
ที่มา TH Newswire
เรียนพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน
จากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดดิฉันว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา ดิฉันนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอเรียนว่า
1.กระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการพิจารณาที่ เร่งรีบ รวบรัด โดยแจ้งข้อกล่าวใช้เวลาเพียง แค่ 21 วัน และหลังจากนั้นก็ชี้มูลความผิดอาญาต่อดิฉัน ภายใน 140 วันซึ่ง ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิบัติกับคดีอื่น ๆที่ดำเนินการกับนักการเมืองเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อดิฉัน เมื่อเทียบเคียงกับการดำเนินคดีกับการโครงการประกันราคาข้าว ที่ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการดำเนินการนานไม่น้อยกว่า 4 ปี คดี ปรส ที่ล่าช้า . โครงการทุจริตโรงพักทั่วประเทศ ป.ป.ช. กลับไม่มีความคืบหน้า อันถือว่ามิได้มีบรรทัดฐานอย่างเดียวกัน
2. นอกจากนี้ ในการปฏิบัติ ของ ป.ป.ช. เมื่อเทียบกับคดีอื่น ๆ เห็นว่า คดีนี้มีพฤติการณ์ รวบรัด เป็นกรณีพิเศษดังนี้
- เลือกรับฟังพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวดิฉัน
- ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ในการเสนอพยานบุคคลที่เป็นส่วนสาระสำคัญ
- ไม่รอผลการพิสูจน์เรื่องสต็อกข้าวให้เป็นที่สิ้นสุด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องสต็อกข้าว ทั้ง ๆที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ไปร่วมสังเกตการณ์แล้ว
- ไม่ไต่สวนในข้อเท็จจริง กรณีการลงบันทึกบัญชีที่ข้อขัดแย้งและแตกต่างกันของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี และ คณะกรรมการ กขช.ให้เป็นที่สิ้นสุด
- กรณีไม่พิจารณาการที่ดิฉันคัดค้าน นาย วิชา รวม 3 ครั้ง
3.นโยบาย รับจำนำข้าว เป็นนโยบายระดับประเทศ นายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร เป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ส่วนในระดับปฏิบัติการนั้นเป็นการทำงานของหน่วยงานต่างๆหลายหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจน แต่ในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. กลับฟังความข้างเดียว ในขณะที่ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเห็นไม่ตรงกันในข้อเท็จจริง
4. นอกจากนี้การแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ต่อสาธารณะที่ผ่านมา ยืนยันว่า คดีในเรื่องระบายข้าวไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน ทำให้ไม่ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาต่อสู้ และหักล้าง แต่ในข้อวินิจฉัยในการชี้มูลกลับนำ ข้อเท็จจริงในคดีระบายข้าวมาชี้มูลความผิดกับดิฉันด้วย
5. ที่ผ่านมาดิฉันพยายามชี้แจงและร้องขอให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน และสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเป็นธรรม แต่ ป.ป.ช. ปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งที่ข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่อง เช่น ข้าวเสื่อมสภาพและข้าวหาย หน่วยงานที่ควบคุมดูแล สต็อกข้าว ทั้ง องค์การ คลังสินค้า อ.ค.ส. และ องค์การ ตลาดเพื่อเกษตรกร อ.ต.ก.ได้ทำสัญญาต่าง ๆ กับเจ้าของคลังสินค้า และบริษัทประกัน รับผิดชอบค่าเสียหาย หากเกิดกรณีข้าวสูญหาย และการเสื่อมสภาพข้าวที่ผิดปกติธรรมชาติ ดังนั้นการกล่าวอ้างเรื่องรัฐ มีความเสียหายจากข้าวหาย และข้าวเสื่อมคุณภาพ จึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา
6. ขอตั้งข้อสังเกตว่า การกล่าวหาและการไต่สวนของ ป.ป.ช. ได้นำพยานหลักฐานและไต่สวนพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อดิฉันและเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันได้พยามเสนอพยานหลักฐานต่าง ๆแต่ ป.ป.ช.กลับละเลย และปฏิเสธที่จะไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
7. ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ดิฉันจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะหนีคดีต่างๆนั้น ขอยืนยันว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางส่วนตัว และมีกำหนดการไปกลับที่ชัดเจนและมีการเตรียมการล่วงหน้า แล้วก่อนที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอย่างเร่งด่วน
วันนี้ดิฉันเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้วควรจะมีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงประชาชนคนไทยทั่วไป ขอยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะกลับมาสู่ประเทศไทย
“ยิ่งลักษณ์” มั่นใจในความบริสุทธิ์ชี้มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีอาญา โครงการรับจำนำข้าวเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ปกติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“ยิ่งลักษณ์” มั่นใจในความบริสุทธิ์ ชี้มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีอาญา โครงการรับจำนำข้าวเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ปกติ กล่าวหาเลื่อนลอย ขาดพยานหลักฐาน ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เลือกปฏิบัติ เร่งรีบ รวบรัด ชี้มูลความผิดโดยขาดความเที่ยงธรรม ชาวนาหมดโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิตและมุ่งคุ้มครองพ่อค้าข้าวผู้ส่งออกที่เสียประโยชน์
ในวันนี้ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ นางสาวยิ่งลักษณ์ฯ อดีตนายกรัฐมนตรีเห็นว่าจากกรณีที่มีการแถลงข่าวของศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกกรรมการ ป.ป.ช. เรื่องการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาลมีมติว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ อดีตนายกรัฐมนตรีมีมูลความผิด และให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ มาตรา ๗๐ นางสาวยิ่งลักษณ์ฯ เห็นว่า
๑. การดำเนินการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรมสากล ไม่เป็นไปตามคำชี้แจงของ ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ ที่ได้แถลง เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ขอยืนยันว่ากระบวนการดำเนินคดีของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่มีมติ ๗ : ๐ เสียง ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม เลือกปฏิบัติ และขาดความเที่ยงธรรม กล่าวคือ ยังยืนยันว่าการดำเนินคดีเป็นไปด้วยความเร่งรีบ รวบรัดอย่างเป็นพิเศษต่างจากการดำเนินคดีอื่นๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยกันถูกกล่าวหาทั้งก่อนหน้าคดีนี้จำนวนหลายคดีอย่างขาดความชอบธรรม ไม่มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นไต่สวนเหมือนคดีอื่นๆ และไม่เคยได้รับคำตอบใดๆ จากคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะระยะเวลาที่ดำเนินคดีกับนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ นับแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตั้งคณะกรรมการไต่สวน เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๗ ใช้เวลา ๒๑ วัน ในการแจ้งข้อกล่าวหา และใช้เวลาเพียง ๑๔๐ วัน นับแต่วันรับทราบข้อกล่าวหา มีการเร่งรีบมีมติชี้มูลความผิดในคดีอาญาต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ทั้งที่ในช่วงการไต่สวนดังกล่าวมีข้อโต้แย้งมากมายทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายจากนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ผู้ถูกกล่าวหาในการนำเสนอพยานบุคคล และพยานหลักฐานเพื่อหักล้างข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.หลายครั้งหลายคราวนับแต่ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นจำนวนพยานไม่มากหากเทียบกับเรื่องที่ถูกกล่าวหา เนื่องจากมีผู้ปฏิบัติและหน่วยงานที่รับผิดชอบจำนวนมาก กับมีข้อโต้แย้งมากมายจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทำให้การไต่สวนที่ผ่านมาองค์คณะผู้ไต่สวนได้ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยการตัดพยานหลักฐานที่จะเข้าสู้สำนวนหมดไปกับการโต้แย้งมากมายจากองค์คณะผู้ไต่สวน แต่ผู้ที่เสียหายคือนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ถูกตัดโอกาสในการต่อสู้คดีจนถึงวันชี้มูลความผิดอาญาต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ฯ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างเร่งรีบ โดยไม่เคยปรากฏมาก่อนหน้านี้ว่ากรรมการ ป.ป.ช. ได้เคยปฏิบัติหน้าที่ในการไต่สวนคดีอาญาอื่นๆ ต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่นเดียวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ แต่อย่างใด การหยิบยกข้ออ้างตามข้อกฎหมายว่า จำเป็นต้องไต่สวนโดยเร็วการปฏิบัติหน้าที่จึงชอบด้วยกฎหมายนั้น การไต่สวนโดยเร็วดั่งว่านั้น ไม่มีข้อเท็จจริงว่าได้เคยปฏิบัติต่อคดีอื่นๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่นเดียวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ถูกกล่าวหาซ้ำร้ายยังปรากฏเป็นข่าวที่โฆษกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สังคมทั่วไปทราบเช่นเดียวกับคดีนี้ว่า คดีอื่นๆ มีการเริ่มสอบสวนเมื่อใด และจะสิ้นสุดลงในเวลาใดเช่นเดียวกับคดีนี้
นอกจากนี้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ฯ ผู้ถูกกล่าวหาได้ขอความเป็นธรรมต่อองค์คณะผู้ไต่สวนถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่สามเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๗ นอกจากนี้มีองค์คณะผู้ไต่สวนโดยเฉพาะ ศาสตราจารย์พิเศษ วิชาฯ ได้ถูกคัดค้าน และขอความเป็นธรรม โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ถึง ๓ ครั้ง ต่อองค์คณะผู้ไต่สวนในครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗ และครั้งที่สามเมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๗ ขอให้องค์คณะผู้ไต่สวนทั้งหมดเปลี่ยนตัวศาสตราจารย์พิเศษวิชา ฯ ที่กระทำตัวเป็นปฏิปักษ์หลายประการต่อผู้ถูกกล่าวหา โดยละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของผู้ถูกกล่าวหา โดยชี้นำสังคมว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ เป็นผู้กระทำความผิดตลอดมา บุคคลดังกล่าวพูดจาเหน็บแนม กระแนะกระแหน ถากถาง ดูถูก เย้ยหยัน ดูหมิ่น ผู้ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา โดยปราศจากพยานหลักฐาน รวมทั้งผู้ถูกกล่าวหาเรียกร้องให้บุคคลดังกล่าวถอนตัวจากการเป็นองค์คณะผู้ร่วมไต่สวน แต่หาได้รับการสนองตอบเพื่ออำนวยความยุติธรรม แก่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ องค์คณะผู้ไต่สวนรายอื่นกับปล่อยให้บุคคลดังกล่าวยังคงทำหน้าที่อยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน หากเทียบกับมาตรฐานทางจริยธรรมของกรรมการ ป.ป.ช. รายพลตำรวจโท สถาพร หลาวทอง ที่มีข้อเท็จจริงเพียงว่าสมัยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ เคยตรวจสอบโกดังข้าวเท่านั้นก็ถอนตัวจากการเป็นองค์คณะผู้ไต่สวนในคดีนี้เสียแล้ว
การเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นโทษและเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกกล่าวหาทางการเมือง อาทิเช่น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ไม่รับฟังและไต่สวนพยานหลักฐานในส่วนที่เป็นคุณโดยเฉพาะพยานบุคคลหลายราย ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในคดีที่ถูกกล่าวหาโดยสิ้นเชิง อันเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม และผู้ถูกกล่าวหากลับถูกให้ร้าย โดยไม่เป็นธรรมว่ามีพฤติการณ์ประวิงคดี ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาเพียงแต่ต้องการแสวงหาความยุติธรรม โดยการนำเสนอพยานหลักฐานเพื่อต่อสู้คดีเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากกรณีโครงการประกันราคาข้าวที่ ป.ป.ช.ไม่ได้เร่งรีบแต่กลับละเลยไม่ดำเนินการ ซ้ำยังให้ข่าวว่าเอกสารหายเนื่องจากเกิดเหตุอุทกภัยถือเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่
คำถามจึงมีว่าประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ ๖๓/๒๕๕๗ เรื่อง นโยบายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของรัฐ ให้มีบรรทัดฐานที่ชัดเจนในการดำเนินคดีตามประเภทคดีที่อยู่ในอำนาจหน้าที่โดย ที่ประกาศดังกล่าวมีจุดประสงค์ให้องค์กรในกระบวนการยุติธรรมทั้งปวง รวมทั้ง ป.ป.ช. ในการบังคับใช้กฎหมาย อันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง และความแตกแยกในสังคม โดยต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม และไม่มีการเลือกปฏิบัติ ได้รับการปฏิบัติสนองตอบเป็นอย่างดีแล้วหรือไม่
๒. ประเด็นที่กล่าวหาว่านางสาวยิ่งลักษณ์ฯ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวของรัฐบาล
๒.๑ ในเรื่องนี้เห็นว่าการหยิบยกข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา ๑๒๓/๑ มากล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ฯ ว่ามีมูลกระทำความผิดตามข้อกฎหมายข้างต้นในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เป็นการกล่าวหาในลักษณะ “หว่านแหกล่าวหา” เลื่อนลอยปราศจากหลักฐาน ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติ และไต่สวนให้เสร็จสิ้นกระแสความในแต่ละเรื่อง และแต่ละประเด็นไม่ว่าจะเป็นประเด็นตามข้ออ้างว่ามีการทุจริตในทุกขั้นตอนนั้น มีพฤติการณ์ที่เป็นการทุจริตอย่างไร ทุจริตที่ไหน เจ้าหน้าที่รัฐคนใดหรือหน่วยงานใด และเอกชนรายใดที่เข้าร่วมโครงการ หรือแม้แต่ชาวนาเกษตรกร รายใด ตำบลใด อำเภอใด และจังหวัดใดที่มีพฤติการณ์ที่มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยการสวมสิทธิเกษตรกร โกงความชื้น โกงตราชั่ง นำข้าวมาเวียนเข้าโครงการ การลักลอบนำข้าวออกจากค
คลิป/คำต่อคำ อดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชี้แจงเรื่องปปช.ฟันโครงการรับจำนำข้าว และชี้แจงเรื่องบินไปนอก
ที่มา TH Newswire
เรียนพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชน
จากกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดดิฉันว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวของรัฐบาลที่ผ่านมา ดิฉันนางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขอเรียนว่า
1.กระบวนการยุติธรรมนั้นเป็นไปตามหลักนิติธรรมสากลหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการพิจารณาที่ เร่งรีบ รวบรัด โดยแจ้งข้อกล่าวใช้เวลาเพียง แค่ 21 วัน และหลังจากนั้นก็ชี้มูลความผิดอาญาต่อดิฉัน ภายใน 140 วันซึ่ง ป.ป.ช.ไม่เคยปฏิบัติกับคดีอื่น ๆที่ดำเนินการกับนักการเมืองเช่นเดียวกับการปฏิบัติต่อดิฉัน เมื่อเทียบเคียงกับการดำเนินคดีกับการโครงการประกันราคาข้าว ที่ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการดำเนินการนานไม่น้อยกว่า 4 ปี คดี ปรส ที่ล่าช้า . โครงการทุจริตโรงพักทั่วประเทศ ป.ป.ช. กลับไม่มีความคืบหน้า อันถือว่ามิได้มีบรรทัดฐานอย่างเดียวกัน
2. นอกจากนี้ ในการปฏิบัติ ของ ป.ป.ช. เมื่อเทียบกับคดีอื่น ๆ เห็นว่า คดีนี้มีพฤติการณ์ รวบรัด เป็นกรณีพิเศษดังนี้
- เลือกรับฟังพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตัวดิฉัน
- ตัดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ในการเสนอพยานบุคคลที่เป็นส่วนสาระสำคัญ
- ไม่รอผลการพิสูจน์เรื่องสต็อกข้าวให้เป็นที่สิ้นสุด เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงในเรื่องสต็อกข้าว ทั้ง ๆที่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ไปร่วมสังเกตการณ์แล้ว
- ไม่ไต่สวนในข้อเท็จจริง กรณีการลงบันทึกบัญชีที่ข้อขัดแย้งและแตกต่างกันของคณะอนุกรรมการปิดบัญชี และ คณะกรรมการ กขช.ให้เป็นที่สิ้นสุด
- กรณีไม่พิจารณาการที่ดิฉันคัดค้าน นาย วิชา รวม 3 ครั้ง
3.นโยบาย รับจำนำข้าว เป็นนโยบายระดับประเทศ นายกรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร เป็นเพียงผู้กำกับดูแลเท่านั้น ส่วนในระดับปฏิบัติการนั้นเป็นการทำงานของหน่วยงานต่างๆหลายหน่วยงาน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยมีขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบที่ชัดเจน แต่ในข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. กลับฟังความข้างเดียว ในขณะที่ความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเห็นไม่ตรงกันในข้อเท็จจริง
4. นอกจากนี้การแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ต่อสาธารณะที่ผ่านมา ยืนยันว่า คดีในเรื่องระบายข้าวไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน ทำให้ไม่ได้หยิบยกประเด็นดังกล่าวมาต่อสู้ และหักล้าง แต่ในข้อวินิจฉัยในการชี้มูลกลับนำ ข้อเท็จจริงในคดีระบายข้าวมาชี้มูลความผิดกับดิฉันด้วย
5. ที่ผ่านมาดิฉันพยายามชี้แจงและร้องขอให้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน และสอบพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและเป็นธรรม แต่ ป.ป.ช. ปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งที่ข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่อง เช่น ข้าวเสื่อมสภาพและข้าวหาย หน่วยงานที่ควบคุมดูแล สต็อกข้าว ทั้ง องค์การ คลังสินค้า อ.ค.ส. และ องค์การ ตลาดเพื่อเกษตรกร อ.ต.ก.ได้ทำสัญญาต่าง ๆ กับเจ้าของคลังสินค้า และบริษัทประกัน รับผิดชอบค่าเสียหาย หากเกิดกรณีข้าวสูญหาย และการเสื่อมสภาพข้าวที่ผิดปกติธรรมชาติ ดังนั้นการกล่าวอ้างเรื่องรัฐ มีความเสียหายจากข้าวหาย และข้าวเสื่อมคุณภาพ จึงเป็นการไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมต่อดิฉันในฐานะผู้ถูกกล่าวหา
6. ขอตั้งข้อสังเกตว่า การกล่าวหาและการไต่สวนของ ป.ป.ช. ได้นำพยานหลักฐานและไต่สวนพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อดิฉันและเลือกที่จะรับฟังพยานหลักฐานหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันได้พยามเสนอพยานหลักฐานต่าง ๆแต่ ป.ป.ช.กลับละเลย และปฏิเสธที่จะไต่สวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง
7. ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ดิฉันจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อที่จะหนีคดีต่างๆนั้น ขอยืนยันว่า การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางส่วนตัว และมีกำหนดการไปกลับที่ชัดเจนและมีการเตรียมการล่วงหน้า แล้วก่อนที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดอย่างเร่งด่วน
วันนี้ดิฉันเป็นราษฎรเต็มขั้นแล้วควรจะมีสิทธิเสรีภาพเยี่ยงประชาชนคนไทยทั่วไป ขอยืนยันว่า จะไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนคนไทย และพร้อมจะกลับมาสู่ประเทศไทย
“ยิ่งลักษณ์” มั่นใจในความบริสุทธิ์ชี้มติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีอาญา โครงการรับจำนำข้าวเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ปกติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้