาเจโตวิมุติ เป็น การทำสมาธิ ให้บรรลุ ฌาน อย่างตรงตัวที่สุด
การทำสมาธิในลักษณะนี่จะไม่มีอธิบายจากที่ไหนเท่าที่สังเกตุมา หรือคนที่ศึกษาพระไตรปิฏกเองก็อาจจะไม่ทราบ ว่า ลักษณะของ ปฐมฌาน มันก็คือ ที่ตั้งของ รูปพรหม ตัวปฐมฌานเนี่ยเมื่อผู้ที่ ทรงไว้ ตายขณะนั้น จะไปเกิดในชั้นพรหมกายิกา ทันที เพราะมันเป็นสภาวะที่เสื่อมโยงกันอยู่
ซึ่งลักษณะของรูปพรหมนี่เอง มันก็เป็น สภาวะ ของผู้ที่ จิตมีเมตตา (พรหม)  หากเราฝึกเจริญเมตตาจิต มันก็เป็นการสร้างปฐมฌานให้เกิดขึ้นโดยตรง จึงเหมือนกับเราได้ฝึกสมาธิที่เป็นการฝึกที่ตรงตัวมากที่สุดนั้นเอง

เเต่ด้วยในการสอนปัจจุบันยัง ไม่มีพูดถึง  เเละ  อาจจะลังเลว่าการที่จิตมีเมตตาจะเป็นสมาธิได้อย่างไร  เพราะบางทีมันจะไหว ไปไหวมา มันไม่ได้จดจ่ออย่างที่ได้สอนกันอยู่ชนิดเดียว ว่ามันต้องนิ่ง ห้ามเคลื่อนไหว
ในสมาธิของ เมตตาเจโตวิมุติ จะมีอธิบายไว้ว่า เป็นสมาธิชนิด อัปปณิหิต (สมาธิหาที่ตั้งมิได้) คือ จิตเราจะใหญ่ จะกว้าง ไม่มีประมาณ ไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งๆเดียว ไม่ได้ตั้งอยู่กับอะไร เเต่สมาธิเกิดขึ้นได้ จากจิตที่ประกอบด้วยเมตตา โดยไม่มีประมาณ เป็นมหัตตคต
อย่างนั้น เราจึงมาศึกษาว่า เเท้ที่จริง การเจริญเมตตา หรือ การเเผ่เมตตามันเป็นอย่างไร ใช่การ บริกรรมคำว่า สัพเพสัพตาอเวหาโหนตุหรือไม่

ในการเจริญเมตตา ต้องมารู้ก่อนว่า ทิศทางของการจะปฏิบัติมันเป็นอย่างไร ในเวลานี้ เเคเริ่มตั้นเราก็ผิดกันเเล้ว เราอาจจะชินกับการบริกรรม สัพเพสัพตา ใช้วิธีการท่องปากเปล่าส่วนจิตฟุ่งซ่าอยู่ เเล้วแผ่มันออก ซึ่งมันเป็นวิธีที่ง่ายดี เเต่ใช่ไม่ได้ผลอะไรหรอก

ลองมาอ่านพระสูตร เเล้วพิจรานากันเอาเองผมจะว่างไว้2 บทซึ่งความสอดรับกัน
บทเเรกเป็นเเนวทางว่าคุณควร ปฏิบัติแนวไหนในการเเผ่เมตตาที่ถูกต้อง  

เรียกว่า อัปปมัญญา 4

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง
ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็ เหมือนกัน ตามนัยนี้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง
แผ่ไปตลอดโลก ทั่ว สัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์
ถึงความเป็น ใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่
มีใจประกอบด้วย กรุณา...มีใจประกอบด้วยมุทิตา...มีใจประกอบด้วยอุเบกขา
แผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่ ก็เหมือนกัน ตามนัยนี้
ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า
ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบ ด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่
หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มี ความเบียดเบียนอยู่
  
ส่วนวิธีปฏิบัติเพิ่มเติมที่ทำให้สมบูรณ์
อนุรุทธสูตร

[๔๒๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ช่างไม้ชื่อปัญจกังคะ
เรียกบุรุษผู้หนึ่งมาสั่งว่า มาเถิด พ่อมหาจำเริญ พ่อจงเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธ
ยังที่อยู่ แล้วกราบเท้าท่านพระอนุรุทธ ด้วยเศียรเกล้าตามคำของเราว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ช่างไม้ปัญจกังคะขอกราบเท้าท่านพระอนุรุทธด้วยเศียรเกล้า และจง
กราบเรียนอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านพระอนุรุทธได้โปรดนับตนเอง
เป็นรูปที่ ๔ รับนิมนต์ฉันอาหารของช่างไม้ปัญจกังคะในวันพรุ่งนี้ และขอท่าน
พระอนุรุทธได้โปรดมาแต่เช้าๆ เพราะช่างไม้ปัญจกังคะมีกิจหน้าที่ด้วยราชการมาก
บุรุษรับคำแล้ว จึงเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธยังที่อยู่ ครั้นอภิวาทท่านพระอนุรุทธ
แล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกราบเรียนท่าน
พระอนุรุทธดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ช่างไม้ปัญจกังคะขอกราบเท้าท่านพระอนุรุทธ
ด้วยเศียรเกล้า และบอกมาอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านพระอนุรุทธได้
โปรดนับตนเองเป็นรูปที่ ๔ รับนิมนต์ฉันอาหารของช่างไม้ปัญจกังคะในวันพรุ่งนี้
และขอท่านพระอนุรุทธได้โปรดไปแต่เช้าๆ เพราะช่างไม้ปัญจกังคะมีกิจหน้าที่
ด้วยราชการมาก ท่านพระอนุรุทธรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ ฯ
             [๔๒๑] ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธ พอล่วงราตรีนั้น จึงนุ่งสบง
ทรงบาตรจีวรเข้าไปยังที่อยู่อาศัยของช่างไม้ปัญจกังคะ ในเวลาเช้า ครั้นแล้วนั่ง
ณ อาสนะที่เขาแต่งตั้งไว้ ต่อนั้น ช่างไม้ปัญจกังคะให้ท่านพระอนุรุทธอิ่มหนำ
สำราญ ด้วยของเคี้ยวของฉัน อันประณีตด้วยมือของตน พอเห็นท่านพระอนุรุทธ
ฉันเสร็จวางบาตรในมือแล้ว จึงฉวยอาสนะต่ำที่หนึ่งมานั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้เรียนถามท่านพระอนุรุทธดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ภิกษุผู้เถระทั้งหลายมาหากระผมที่นี่แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรคฤหบดี ท่านจง
เจริญเจโตวิมุติที่หาประมาณมิได้เถิด พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกร-
*คฤหบดี ท่านจงเจริญเจโตวิมุติที่เป็นมหัคคตะเถิด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรม
๒ ข้อนี้คือเจโตวิมุติที่หาประมาณมิได้และเจโตวิมุติที่เป็นมหัคคตะ ต่างกันทั้ง
อรรถและพยัญชนะหรือ หรือว่ามีอรรถเป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะ
เท่านั้น ฯ
             ท่านพระอนุรุทธกล่าวว่า ดูกรคฤหบดี ถ้าอย่างนั้น ปัญหาในธรรม
๒ ข้อนี้จงแจ่มแจ้งกะท่านก่อน แต่นี้ไป ท่านจักได้มีความเข้าใจไม่ผิด ฯ
             ป. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมมีความเข้าใจอย่างนี้ว่า ธรรม ๒ ข้อนี้
คือ เจโตวิมุติที่หาประมาณมิได้และเจโตวิมุติที่เป็นมหัคคตะ มีเนื้อความเป็น
อันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น ฯ
             [๔๒๒] อ. ดูกรคฤหบดี ธรรม ๒ ข้อนี้ คือ เจโตวิมุติที่หาประมาณ
มิได้ และเจโตวิมุติที่เป็นมหัคคตะ ต่างกันทั้งอรรถและพยัญชนะ ท่านพึงทราบ
ประการที่ต่างกันนั้นโดยปริยายดังต่อไปนี้ ดูกรคฤหบดี ก็เจโตวิมุติที่หาประมาณ
มิได้ เป็นไฉน ดูกรคฤหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีใจสหรคตด้วยเมตตา แผ่ไป
ตลอดทิศหนึ่งอยู่ แผ่ไปตลอดทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่อยู่ เช่นนั้นเหมือน
กัน และแผ่ไปตลอดทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องขวางอยู่ ด้วยอาการ
เดียวกัน ชื่อว่ามีใจสหรคตด้วยเมตตาอย่างไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ มีอารมณ์หา
ประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลกอันมีสัตว์ทั้งปวง
ในที่ทุกสถาน โดยเป็นอัตภาพทั้งมวลอยู่ มีใจสหรคตด้วยกรุณา ... มีใจสหรคต
ด้วยมุทิตา  ... มีใจสหรคตด้วยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ แผ่ไปตลอด
ทิศที่สอง ทิศที่สาม ทิศที่สี่อยู่ เช่นนั้นเหมือนกัน และแผ่ไปตลอดทิศ
เบื้องบน ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องขวางอยู่ ด้วยอาการเดียวกัน ชื่อว่ามีใจสหรคต
ด้วยอุเบกขาอย่างไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ มีอารมณ์หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่
มีเบียดเบียน แผ่ไปตลอดโลกอันมีสัตว์ทั้งปวง ในที่ทุกสถาน โดยเป็นอัตภาพ
ทั้งมวลอยู่ ดูกรคฤหบดี นี้เรียกว่า เจโตวิมุติที่หาประมาณมิได้ ฯ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่