รักแรกที่จบด้วยการถูกทรยศหักหลังถึงสองครั้ง+++

กระทู้สนทนา
** ฉันพิมพ์เรื่องนี้ตั้งแต่พฤษภาคม 2557 เพิ่งกล้าเอามาลงเพราะแค่อยากระบายความอัดอั้น ****

ฉันกับแฟนเริ่มต้นคบกันตั้งแต่ปี 2550 ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ ม.รัฐบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
และพักอยู่หอในตลอด เรารู้จักกันผ่านทางเฟสบุ๊ค เริ่มคุยกดไลค์ คอมเมนท์กันไปมา
เขาเป็นทหารอยู่ค่ายที่สระบุรี เราคุยกันอยู่ 7-8 เดือน จนเขามาลงทะเบียนเรียนที่ ม .รามฯ
เราจึงนัดเจอกันครั้งแรกที่นั่น (แต่ฉันไม่ได้เรียนรามฯ) หลังจากเจอกันเราก็เริ่มคุยกันทางเฟสฯ
และทางมือถือเยอะขึ้น เจอกันบ่อยครั้งขึ้นและตัดสินใจคบกัน ตอนนั้นเขายศสิบตรี ฉันอยู่ปี 3
เราทั้งคู่ต่างหาโอกาสเจอกันเยอะขึ้น โดยส่วนใหญ่ฉันจะนั่งรถตู้ที่คิวอนุสาวรีย์ชัยฯไปหาเขาที่ค่ายในสระบุรี
มากกว่าที่เขาจะมาหาฉันเพราะฉันอยู่หอในมันไม่สะดวกนัก ความรักของเราก็ราบรื่นมีความสุข งอนกันบ้าง
ตามประสาคู่รักทั่วไป แต่ฉันบอกได้เลยว่าส่วนตัวของฉันนั้นมีความสุขมาก ๆ ด้วยที่ผู้ชายคนนี้เป็นรักจริง ๆ
แฟนตัวจริงครั้งแรกในชีวิต เพราะที่ผ่านมามีแต่แอบรักเขาข้างเดียว (ด้วยความอ้วนเป็นอุปสรรค) ช่วง 7-8 เดือน
แรกที่ฉันกับเขาไม่เคยเจอกันมาก่อน เขาเป็นแรงฮึดให้ฉันลดน้ำหนัก จากคนสูง 157 cm หนัก 68 กก.
ฉันฮึดมาก ๆ ลดลงมาเหลือน้ำหนัก 52 กก. แต่ก็ยังไม่ผอม อวบ ๆ เนื้อเยอะ  ๆ แต่ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะผอมได้ขนาดนี้มาก่อน
เราคบกันมาจนฉันเรียนจบ ก่อนรับปริญญาตอนนั้นยังไม่ได้ทำงานเพราะการเมืองวุ่นวายและอาการหนัก
ฉันตัดสินใจชวนเขาไปเที่ยวบ้านเพื่อหวังเปิดตัว เขาตอบตกลง เรานัดวันเดินทางเขาต้องจ้างเพื่อนทหารมาอยู่เวรแทน การไปพบพ่อแม่และญาติครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะเขาเป็นลูกชาวบ้าน ชาวนาจากอีสานและฉันก็เป็นลูกสาวชาวสวนลำไยทางเหนือ ครอบครัวของฉันค่อนข้างพอใจกับแฟนฉันในระดับหนึ่ง เราคบกันมาเรื่อย ๆ ช่วงที่ลำบากที่สุดก็คงเป็นตอนรัฐประหาร (ไม่ขอพูดถึงช่วงเวลานี้เพราะเขาต้องปฏิบัติหน้าที่) เราแทบไม่ค่อยได้เจอกันเลย แต่เราสองคนก็ยังรักและมั่นคง
ฉันทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในตำแหน่ง System Analysis ตำแหน่งดูสวยหรูแต่งานจริง ๆ ก็คือ IT Support นั่นแหละ และในช่วงนั้นที่เราสองคนเริ่มคุยและเจอกันน้อยลง จนมาวันนึงเขาบอกกับฉันว่าจะลงชายแดนใต้ 1 ปี
ถ้ากลับมาเมื่อไหร่สัญญาว่า จะมาสู่ขอแต่งงานกัน ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ช่วงเวลาก่อนจะต้องไปชายแดนมีความหมายกับเราที่สุด จนถึงวันที่เขาต้องไปชายแดนจริง ๆ บอกได้เลยว่าความรู้สึกมันยากจะอธิบายจริง  
ๆ แต่เขาก็บอกฉันเสมอว่า เป็นแฟนทหารต้องอดทน ฉันก็ทั้งอดทั้งทนทั้งรอคอย มันช่างทรมาน ทั้งห่วง ทั้งกังวล
เวลามีข่าวทหารชายแดนใต้ฉันมักภาวนาให้ไม่ใช่แฟนฉัน
แล้วก็ครบ 1 ปี เขาต้องกลับค่ายที่สระบุรีใน เดือนสิงหา ฯ ปีนั้นคือปี 54 เราก็ยังคบกันและเป็นแฟนกัน
แต่เขาดูห่าง ๆ
ปฏิเสธเยอะขึ้น ติดธุระเยอะขึ้น แต่ตอนนั้นฉันเองก็ไม่ได้คิดอะไร ฉันทำงาน 5 วัน หยุด 2 วันก็ไปอยู่กับเขาที่ค่ายตลอด เรื่องราวมันก็เรื่อย ๆ ไม่มีอะไร แต่ฉันเริ่มเรียนต่อในระดับปริญญาโทแล้วที่ มสธ เราเริ่มห่างกันจริง ๆ คือช่วงน้ำท่วมใหญ่ ห่างชนิดที่เรียกว่าแทบไม่ได้คุยกันเลย อาทิตย์นึงคุยกัน ครั้งหรือสองครั้ง เรื่องเจอกันไม่ต้องถามถึงคือไม่ได้เจอกันเลย เกือบสามเดือน แล้วหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ความรักของเราก็เปลี่ยนแปลงไป ต้นปี 55 ฉันเริ่มกดดันเขาเรื่องแต่งงาน เขาก็มีอาการงานเยอะ ภาระกิจแยะ นั่นโน่นนี่ เวลาจะไปหาก็บอกว่าไม่ว่างต้องไปนอนโรงนอนกองร้อยกับพลทหาร ติดภาระกิจพาทหารใหม่ออกฝึก เหตุผลมากมายก่ายกองไปหมด แต่ฉันก็ไม่ได้ลดละ ตื้อเท่านั้นเพราะฉันเห็นว่าเราควรจะแต่งกันได้แล้ว เขาบ่ายเบี่ยงอยู่จนหลังเมษาฯ จนพ่อและพี่ชายฉันโทรไปกดดันเขา ฉันก็เริ่มมีความหวังว่าเขาจะมาขอ แต่แล้ววันนึง ก็มีสายโทรเข้ามาไม่ได้รับ 17 สาย โชว์เบอร์เป็นเบอร์แฟนของฉันเอง ด้วยความสงสัยว่าโทรอะไรนักหนา มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า เพราะปกติเขาไม่ค่อยเซ้าซี้โทรเยอะขนาดนี้ ฉันรีบโทรกลับทันที แต่แล้วปลายสายที่กดรับก็ทำฉันแปลกใจ เป็นเสียงผู้หญิง พูดจาดี ถามฉันว่า
นั่นหวานใช่มั้ยค่ะ(หวาน เป็นชื่อเล่นฉันเอง) ฉันก็ใจเย็นยังไม่ฉุกคิด ตอบกลับไปว่าใช่ ปลายสายก็เริ่มเสียงเข้มทันที
บอกกลับฉันมาเป็นชุดเลย "คุณเลิกยุ่งกับสามีฉันสักทีได้มั้ย ฉันกับเขาแต่งงานกันแล้วและกำลังจะมีลูกด้วยกัน แฟนเก่าก็ควรอยู่ส่วนแฟนเก่า อย่ามายื้อคนที่เขาแต่งงานแล้วเลย คุณเข้าใจมั้ยว่าถึงแม้จะมาก่อนแต่คุณคือคนที่เขาไม่เลือกไม่เอาแล้ว ถ้ายังไม่เลิกตื้อสามีฉันละก็ มีปัญหาแน่" ตอนนั้นฉันก็งง ๆ จำประโยคได้คร่าว ๆ ประมาณนี้แหละ แต่ฉันไม่ทันพูดอะไรตอบโต้เพราะมันอึ้งและงง ปลายสายก็ตัดสายทิ้งไป
พอฉันตั้งสติได้ก็พยายามโทรติดต่อกลับไป ปลายสายก็ตัดสายทิ้งตลอด ในที่สุดก็ปิดเครื่องหนีไป
พอฉันพยายามติดต่อทางเฟสบุ๊คก็ถูกบล็อก ยิ่งกว่านั้นรู้มั้ยเพื่อน ๆ ทหารที่สนิทกับเขาที่เป็นเพื่อนฉันในเฟสบุ๊ค 8-9 คนก็พากันบล็อกฉันไปหมด โทรไปหาเพื่อนเขาก็ไม่มีใครรับสายฉัน บ้างก็ฝากข้อความ
ฉันอยู่กับความอึ้ง ความงง ความเสียใจ น้ำตาและความเจ็บปวด โดยที่ไม่ได้รับรู้ความจริงอะไรเลย มันช่างโหดร้ายกับฉันไม่มีแม้เหตุผล คำขอโทษ ฉันเหมือนคนโง่งี่เง่า เขาขาดการติดต่อและเงียบหายไป 5 เดือนเต็ม ๆ ด้วยความที่ฉันยังรักยังโหยหาและหวังว่าเขาจะกลับมาและบอกกับตัวเองว่าถ้าเขากลับมาฉันพร้อมจะให้อภัย ขอแค่เขากลับมา ฉันรักเขามาก พร้อมลืมทุกอย่างขอแค่เรากลับมามีกันอีกครั้ง
หลังจากเงียบมา 5 เดือนฉันตัดสินใจทิ้งความละอายทุกอย่างรวบรวมความกล้าหน้าด้านเดินทางไปพบเขาที่สระบุรี นั่งรถตู้จากอณุสาวรีย์ชัยฯ ไปลงคิวรถตู้ตรงสถานีรถไฟสระบุรี และนั่งมอร์ไซต์รับจ้างไปหาเขาในค่าย
ฉันเลือกที่จะให้พี่วินฯไปส่งประตูด้านหลังทางเข้าบ้านพักแทนประตูหน้าค่าย แต่จ่าที่เฝ้าประตูก็พยายามสอบถามว่ามาพบใครและขอดูบัตร ปชช. ฉันก็บอกจ่าไปว่ามาหา สอ.มงxxxx xxxxxx จ่าก็พยายามใช้วิทยุ วิทยุไปหาแล้วก็บอกฉันว่าให้รอก่อน จ่าก็ใจดีพยายามวิทยุไปหาเรื่อย ๆ และก็ได้คำตอบเดิมว่ายังไม่เลิกรวมพล มาพบไม่ได้
ได้คำตอบนี้อยู่อย่างนั้น 5-6 ครั้งฉันรอตั้งแต่ 11 จนถึง หกโมงเย็นกว่า ๆ จ่าออกเวรตั้งแต่ 4 โมงครึ่ง เวลาเกือบ ๆ
1 ทุ่ม ก็มีทหารขับมอไซต์มาหาฉันที่ประตูค่าย แต่ก็ไม่ใช่เขาเป็นเพื่อนของเขาที่ฉันก็รู้จัก ฉันพยายามยิงคำถามมากมาย แต่ก็ไม่ได้คำตอบ มีแต่พูดว่าไม่รู้ ๆ แล้วเพื่อนเขาก็ชวนฉันซ้อนท้ายจะไปส่งที่คิวรถตู้กลับกรุงเทพฯ
เพราะคันสุดท้ายของวันจะออก สองทุ่มครึ่ง ฉันพยายามปฏิเสธว่าไม่ไปจนกว่าจะได้พบเขา แต่ด้วยความจำเป็น
สถานการณ์ตอนนั้นดื้อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพื่อนของเขาขับรถพาฉันมาขึ้นรถตู้ทันคันสุดท้ายพอดี ฉันกลับถึงกรุงเทพฯด้วยความรู้สึกมากมายที่ค้างคาใจ หลังจากนั้นผ่านไปเกือบ ๆ สิบวัน ฉันก็ได้ข้อความทาง message box ในเฟสฯ มันเป็นชื่อเฟสฯ ของคนที่ฉันคุ้นเคยดี และ รอคอยมาตลอดเวลาที่ทรมาน เขาเลิกบล็อกฉัน ส่งข้อความมาขอโทษ ถามสาระทุกข์สุกดิบ แต่ฉันไม่พร้อมจะตอบคำถามไร้สาระพวกนั้น ฉันเริ่มพิมพ์คำถามมากมายที่ค้างในใจ ฉันอยากคุยกับเขา พยายามขอเบอร์ติดต่อเขา เขาไม่ได้ตอบคำถามอะไรฉันกลับ แค่บอกว่าแล้วจะโทรหา จากข้อความสุดท้ายที่เขาส่งมา ฉันรอเขาโทรมาอยู่อย่างนั้นเกือบสองเดือน จนทนไม่ไหว ต้องลาออกมาเจ็บปวดอยู่ห้อง พี่ชายฉันทนไม่ไหวให้ฉันย้ายมาอยู่กับเขาที่กรุงเทพฯ (ตอนนั้นฉันอยู่หอพักที่ วงศ์สว่างฝั่งนนทบุรี ทำงานพระรามหก ส่วนพี่ชายซื้อบ้านไว้ที่เกษตร-นวมินทร์) ด้วยการขอร้องจากพ่อแม่และพี่ชายฉันจึงย้ายมาอยู่กับพี่ชายถาวร โดยมีพี่สะใภ้คอยให้กำลังใจ ฉันไม่ได้ทำงานเลยเพราะลาออก นอกเหนือจากไปเรียนที่ มสธ ก็อยู่บ้านดูแลหลานและเริ่มเรียนรู้การขายของทางเว็บอีเบย์
มีบางคนเคยพูดว่า ความสมหวังและความผิดหวังจะเป็นตัวผลักดันให้เราทำอะไรสักอย่างทั้งเรื่องดีและไม่ดี
ตลอดเวลาที่เขาสัญญาว่าจะโทรมาเขาก็ไม่โทรมา ด้วยกำลังใจและความผิดหวัง ฉันเรียนเอาเป็นเอาตาย และขายของในเว็บอีเบย์เอาเป็นเอาตาย เพื่อหวังให้มันมาลบเลือนความเจ็บปวดในใจ
หลังจากนั้นผ่านมาไม่รู้ว่ากี่เดือนกี่วัน ในขณะที่ฉันไปรวมกลุ่มคนขายอีเบย์บ้านอาจารย์ ที่หมู่บ้านอู่ทอง 5 ลำลูกกา ก็มีเบอร์แปลก ๆ โทรมาไม่ได้รับ 3 สาย แต่ด้วยมารยาทฉันก็ไม่ได้รับสายและปิดเครื่องไป เพราะกำลังเรียนอีเบย์แอดวานซ์ เกรงว่าจะรบกวนคนอื่น ๆ
พอกลับถึงบ้านฉันก็รีบพยายามติดต่อกลับทันที ฉันเก็บตัวเองเงียบในห้อง ปลายสายคือเขา เขาติดต่อมาแล้ว
แรก ๆ เราไม่กล้าคุยกันเท่าไหร่ อึกอักนานหลายนาที แต่แล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ไหล ฉันเริ่มร้องไห้ให้เขาฟัง เขาก็แค่ปลอบ ๆ แล้วพูดแต่คำว่าขอโทษ เขาเลว เขาผิด เขาเสียใจ และคำพูดแก้ตัวมากมายที่เขาพูดออกมา และประโยคสุดท้ายที่ฉันจำได้แม่นที่สุด เขาถามฉันว่า " รอได้ไหม เขากำลังจะหย่า รอเขานะ เขาจะกลับมาหาฉัน จะรักฉันคนเดียว "
ตอนนั้นความคิดมันฟุ้งซ่านไปหมด ฉันไม่ทันได้ฉุกคิด ตอบตกลงด้วยความดีใจ ว่าจะรอ รอเขาคนเดียว
มาถึงตอนนี้เพื่อน ๆ หลายคนคงจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันขอเล่าแค่จากคำพูดของแฟนเก่า เพราะฉันไม่เคยได้มีโอกาสได้คุยกับเมียเขา จึงไม่รู้ว่า เรื่องมันจริงเท็จแค่ไหน
เขาอ้างกับฉันว่า
หลังจากที่เขากลับจากชายแดนใต้ เขาก็มาเป็นครูฝึกทหารใหม่ในค่าย ก็ได้เจอกันกับพยาบาลคนหนึ่ง
ซึ่งพยาบาลคนนี้เป็นเพื่อนกับแฟนทหารคนหนึ่งในค่ายเดียวกัน ได้เจอกันบ่อย เวลามีการดื่มสุรา หรือทำหมูกระทะในบ้านพักทหาร เพราะนางพยาบาลคนนี้มักจะตามเพื่อนพยาบาลเข้ามาในค่ายบ่อย ๆ ความที่เธอเป็นพยาบาล สเป็กทหารเลยล่ะ ก็เริ่มมีการแซว สบตา  เลยเริ่มสนิทกันและแอบคบกันโดยที่นางพยาบาลไม่รู้ว่าเขามีแฟนแล้ว และฉันก็ไม่รู้ว่าเขาแอบคบซ้อน จนกระทั่งเมื่อต้นปี 55 นางพยาบาลก็ท้อง แล้วก็แอบไปแต่งงานกันที่ร้อยเอ็ด บ้านเกิดนางพยาบาลคนนั้น แต่เขาไม่กล้าบอกเลิกกับฉัน เพราะคบฉันมาหลายปี แต่กับนางพยาบาลก่อนแต่ง คบกันได้แค่ 6 เดือนแล้วท้อง พอฉันเริ่มกดดันเขาเรื่องแต่งงานเขาเลยต้องสารภาพกับเมียพยาบาล และเมียพยาบาลก็บอกว่า จะจัดการเอง เขาไม่ต้องทำอะไร และตั้งแต่ฉันเขาก็ไม่กล้าคุยไม่เจอกล้าเจอไม่กล้าติดต่อกับฉันอีก นี่คือเรื่องที่เขาเล่า

>>>>>>> มีต่อค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่