นาย ก. ตกลง กับ นาย ข. ร่วมกัน ในการทำงาน ขายมอร์เตอร์ไซค์ โดย เหตุการณ์มีลำดับดังนี้
นาย ก. ไปได้มอร์เตอร์ไซค์ มาในลักษณ์ ที่นาย ก. เป็นนายหน้าขายบ้าน ให้กับบริษัท แล้วต้องแถม มอร์เตอร์ไซค์ แต่นาย ก. ไม่แถมให้กับลูกค้า และได้ริบของแถม มาขาย.. แต่... การขาย ของชิ้นนี้ ต้องขายผ่านในนามบริษัท ซึ่งมอร์เตอร์ไซค์ชนิดนี้ เป็นมอร์เตอร์ไซค์พิเศษ ต้องขายผ่านรูปบริษัทเท่านั้น
นาย ก. จึงไป ปรึกษานาย ข. ว่า เราควรจะจดนิติบุคคลร่วมกัน เพื่อขายสินค้าเหล่านี้.. นาย ข. ไม่มีเงินทุน แต่มี สำนักงานให้ใช้เป็นที่จดทะเบียนได้ ส่วนนาย ก. ไม่มีสำนักงาน แต่มีทุน ..ทั้งสอง จึงตกลงร่วมทุนกัน โดยให้นาย ข. ถือ หุ้น หลัก 98% ส่วนขาย ก. ถือ เพียง 1% และ อีก 1% ให้ญาตินาย ข. ถือ เนื่องด้วยเหตุผล ที่ว่า ถ้านาย ก. ถือหุ้นในบริษัทอื่น จะถูกเพ่งเล็งจากเจ้านายบริษัทขายบ้าน
ทั้งสองตกลง จดทะเบียนร่วมกัน โดย ให้ นาย ก. และ นาย ข. มีอำนาจลงนามร่วมกัน.. และ มีสัญญาร่วมกันว่า ทุกงานจะต้องแบ่ง 50-50%
ต่อ มาทั้ง สอง ก็ ได้ร่วมกัน มอร์เตอร์ไซค์นี้ ไปหลายคัน บนผลประโยชน์ที่ตกลงไว้ อย่างละครึ่งต่อครึ่ง..
จน กระทั่ง มาถึง มอร์เตอร์ไซค์คันที่ 9 .. นาย ก. มีความจำเป็น ที่จะเอาเงินไปใช้หนี้เนื่องจากถูกศาลฟ้อง จึงบอกนาย ข. ว่า.. งานนี้ขอไม่แบ่งได้มั้ย เนื่องจากตนเองเดือดร้อน.. นาย ข. เนื่องจากเห็นว่าหุ้นส่วน มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน ซึ่งนาย ก. ได้ไปตกลง ยอมความกับเจ้าหนี้ และ จะนำเงินมาจ่ายอีก 5 เดือนถัดไป ..นาย ข. รู้สึกเห็นใจ จึงตอบไปว่าไม่ขอแบ่งสำหรับงานนี้
มอร์เตอร์ไซค์พิเศษ จะต้องทำเรื่องขายในนามนิติบุคคล โดยการประมูลออกไป และใช้เวลา จัดการตั้งแต่เริ่มต้น กระทั้งขายทั้งสิ้น 5 เดือนพอดี ซึ่ง ก็พอดีกับ ช่วงเวลาที่นาย ก. จะต้องนำเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ตามสัญญาไกล่เกลี่ย
เวลา ผ่านไป 5 เดือน เมื่อขายเมอร์เตอร์ไซด์ได้แล้ว และ เงินกำลังเข้า บัญชี.. เผอิญว่า นาย ข. ถูกฟ้องร้องจากเจ้าหนี้เหมือนกันกับขาย ก. ..นาย ข. จึงบอกนาย ก. ว่า มีความจำเป็นจะต้องขอส่วนแบ่งแล้ว.. จึงทวงเงินส่วนแบ่งครึ่งนึง.. นาย ก. บอกกับนาย ก. ว่า ไม่ยอมแบ่งให้ และ อ้างความจำเป็นของตน.. และ บอกนาย ข. ว่า ตนแบ่งให้ได้เพียง 12% เท่านั้น เนื่องจากตนเห็นว่า นาย ข. ไม่ได้ช่วยในการขายมาตั้งแต่ต้นที่จะต้องหาลูกค้า และ นำเสนอ
นาย ข. แย้งว่า ตนก็มีสิทธิ์ ตามตกลงแต่เดิม ที่จะแบ่งครึ่ง และ ตนก็ได้ช่วย ทำเว็บโฆษณา ทำเอกสารการขาย ตรวจรับเซ็นเอกสาร ดำเนินการภาษีในงานนี้เหมือนกัน.. จึงขอทวงสิทธิ์ตนครึ่งนึงตามเดิม โดยเหตุผลที่ว่า ตนก็อยู่ในสถานะการณ์ถูกฟ้องร้องเหมือนๆ กัน
นาย ก. บ่ายเบี่ยงว่า อย่างไร ก็ให้ได้เท่าเดิม เพราะ นาย ข. กลับคำว่าจะไม่เอาส่วนแบ่งแล้ว ทำให้ตนวางแผนในการใช้หนี้ไว้แล้ว
นาย ข. ก็แย้งว่า ตนก็จำเป็นเหมือนกัน แม้ไม่ได้ออกทุน แต่ก็ต้องแบ่งรับแบ่งสู้ในฐานะที่เป็นหุ้นใหญ่ ที่จะต้องรับผิดชอบอนาคตของบริษัทนี้ ซึ่งแม้อย่างน้อยๆ หากจดทะเบียนเลิกก็ต้องมีค่าเดินเนินการที่ตนจะต้องจ่ายทั้งสิ้น.. นาย ข. ยังกล่าวตอบโต้อีกว่า นาย ก. ก็กลับคำในเรื่องของส่วนแบ่งเช่นเดียวกัน วันนี้ ต่างคน ต่างก็จำเป็นเหมือนๆ กัน..
นาย ก. ก็อ้างว่าเงินทุน และ งานทั้งหมด นาย ก. เป็นคนหาลูกค้ามา.. นาย ข. ปฏิเสธที่จะเอาส่วนแบ่งไปแล้ว จะอ้างสิทธิ์งานนี้ไม่ได้
..ขอถามเพื่อนๆ ผู้ทรงเกียรติ์ ครับว่า ควรจะตัดสินอย่างไร ถึงจะเป็นธรรมที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย..
ขอศาลาประชาคมเป็นที่พึ่งด้วยนะคับ
(รอ คำแนะนำอย่างใจจดใจจ่อ)
ช่วยแก้ปัญหานี้ให้หน่อยคับ.. เป็นเรื่องการแบ่งผลประโยชน์
นาย ก. ไปได้มอร์เตอร์ไซค์ มาในลักษณ์ ที่นาย ก. เป็นนายหน้าขายบ้าน ให้กับบริษัท แล้วต้องแถม มอร์เตอร์ไซค์ แต่นาย ก. ไม่แถมให้กับลูกค้า และได้ริบของแถม มาขาย.. แต่... การขาย ของชิ้นนี้ ต้องขายผ่านในนามบริษัท ซึ่งมอร์เตอร์ไซค์ชนิดนี้ เป็นมอร์เตอร์ไซค์พิเศษ ต้องขายผ่านรูปบริษัทเท่านั้น
นาย ก. จึงไป ปรึกษานาย ข. ว่า เราควรจะจดนิติบุคคลร่วมกัน เพื่อขายสินค้าเหล่านี้.. นาย ข. ไม่มีเงินทุน แต่มี สำนักงานให้ใช้เป็นที่จดทะเบียนได้ ส่วนนาย ก. ไม่มีสำนักงาน แต่มีทุน ..ทั้งสอง จึงตกลงร่วมทุนกัน โดยให้นาย ข. ถือ หุ้น หลัก 98% ส่วนขาย ก. ถือ เพียง 1% และ อีก 1% ให้ญาตินาย ข. ถือ เนื่องด้วยเหตุผล ที่ว่า ถ้านาย ก. ถือหุ้นในบริษัทอื่น จะถูกเพ่งเล็งจากเจ้านายบริษัทขายบ้าน
ทั้งสองตกลง จดทะเบียนร่วมกัน โดย ให้ นาย ก. และ นาย ข. มีอำนาจลงนามร่วมกัน.. และ มีสัญญาร่วมกันว่า ทุกงานจะต้องแบ่ง 50-50%
ต่อ มาทั้ง สอง ก็ ได้ร่วมกัน มอร์เตอร์ไซค์นี้ ไปหลายคัน บนผลประโยชน์ที่ตกลงไว้ อย่างละครึ่งต่อครึ่ง..
จน กระทั่ง มาถึง มอร์เตอร์ไซค์คันที่ 9 .. นาย ก. มีความจำเป็น ที่จะเอาเงินไปใช้หนี้เนื่องจากถูกศาลฟ้อง จึงบอกนาย ข. ว่า.. งานนี้ขอไม่แบ่งได้มั้ย เนื่องจากตนเองเดือดร้อน.. นาย ข. เนื่องจากเห็นว่าหุ้นส่วน มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน ซึ่งนาย ก. ได้ไปตกลง ยอมความกับเจ้าหนี้ และ จะนำเงินมาจ่ายอีก 5 เดือนถัดไป ..นาย ข. รู้สึกเห็นใจ จึงตอบไปว่าไม่ขอแบ่งสำหรับงานนี้
มอร์เตอร์ไซค์พิเศษ จะต้องทำเรื่องขายในนามนิติบุคคล โดยการประมูลออกไป และใช้เวลา จัดการตั้งแต่เริ่มต้น กระทั้งขายทั้งสิ้น 5 เดือนพอดี ซึ่ง ก็พอดีกับ ช่วงเวลาที่นาย ก. จะต้องนำเงินไปจ่ายเจ้าหนี้ตามสัญญาไกล่เกลี่ย
เวลา ผ่านไป 5 เดือน เมื่อขายเมอร์เตอร์ไซด์ได้แล้ว และ เงินกำลังเข้า บัญชี.. เผอิญว่า นาย ข. ถูกฟ้องร้องจากเจ้าหนี้เหมือนกันกับขาย ก. ..นาย ข. จึงบอกนาย ก. ว่า มีความจำเป็นจะต้องขอส่วนแบ่งแล้ว.. จึงทวงเงินส่วนแบ่งครึ่งนึง.. นาย ก. บอกกับนาย ก. ว่า ไม่ยอมแบ่งให้ และ อ้างความจำเป็นของตน.. และ บอกนาย ข. ว่า ตนแบ่งให้ได้เพียง 12% เท่านั้น เนื่องจากตนเห็นว่า นาย ข. ไม่ได้ช่วยในการขายมาตั้งแต่ต้นที่จะต้องหาลูกค้า และ นำเสนอ
นาย ข. แย้งว่า ตนก็มีสิทธิ์ ตามตกลงแต่เดิม ที่จะแบ่งครึ่ง และ ตนก็ได้ช่วย ทำเว็บโฆษณา ทำเอกสารการขาย ตรวจรับเซ็นเอกสาร ดำเนินการภาษีในงานนี้เหมือนกัน.. จึงขอทวงสิทธิ์ตนครึ่งนึงตามเดิม โดยเหตุผลที่ว่า ตนก็อยู่ในสถานะการณ์ถูกฟ้องร้องเหมือนๆ กัน
นาย ก. บ่ายเบี่ยงว่า อย่างไร ก็ให้ได้เท่าเดิม เพราะ นาย ข. กลับคำว่าจะไม่เอาส่วนแบ่งแล้ว ทำให้ตนวางแผนในการใช้หนี้ไว้แล้ว
นาย ข. ก็แย้งว่า ตนก็จำเป็นเหมือนกัน แม้ไม่ได้ออกทุน แต่ก็ต้องแบ่งรับแบ่งสู้ในฐานะที่เป็นหุ้นใหญ่ ที่จะต้องรับผิดชอบอนาคตของบริษัทนี้ ซึ่งแม้อย่างน้อยๆ หากจดทะเบียนเลิกก็ต้องมีค่าเดินเนินการที่ตนจะต้องจ่ายทั้งสิ้น.. นาย ข. ยังกล่าวตอบโต้อีกว่า นาย ก. ก็กลับคำในเรื่องของส่วนแบ่งเช่นเดียวกัน วันนี้ ต่างคน ต่างก็จำเป็นเหมือนๆ กัน..
นาย ก. ก็อ้างว่าเงินทุน และ งานทั้งหมด นาย ก. เป็นคนหาลูกค้ามา.. นาย ข. ปฏิเสธที่จะเอาส่วนแบ่งไปแล้ว จะอ้างสิทธิ์งานนี้ไม่ได้
..ขอถามเพื่อนๆ ผู้ทรงเกียรติ์ ครับว่า ควรจะตัดสินอย่างไร ถึงจะเป็นธรรมที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย..
ขอศาลาประชาคมเป็นที่พึ่งด้วยนะคับ
(รอ คำแนะนำอย่างใจจดใจจ่อ)