พอสักทีน่ะกับกระทู้โค้ชทำร้ายร่างกายนักกีฬา

ไม่มีใครสนับสนุนให้โค้ชทำร้ายนักกีฬาหรอก ไม่ว่ากีฬาประเภทไหน

แต่บทลงโทษเวลานักกีฬาผิดวินัยของกีฬาแต่ละแขนงก็มีบริบทแตกต่างกันไป

กรณีโค้ชเช ไม่ทราบว่าเป็นการต่อย หรือเอากำปั้นทุบหน้าเบาๆ เพราะถ้าต่อยจนบาดเจ็บอย่างมีนัยสำคัญเช่น กรามร้าว ตาปูด ม้ามแตก อันนั้นก็จัดว่าเป็นการทำร้ายร่างกายแน่นอน ซึ่งไม่สมควร ซึ่งก็ต้องสืบพยานหลักฐานกันต่อไป(หรือเรื่องอาจจะจบกันเงียบๆภายในในที่สุด)

เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกัน หลายกระทู้หลงประเด็น พากันออกทะเลไปมากมาย บ้างก็สนับสนุนให้โค้ชใช้ความรุนแรงได้เพื่อให้นักกีฬาเกรงขาม หลาบจำ และมีระเบียบวินัย   บ้างก็เห็นว่าไม่ว่ากีฬาประเภทใด โค้ชไม่มีสิทธิแม้แต่จะตบหน้านักกีฬา แต่ลืมคิดไปว่าในบริบทของกีฬาการต่อสู้ทุกแขนงที่ไม่ใช่การแข่งขันประเภทความสวยงาม แต่เป็นการปะทะเตะต่อยกันจริงๆ พื้นฐานจิตใจต้องไม่กลัวความรุนแรง ไม่กลัวการบาดเจ็บ การลงซ้อมกับคู่ต่อสู้ในหลายๆครั้งจึงเตะจริง ต่อยจริง เจ็บจริง เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเวลาลงสนามจริงหัวจิตหัวใจของนักกีฬาคงไม่คุ้นชินกับการถูกปะทะร่างกาย

คนที่ตัดสินใจว่าจะเข้าแข่งขันกีฬาต่อสู้ จึงต้องเตรียมใจมาบ้างแล้วว่าจะต้องเจออะไรบ้าง และในหลายๆอากัปกิริยาซึ่งคนนอกที่ไม่ได้ติดตามวงการการต่อสู้จริงๆอาจไม่ค่อยเข้าใจ  

โค้ชบางคนก่อนเริ่มการแข่งขันจะตบหน้านักกีฬาเพื่อให้เกิดความฮึกเหิม หรือคราวที่นักกีฬาเพลี่ยงพล้ำ ท้อแท้ การตบหน้าก็เป็นที่นิยมในการเรียกสติระหว่างเกม  หรือแม้แต่กีฬารักบี้ที่ใช้กำลังเข้าปะทะ นักกีฬาจะตบหน้าตัวเอง ทุบตีร่างกายตัวเอง เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ราวกับว่าจะออกรบ

ยามที่นักกีฬาพ่ายแพ้ หากทำเต็มที่แล้วย่อมไม่มีใครตำหนิ แต่หากเกิดจากข้อผิดพลาดของนักกีฬา โค้ชบางคนใช้กลยุทธโดยการซ้อมต่อเลยเพื่อไม่ให้นักกีฬามัวแต่ผิดหวังกับตัวเอง แต่ต้องพลิกวิกฤติเป็นโอกาสในการสร้างความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขจุดบกพร่องของตัวเองให้ได้

นักมวยบางรายต่อยแพ้เพราะใจไม่สู้ กลัวเจ็บ ได้แต่วิ่งฉากถอยจนแพ้คะแนนไปที่สุด โค้ชที่รักและยังเชื่อมั่นในตัวนักกีฬาอาจต้องใช้ความรุนแรงบ้างเพื่อเรียกความกล้าในจิตใจ เช่นให้นักกีฬายืนเอามือไพล่หลัง ส่วนโค้ชสวมนวมชกหน้า ชกท้อง พร้อมกับสั่งสอนไปด้วย

รุนแรงอย่างยิ่งยวดยิ่งกว่าการพ่ายแพ้ คือการผิดระเบียบวินัย โค้ชที่ดีย่อมมีวิธีการทำให้นักกีฬาหลาบจำโดยต้องไม่ทำลายความมุ่งมั่น และขวัญกำลังใจของนักกีฬา บางวิธีเป็นตัวชี้วัดว่านักกีฬาจะสามารถพัฒนาตัวเองต่อได้หรือไม่

โค้ชที่ทำหน้าที่เช้าชามเย็นชาม รับค่าจ้าง ทำตามหน้าที่ผู้ฝึกสอนเท่านั้น ก็คงเลือกวิธีตัดเงิน หรือตัดหางปล่อยวัดไปเลย แต่สำหรับโค้ชที่ต้องการเคี่ยวเข็ญนักกีฬาให้พัฒนาตัวเองย่อมทำอะไรให้นักกีฬารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ได้มีแค่ผู้ฝึกสอนกับคนถูกสอนเท่านั้น

บ้างตบหน้า ดุด่า ทั้งน้ำตา

บ้างให้วิ่งเท้าเปล่ากว่า 50 กิโล

บ้างให้วิดพื้นจนกว่าจะสั่งให้หยุด

บางการกระทำดูเหมือนรุนแรง แต่โค้ชที่ดีจะรู้ขอบเขตว่าทำได้ถึงแค่ไหน  เหมือนแม่ที่เอาก้านมะยมตีลูกทั้งน้ำตาแม้จะมีอารมณ์แต่จะรู้ว่าต้องหยุดเมื่อไหร่ บางครั้งแม่ก็หาหยูกหายามาทาให้ลูกพร้อมกับอธิบายเหตุผลว่าทำไปเพื่ออะไร

หากผ่านจุดนี้ไปได้ ความสัมพันธ์ของโค้ช กับนักกีฬาจะแนบแน่นมากขึ้น จากที่นักกีฬารู้สึกว่าสู้เพื่อตัวเอง จะเริ่มมีจิตสำนึกว่ากำลังสู้เพื่อคนอื่นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโค้ช และคนที่ตามเชียร์อยู่ การผิดวินัย การเหยาะแหยะ จึงเริ่มเป็นสิ่งน่ารังเกียจและมีจิตสำนึกที่จะหยุดพฤติกรรมดังกล่าว

ดังนั้น ตามความเห็นผม การลงโทษของโค้ชเชที่กระทำต่อน้องก้อย ถ้าเป็นการตีหน้าและตีท้องเบาๆ เป็นการลงโทษที่ง่อยมากๆ เบามากๆเมื่อเทียบกับการตัดหางปล่อยวัดโดยไม่สนใจใยดีอะไรเลย

แต่ถ้าเป็นการต่อยหน้า แม้จะหมัดเดียว จนน้องก้อยกรามร้าว กรามหัก นั่นก็เป็นการลงโทษเกินกว่าเหตุ และโค้ชเชผิดจริงในแง่ของกฏหมาย

ทั้งนี้ ทั้งนั้น ที่พล่ามมายืดยาวแค่อยากจะบอกว่าการลงโทษในบริบทของการต่อสู้  กีฬาที่ใช้ความรุนแรง บางทีอาจจะดูรุนแรงสำหรับคนที่ไม่คุ้นชิน แต่สำหรับโค้ชกับนักกีฬาแล้ว เป็นเรื่องของแนวทาง  ความผูกพัน และจิตวิทยา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่