คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 16
ผมเข้าใจว่า.. ความเชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีพื้นฐานมาจากความเชื่อในเรื่องของ"อัตตา" ที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่เกิด พร้อมๆกับ"อวิชชา" ดังนั้นตราบใดที่เรายังคงมีอวิชชาอยู่ ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เราก็จะยังคงมีความรู้สึกว่า เราเป็นผู้ท่ีมี"ตัวตน" อยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งก่อนตาย ก็จะสร้างจินตนาการต่อไปว่า เมื่อตายแล้ว"เรา" จะไปไหน? แล้วจินตนาการนี้ก็จะนำไปสู่คำตอบที่ว่า ตายแล้วต้องไปสวรรค์หรือตกนรก ตามกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ ดังนั้นเมื่อปุถุชน(ผู้ยังไม่บรรลุ) มีความคิดเช่นนี้ ทุกศาสนาจึงหาทางออกให้ตัวเอง ด้วยการสร้างที่อยู่อันเป็นอมตะ เพื่อที่ตัวเองตายแล้วจะได้ไปอยู่แล้วเสวยสุขชั่วนิรันด์(ตามที่เจ้าของศาสนาได้บัญญัติไว้) ดังนั้นศาสนาอื่นจึงเชื่อในเรื่องปรมาตรมันต์(เช่นพราหม;ฮินดู) เชื่อในเรื่องชีวิตนิรันต์ เมื่อได้ปฏิบัติศาสนากิจตามบทบัญยัติของพระผู้เป็นเจ้า(คริสต์) ..ฯลฯ
แต่ศาสนาพุทธเชื่อในเรื่อง"อนัตตา" และกฏของเหตุและปัจจัยทีมีในปฏิจจสมุปบาท; อิทัปปัจจยตา ..ฯลฯ การเชื่อในเรื่องของ"อัตตา"จึงเป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนาพุทธอย่างแน่นอน(เป็นคนละประเด็นกับความเชื่อเรื่องอัตตาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด) ดังนั้นความเชื่อที่ว่าต้องมี"อัตตา" นำไปเกิดในชาติหน้าหรือมาจากชาติที่แล้ว จึงมาจาก"อวิชชา"และ ถ้าเราสามารถทำลาย"อวิชชา" ให้หมดไปได้แล้ว เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็จะไม่ใช่ประเด็นให้ต้องถกเถียงกันต่อไป..
1. ท่านพุทธทาสสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและชีวิตหลังความตายไว้ว่าอย่างไร?
ขอตอบตามท่ีเข้าใจนะครับ: ท่านพุทธทาสไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติตามที่ได้มีการอธิบายไว้ในพระไตรปิฎก ท่านก็เคยสอนตามแนวนี้มาก่อน แต่ในระยะหลัง ภายหลังจากที่ได้ค้นคว้าจากพระไตรฯมาเป็นเวลานับสิบปี ก็ได้พบว่า มีการอธิบายปฏิจจฯแบบวงรอบปัจจุบัน(วาระจิตเดียว) ไว้เช่นกัน จึงมุ่งเน้นมาอธิบายขยายความของปฏิจจฯในแบบวงรอบปัจจุบันดังกล่าวนี้(แล้วก็ไม่ได้เน้นที่จะอธิบายปฏิจจฯแบบข้ามภพชาติ คงปล่อยไว้ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจกันต่อไปแบบเดิม)
แล้ว..ถ้าอ่านในพระไตรฯก็จะพบว่า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกไว้แล้วว่า ความเชื่อในเรื่อง ตายแล้วไปเกิดและตายแล้วสูญ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งสองด้าน ท่านตรัสทางสายกลางของปฏิจจฯเพื่ออธิบายไว้แต่เพียง ว่า..อวิชชา ปจฺยา สังขาร..ฯลฯ ซึ่งเราก็ทราบกันดีอยู่แล้ว งานเขียนที่สะท้อนถึงชีวิตหลังการตายก็คือหนังสือ"ตายเสียก่อนตาย" ที่อธิบายให้เข้าใจถึงการทำ"อัตตา" ให้ตายไปเสียก่อนที่จะตายจริง(แบบเข้าโลง) แล้วเวลาตายจริง ก็ไม่ต้องมาจินตนาการว่าตัวเองจะต้องไปเกิดที่ไหน..ฯลฯ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการละสังโยชน์10 ที่เมื่อสามารถละ"อวิชชา" ได้ในขั้นสุดท้าย ก็เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องมาเกิดทั้งในชาตินี้และชาติหน้าอีกต่อไป
2. ในกรณีที่ยังเป็นมนุษย์ผู้มีกิเลสหนาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรก่อนตาย เมื่อตายแล้วจะเป็นอย่างไร?
เราต่างก็เป็นปุถุชน(ผู้มีกิเลสหนา) กันทุกคนครับ ยังไม่ได้บรรลุธรรม ดังนั้นถ้านับถือพุทธฯ ก็ใช้หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว ปฏิบัติไปเรื่อยๆ แล้วทุกข์ก็จะค่อยๆลดลงไปเอง ถ้าได้บรรลุในชาตินี้ก็จะไม่มีคำว่า"ชาติ" ในวงจรของปฏิจจฯอีกต่อไป เราก็จะไม่ต้องเกิด(ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ) ในชาติปัจจุบันนี้ อีกต่อไป(พร้อมด้วยความทุกข์) ถ้าถามว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อมีใครมาบอกว่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกครับ(ก็ต้องเชื่อตามพระไตรฯ) ผู้ที่ตายแล้วฟื้นกลับมาเล่าว่าได้ไปนรกสวรรค์มา ก็คือพวกไม่ตายจริง(ไปเกิดมโนวิญญานผัสสะในภวังคจิต ตอนที่อายตนะทั้ง5หยุดทำงาน แล้วมาเล่าให้ฟัง) ถ้าตายจริงแล้วไม่สามารถกลับมาเล่าได้ครับ
3. คำสอนนี้เหมือนหรือแตกต่างจากคำสอนของพระพุทธองค์ตามพระไตรปิฎกของเถรวาทอย่างไร?
คำสอนของท่านพุทธทาส บางครั้งก็ยากที่จะเข้าใจ อ่านในตอนต้น เมื่อไม่ตรงกับความเชื่อเดิมของเรา ก็เคยคิดปรามาศท่านอยู่ในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน ย้อนกลับมาอ่านใหม่ ก็เข้าใจที่ท่านเขียนไว้ว่า ข้อความนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะว่า เราอ่านไม่ครบทุกบริบทที่ท่านเขียน ถ้าตัดมาเพียงบางตอนจึงอาจทำให้เข้าใจผิดได้
ผมคิดว่าท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่แตกฉานในบาลี พระไตรปิฎก แล้วท่านบวชมาตั้งแต่หนุ่มจนมรณะภาพมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนปวรณาตัวเป็น"พุทธทาส" ที่แปลว่าทาสรับใช้ของพระพุทธเจ้า ท่านต้องไม่มีความคิดที่จะปรามาศพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน แต่อาจจะมีความพลั้งเผลอไปบ้างในช่วงที่เริ่มเข้ามาศึกษาใหม่ๆ แต่ตอนบั้นปลายของชีวิตผมมั่นใจว่า ถ้าไม่มี"อคติ" ต่อท่านเสียก่อน เข้าใจว่าท่านให้อะไรเราได้มากกว่าที่คิดครับ ดังนั้นคำสอนของท่านจึงไม่แตกต่างจากคำสอนของพระพุทธองค์ในพระไตรปิฏกของเถรวาทครับ เพียงแต่ท่านเลือกคัดสรรเอาแต่ แก่นเพื่อที่จะนำมาบอกเล่าให้เราฟัง ซึ่งเป็นเรื่องท่ีเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่สนใจเฉพาะการดับทุกข์ให้ได้ในปัจจุบันแต่เพียงชาตินี้ครับ
แต่ศาสนาพุทธเชื่อในเรื่อง"อนัตตา" และกฏของเหตุและปัจจัยทีมีในปฏิจจสมุปบาท; อิทัปปัจจยตา ..ฯลฯ การเชื่อในเรื่องของ"อัตตา"จึงเป็นความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนาพุทธอย่างแน่นอน(เป็นคนละประเด็นกับความเชื่อเรื่องอัตตาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด) ดังนั้นความเชื่อที่ว่าต้องมี"อัตตา" นำไปเกิดในชาติหน้าหรือมาจากชาติที่แล้ว จึงมาจาก"อวิชชา"และ ถ้าเราสามารถทำลาย"อวิชชา" ให้หมดไปได้แล้ว เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็จะไม่ใช่ประเด็นให้ต้องถกเถียงกันต่อไป..
1. ท่านพุทธทาสสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและชีวิตหลังความตายไว้ว่าอย่างไร?
ขอตอบตามท่ีเข้าใจนะครับ: ท่านพุทธทาสไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดแบบข้ามภพข้ามชาติตามที่ได้มีการอธิบายไว้ในพระไตรปิฎก ท่านก็เคยสอนตามแนวนี้มาก่อน แต่ในระยะหลัง ภายหลังจากที่ได้ค้นคว้าจากพระไตรฯมาเป็นเวลานับสิบปี ก็ได้พบว่า มีการอธิบายปฏิจจฯแบบวงรอบปัจจุบัน(วาระจิตเดียว) ไว้เช่นกัน จึงมุ่งเน้นมาอธิบายขยายความของปฏิจจฯในแบบวงรอบปัจจุบันดังกล่าวนี้(แล้วก็ไม่ได้เน้นที่จะอธิบายปฏิจจฯแบบข้ามภพชาติ คงปล่อยไว้ให้เป็นเรื่องที่เข้าใจกันต่อไปแบบเดิม)
แล้ว..ถ้าอ่านในพระไตรฯก็จะพบว่า พระพุทธเจ้าท่านก็บอกไว้แล้วว่า ความเชื่อในเรื่อง ตายแล้วไปเกิดและตายแล้วสูญ เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งสองด้าน ท่านตรัสทางสายกลางของปฏิจจฯเพื่ออธิบายไว้แต่เพียง ว่า..อวิชชา ปจฺยา สังขาร..ฯลฯ ซึ่งเราก็ทราบกันดีอยู่แล้ว งานเขียนที่สะท้อนถึงชีวิตหลังการตายก็คือหนังสือ"ตายเสียก่อนตาย" ที่อธิบายให้เข้าใจถึงการทำ"อัตตา" ให้ตายไปเสียก่อนที่จะตายจริง(แบบเข้าโลง) แล้วเวลาตายจริง ก็ไม่ต้องมาจินตนาการว่าตัวเองจะต้องไปเกิดที่ไหน..ฯลฯ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการละสังโยชน์10 ที่เมื่อสามารถละ"อวิชชา" ได้ในขั้นสุดท้าย ก็เป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องมาเกิดทั้งในชาตินี้และชาติหน้าอีกต่อไป
2. ในกรณีที่ยังเป็นมนุษย์ผู้มีกิเลสหนาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรก่อนตาย เมื่อตายแล้วจะเป็นอย่างไร?
เราต่างก็เป็นปุถุชน(ผู้มีกิเลสหนา) กันทุกคนครับ ยังไม่ได้บรรลุธรรม ดังนั้นถ้านับถือพุทธฯ ก็ใช้หลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว ปฏิบัติไปเรื่อยๆ แล้วทุกข์ก็จะค่อยๆลดลงไปเอง ถ้าได้บรรลุในชาตินี้ก็จะไม่มีคำว่า"ชาติ" ในวงจรของปฏิจจฯอีกต่อไป เราก็จะไม่ต้องเกิด(ชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ) ในชาติปัจจุบันนี้ อีกต่อไป(พร้อมด้วยความทุกข์) ถ้าถามว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อมีใครมาบอกว่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกครับ(ก็ต้องเชื่อตามพระไตรฯ) ผู้ที่ตายแล้วฟื้นกลับมาเล่าว่าได้ไปนรกสวรรค์มา ก็คือพวกไม่ตายจริง(ไปเกิดมโนวิญญานผัสสะในภวังคจิต ตอนที่อายตนะทั้ง5หยุดทำงาน แล้วมาเล่าให้ฟัง) ถ้าตายจริงแล้วไม่สามารถกลับมาเล่าได้ครับ
3. คำสอนนี้เหมือนหรือแตกต่างจากคำสอนของพระพุทธองค์ตามพระไตรปิฎกของเถรวาทอย่างไร?
คำสอนของท่านพุทธทาส บางครั้งก็ยากที่จะเข้าใจ อ่านในตอนต้น เมื่อไม่ตรงกับความเชื่อเดิมของเรา ก็เคยคิดปรามาศท่านอยู่ในใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน ย้อนกลับมาอ่านใหม่ ก็เข้าใจที่ท่านเขียนไว้ว่า ข้อความนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ทั้งนี้ ก็เป็นเพราะว่า เราอ่านไม่ครบทุกบริบทที่ท่านเขียน ถ้าตัดมาเพียงบางตอนจึงอาจทำให้เข้าใจผิดได้
ผมคิดว่าท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่แตกฉานในบาลี พระไตรปิฎก แล้วท่านบวชมาตั้งแต่หนุ่มจนมรณะภาพมาเป็นเวลาหลายสิบปี จนปวรณาตัวเป็น"พุทธทาส" ที่แปลว่าทาสรับใช้ของพระพุทธเจ้า ท่านต้องไม่มีความคิดที่จะปรามาศพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน แต่อาจจะมีความพลั้งเผลอไปบ้างในช่วงที่เริ่มเข้ามาศึกษาใหม่ๆ แต่ตอนบั้นปลายของชีวิตผมมั่นใจว่า ถ้าไม่มี"อคติ" ต่อท่านเสียก่อน เข้าใจว่าท่านให้อะไรเราได้มากกว่าที่คิดครับ ดังนั้นคำสอนของท่านจึงไม่แตกต่างจากคำสอนของพระพุทธองค์ในพระไตรปิฏกของเถรวาทครับ เพียงแต่ท่านเลือกคัดสรรเอาแต่ แก่นเพื่อที่จะนำมาบอกเล่าให้เราฟัง ซึ่งเป็นเรื่องท่ีเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่สนใจเฉพาะการดับทุกข์ให้ได้ในปัจจุบันแต่เพียงชาตินี้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ถามสาวกพุทธทาสนิยม: เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและชีวิตหลังความตาย
1. ท่านพุทธทาสสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดและชีวิตหลังความตายไว้ว่าอย่างไร? และ
2. ในกรณีที่ยังเป็นมนุษย์ผู้มีกิเลสหนาจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรก่อนตาย เมื่อตายแล้วจะเป็นอย่างไร? และ
3. คำสอนนี้เหมือนหรือแตกต่างจากคำสอนของพระพุทธองค์ตามพระไตรปิฎกของเถรวาทอย่างไร?
ขอบคุณครับ