สวัสดีครับพี่ๆน้องๆชาวพันทิพ ตัวผมเองเข้ามาเสพย์กระทู้ในนี้มากว่า สิบปีแล้ว แต่ไม่เคยได้มีโอกาสตั้งกระทู้กับเค้าซะที วันนี้ได้ฤกษ์คิดว่า ถึงเวลาที่เราต้องแชร์อะไรกับคืนสู่พันทิพบ้างแล้ว
สืบเนื่องจากปีก่อน ทางบ้านได้ส่งตัวผมมายังอังกฤษ เพื่อเพิ่มทักษะทางภาษา ซึ่งตามจริงแล้ว จขกท.เอง ก็ยังถือว่า "กาก" อยู่เลยในตอนนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมามันก็เยอะแยะมากมายเหมือนกัน เป็นเวลากว่า7เดือนที่จขกท. วนเวียนอยู่ในแดนผู้ดี ในระหว่างที่ศึกษา ผมได้ท่องเที่ยวในอังกฤษไปเยอะพอสมควรจึงได้อยากแชร์ ทั้งข้อมูล และรูปภาพต่างๆ ที่ตนได้เก็บรวบรวมมา สำหรับผู้ที่สนใจ ที่จะไปศึกษาต่อ หรือ ท่องเที่ยว ไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
ตัวจขกท.เอง ได้ไปอาศัยอยู่ที่เมือง Oxford ดูหรู ดูไฮโซ นะครับ แต่ที่จริงแล้ว ไม่มีปัญญาเข้า มหาลัยOxfordหรอกนะครับ 5555
แต่ได้ไปศึกษาโรงเรียนภาษาที่อยู่ที่เมืองนี้ตะหาก ซึ่งมีมากมาย หลายสิบโรงเรียน ซึ่งหลักสูตร กับ ราคาจะแตกต่างกันไป ขอไม่กล่าวถึงส่วนนี้มากเพราะอาจจะเหมือนการโฆษณาได้ครับ ซึ่งก่อนที่จะมาศึกษาได้ตัวผมได้ศึกษาหาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตอยู่นานพอสมควร และจึงเริ่มไปทำวีซ่าที่สถานฑูตอังกฤษที่ราชดำริ ใช้เวลาดำเนินเรื่องกว่า 2เดือน โดยที่มีพี่Agencyค่อยบริการอย่างดี ช่วงนั้นผมก็ต้องไปๆมาๆ กรุงเทพอยู่2-3ครั้ง กว่าเรื่องจะเข้าที่ หลังจากซื้อคอร์สเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินซะเลย ก็รอแค่วันไปครับ บินเดือนเมษาปีที่แล้ว
Oxford เป็นเมืองเก่าแก่มากของอังกฤษมีประวัติมายาวนาน ฉะนั้น สิ่งก่อสร้างเก่าๆ หรืออาคารเก่า เพียบครับ แทรกอยู่ร่วมกับสิ่งก่อสร้างใหม่ๆบางส่วนอาจารย์เล่าให้ฟังว่า Ford เป็นคำโบราณแปลว่า เมืองที่มีแม่น้ำผ่ากลาง แล้วมีสะพานข้ามฟาก2ฟาก ทุกเมืองที่มีลักษณะนี้มาตั้งแต่โบราณจะเติมFordลงไป หลังลักษณะเด่นของเมือง เช่นOxford เพราะสมัยก่อนเมืองนี้เลี้ยงวัวมากมายนั่นเองและมีแม่น้ำเทมส์ไหลผ่านเมือง
ลักษณะเมือง จะเป็นเมืองที่มีมหาลัย อยู่ร่วมกับบ้านคนทั่วๆไปครับ ถ้างง ลองมโนตามนะครับ เป็นเมืองใหญ่ๆเมืองนึง ที่มีวิทยาลัย หรือ College ต่างๆ แทรกอยู่ตามเมือง โดยที่แต่ล่ะวิทยาลัย ก็จะมีพื้นที่ หรือบริเวณเป็นของตัวเองภายใน แยกออกจากวิทยาลัยอื่นๆ
Oxford มีกลางเมืองคือถนน Cornmarket street จะมีร้านรวงต่างๆมากมาย และคนพลุ่กพล่านโดยเฉพาะเย็นๆหลังเลิกงาน กับ ช่วงค่ำๆกำลังออกไปปาร์ตี้กัน
แถวๆนั้นจะมีตลาดครับ เรียกกันว่า Covered market เป็นตลาดในร่มที่เก่าแก่ ถึงขนาดเป็น Historic market เลยทีเดียวลักษณะ ก็จะเป็นทางยาวๆ3แถว พร้อมร้านรวงจำนวนนึงไม่มากไม่มายเท่าไหร่ ขายทุกอย่างตั้งแต่เนื้อสด ร้านเค้ก ร้านกิ๊ฟช็อป ร้านคาเฟ่นั่งชิว เรียกได้ว่าถ้ามาเทียบกับตลาดสดบ้านเรานี่ บ้านเรากินขาดเรื่องจำนวนร้านแน่ๆครับ แต่บ้านเค้าจะดูดี ดูสะอาดมากกว่าเยอะ
ที่นี่มักจะเห็นHomeless หรือ คนพเนจร (จรจัด) พอสมควร โดยเค้าจะนอนกันตามพื้น และมีหมาให้1ตัว Hostบอกว่า รัฐบาลให้หมาไว้เพราะจะได้ไม่เหงา เออ มีงี้ด้วยแหะ หลายคนอาจจะสงสัย แล้วค่าอาหารล่ะ? รัฐบาลจ่ายให้ครับ คนอังกฤษถึงได้บ่นกันมากถึงภาษีที่เรียกได้ว่าขูดกันเลือดท่วมเลย ไม่ใช่แค่เลือดซิบ
Oxford จะมีโซนนึงที่เป็นโซนที่อยู่อาศัย คือถนนCowley Road แยกตัวออกมาจากฝั่งมหาวิทยาลัยภายในเมือง โดยจะมีร้านค้า และบ้านคนจำนวนมากมาย ทอดยาวไปตลอด2ฝั่ง ร้านสะดวกซื้อเช่น tesco อยู่ในถนนเส้นนี้แหละครับ อยากกินอะไรก็มาได้เลย ปิดดึกพอสมควรประมาณ4-5ทุ่ม ถ้าออกมาไหวนะครับ เพราะมันหนาวอิ๋บอ๋ายยยย
สวนสาธารณะ หรือ Park ที่นี่จะเยอะครับ เรียกได้ว่าชาวบริชติชส่วนใหญ่ ถ้าเกิดว่าวันไหนแดดดี แดดออก จะเจอ "พวกบ้าแดด" เพียบครับ นอนกันกลางสนามยังงั้นเลย เพื่อรับไอแดด เคยยืนคุยกับเพื่อนฝรั่ง ในร่มแล้วแดดออก พี่แกก็บอกว่า ทำไมมาคุยกันในร้านล่ะ ออกไปคุยกันตรงแดดดีกว่า คนไทยถึงกับไปไม่ถูกครับ บ้านเรามีแต่หลบแดด นี่ชวนออกไปคุยกันตรงแดด พี่ไทยไม่เข้าใจ ส่วนParkชื่อดังของที่นี่คือ Christchurch Meadows จะมีสวนบริเวณกว้างมาก แซมด้วยโบสถ์ Christchurch เก๋ๆประดับไว้ แต่จขกท. ไปทีไร ฝนตกหรือฟ้ามืดตลอด เลยไม่ได้พกกล้องDslrไป ใช้แต่กล้องมือถือถ่าย
ส่วนอันนี้พอดีพกกล้องไปแถมฟ้าได้พอดี ก็เลยแชะ จากบนชั้น2ของรถบัสครับ
หลังจากพูดเกี่ยวกับเมืองมาพอสมควรแล้ว ลองมาพูดเรื่อง ความเป็นอยู่ของจขกท. มั่งดีกว่า
วันแรกหลังจากที่ถึงสนามบินที่Heathrow airport ที่ลอนดอน พอลงจากเครื่องปุ๊บ จขกท. อุทานทันทีเลยว่า
"น่ะ.....หนาว"
คือมันหนาวถึงใจจริงๆ แบบที่อยู่ไทยก็ไม่เคยเจอแบบนี้ แถมลมนรก ก็ตีหน้าจขกท.ซะ ปวดร้าวสุดๆ นี่มันลมนรกชัดๆ แถมมีละอองฝนปอยๆอีก อากาศเลวร้ายแบบที่ไม่คาดคิดเลย
เดินมาสักพักเจอคนขับแท็กซี่ ที่เราจองไว้จากไทย แนะนำตัวกันสักพักนึงเค้าก็นำเราไปที่รถ และพาเราไปส่งที่บ้านHost Family ก็เลยลองถามเค้าว่าตอนนี้ อุณหภูมิเท่าไหร่ พี่คนขับก็ เลยหันมาตอบว่า
พี่คนขับ "ทู"
จขกท. อุทาน "ห่ะ?" (ฆ่าตูเหอะ) นี่มันเดือนเมษานะ แล้วถ้าหน้าหนาวมันจะขนาดไหนวะเนี่ยยยยยย~
สรุปคืนนั้น ปิดตัวลงที่ -4 หนาวไปถึงกระดูก
วันแรกไปถึงบ้านHost ก็แนะนำตัวกันสักพัก เราบอกชื่อไทยไป ถึงกับใบ้กันเลย ก็เลยบอกว่า โอเค งั้น คอล มี อเล็กซ์ แล้วกัน
ผมก็เลยต้องเป็น อเล็กซ์ไปอีก7เดือนหลังจากนั้น 5555
Hostพาไปดูห้องครับ ความรู้สึกแรกคือ เงิบ.....
ลายผ้าปู....... แบบว่า ผ้าถุงคุณยายชัดๆ ห้องก็เล็กถึงขนาดที่เรียกว่า แค่พอนอนจริงๆ
อีกวันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ เริ่มเรียนวันจันทร์ ผมก็ไปเดินดูเมืองเล่นๆ ก็เห็นตึกรามบ้านช่องต่างๆเยอะแยะดีแฮะวิวสวยๆเยอะมากคิดไว้ว่าต้องมาถ่ายรูปไว้ให้ได้เลย แต่เอาเข้าจริงๆ ฝนตกบ่อย แถมฟ้าก็ครึ้มหนัก ผมก็เลยไม่ค่อยได้หยิบกล้องออกมาซะงั้น เพราะขี้เกียจ รูปส่วนใหญ่จึงอยู่ในโทรศัพท์มือถือซึ่งมันก็ได้ลาโลกไปเรียบร้อย ทำให้ภาพของเมืองมากมายที่ไม่สามารถนำมาโพสได้ เสียดายมากครับ
วันต่อมาาาา เปิดเรียนวันแรก ไปถึงที่เรียนปุ๊บ ก็มีการสอบเพื่อวัดระดับก่อน ว่าจะส่งเราไปที่ระดับไหน แล้วจะมีการสอบทุกวันจันทร์คาบเช้า เพื่อวัดระดับนักเรียน ถ้าคนไหนทำคะแนนดี ในชั้นเรียนสนใจ พูดได้คล่องขึ้น สำเนียงดีขึ้น ก็จะได้เลื่อนขั้นไปสู่เลเวลถัดไป ที่โรงเรียนจขกท. มี8ระดับครับ ถึงจขกท. กดไปเต็มข้อที่ ระดับ3 ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นะครับ 5555
หลังจากเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนๆนักเรียนต่างชาติอื่นๆแล้ว เพื่อนคนนึงก็เสนอ โบรชัวร์ Uk Trip มา ซึ่งจะเป็น Trip ในวันเสาร์อาทิตย์ สำหรับไปเที่ยวในที่ต่างๆกับทางโรงเรียน แน่นอนว่ามีการเก็บเพิ่ม ถ้าไปเองได้จะประหยัดกว่า ตอนนั้น จขกท. ยังไม่แก่กล้าเท่าไหร่ก็เลยยอมๆไปก่อน หลังๆ ลุยเองหมดครับ ของเริ่มจะแรง 5555
กลับมาที่Uk trip วันนั้นผมก็เลือกไปStonehenge ในวันเสาร์หน้า ก่อนเลยครับ คือส่วนตัวชอบของโบราณ ประวัติศาสตร์ต่างๆอยู่แล้ว อยากเห็นไอกองหินนี้มาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเลือกแบบไม่รีรอเลย ระหว่างทางเราก็ชมวิวไปเรื่อย
มาทำความรู้จักกับ สโตนเฮนจ์ กันก่อน เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วงตั้งอยู่กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบ Salisbury Plain อ่านว่า "ซอลส์บรี" นะครับ ไม่ใช่ "ซาลิสบิวรี่" เพราะอะไรผมก็ไม่ทราบได้
มาถึงที่ปุ๊บ ผมลงจากรถปั๊บ เงิบครับ ฝนทำท่าจะตก T T แต่ไม่ผมรีรอแล้ว เดินไปตรงที่ขายตั๋ว เอ๊ะ หลายคนอาจจะสงสัย มันตั้งอยู่กลางทุ่ง ไม่ได้ดูฟรีๆเหรอ? ไม่ได้ดูฟรีๆนะครับ ที่อังกฤษ อะไรที่เป็นของเก่า ของโบราณ ของอนุรักษ์ ไม่พ้นต้องเสียเงิน แถมไม่ใช่ถูกๆ อย่างสโตนเฮนจ์นี่ก็ 7.25ปอนด์ X 46 บาทไทย ในตอนนั้น ทำเอา จขกท. เงิบรอบสองไปเลย แต่ก็โอเค เอาวะ ไหนๆมาถึงแล้ว ลุยยยยย~
ฟ้ามืดมาก แถมฝนปอยๆ พร้อมลมแรงๆ ผมเลยจัดเป็นขาวดำซะเลย เพื่อกลบเกลื่อนสภาพอากาศที่เลวร้าย
จบทริปนั้นโอเคครับ สบายใจได้เห็นของจริงละ ได้ถ่ายรูปด้วย ผมฟิน แต่เหมือนเพื่อนต่างชาติจะไม่ฟิน บ่นงึมงำๆ 5555
กลับมาที่อาหารการกินกันบ้าง ก่อนไป ผมนึกว่าจะได้ฟาด English breakfast ทุกวัน แต่ที่ไหนได้ ซีเรียลกับขนมปังปิ้งทุกเช้า เอาซะจนผมบอกHostว่า พอเหอะครับ เอาผลไม้วางไว้ก็พอ ที่เหลือผมจัดการต่อเอง แต่เพราะราคาอาหารที่ค่อนข้างสูง ทำให้ จขกท. ก็ต้องซื้อแซนวิชแบบต่างๆ เคบับ พานินี่ ซึ่งราคาเป็นเงินไทยก็ ราวๆ 150 - 200 บาท แล้วแต่ชนิด (ไม่ได้ดูผิดนะครับ แซนวิชชิ้นละ 150 หรือ 3ปอนด์ นี่ถือว่าพื้นๆเลย ถูกกว่านั้นก็มีแต่หายากมาก) ส่วนมื้อกลางวันหากินเอง มื้อเย็น Hostจะเตรียมไว้ให้แล้วแต่วัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็น มันบดยืนพื้นครับ ที่เหลือแล้วแต่อารมณ์เจ้าบ้าน
ส่วนEnglish breakfast มีบริการครับ แต่ราคาก็สูงมาก 6-10 ปอนด์ แล้วแต่ร้าน ของหลักๆในเมนูก็จะมีไข่เลือกได้ว่าจะเอาไข่ดาวหรือไข่คน เบค่อน ไส้กรอก ถั่ว ขนมปัง2แผ่น แฮชบราวด์หรือก็คือมันฝรั่งเอาไปบดแบบหยาบๆมาอัดเป็นชิ้นๆ ชุบเกล็ดขนมปังทอด เห็ดต้ม1กอง ประมาณในรูปนี้ครับราคาก็8.25ปอนด์
อาหารขึ้นชื่อที่นี่ ที่ดังไปทั่วโลกคือ Fish and Chips ซึ่งหน้าตาจะเป็นยังงี้ครับ
บางทีผมก็เรียก ชิทแอนด์

) 5555 เนื่องด้วยมันเป็นอาหารที่แต่ล่ะร้านทำมีความแตกต่างสูงมาก คือถ้าเจอร้านที่อร่อยก็อร่อยเลยนะครับ ปลาสด แป้งบางกรอบ มันฝรั่งทอดหอมมาก แล้วมันจะไม่กรอบแบบเฟรนฟรายด์ ข้างนอกจากกรอบแต่ข้างในจะเหนียวๆนุ่มๆหน่อย ถ้าเจอร้านแย่ๆก็จะปลาไม่สด แป้งหนา น้ำมันเยิ้มมมมจนเลี่ยน เป็นอาหารเบสิคที่สามารถหาได้ทุกที่ ตามผับในประเทศอังกฤษ เพราะที่นี่ผับคือร้านที่มีอาหารและเครื่องดื่มบริการตลอดเช้าถึงกลางคืน ไม่เหมือนบ้านเราที่พูดถึงผับจะรวมถึงร้านเหล้าสำหรับแด๊นซ์เข้าไปด้วย
ส่วนอาหารที่ผมมักจะไปสั่งเวลาไปผับ คือแกมม่อน สเต๊คครับ คือสเต๊คหมูหมักเกลือกธรรมดานี่แหละ แต่จะเค็มมากๆ พอดีว่าชอบกินเค็มน่ะครับ เลยถูกใจ
จบแล้วครับ เป็นประสบการณ์คร่าวๆ ที่เมืองOxford คราวหน้าจะพาไปเที่ยวที่ต่างๆของอังกฤษนะครับ ขอบคุณที่ตามมาจนจบ
กลับมาใหม่เพื่อฝากลิ้งแฟนเพจครับ
https://www.facebook.com/hitmyfeel คริคริ
##* Diaryเรื่อยๆเปื่อยๆของเด็กนอก ณ อิงแลนด์ * ##
สืบเนื่องจากปีก่อน ทางบ้านได้ส่งตัวผมมายังอังกฤษ เพื่อเพิ่มทักษะทางภาษา ซึ่งตามจริงแล้ว จขกท.เอง ก็ยังถือว่า "กาก" อยู่เลยในตอนนี้ แต่สิ่งที่ได้กลับมามันก็เยอะแยะมากมายเหมือนกัน เป็นเวลากว่า7เดือนที่จขกท. วนเวียนอยู่ในแดนผู้ดี ในระหว่างที่ศึกษา ผมได้ท่องเที่ยวในอังกฤษไปเยอะพอสมควรจึงได้อยากแชร์ ทั้งข้อมูล และรูปภาพต่างๆ ที่ตนได้เก็บรวบรวมมา สำหรับผู้ที่สนใจ ที่จะไปศึกษาต่อ หรือ ท่องเที่ยว ไปเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
ตัวจขกท.เอง ได้ไปอาศัยอยู่ที่เมือง Oxford ดูหรู ดูไฮโซ นะครับ แต่ที่จริงแล้ว ไม่มีปัญญาเข้า มหาลัยOxfordหรอกนะครับ 5555
แต่ได้ไปศึกษาโรงเรียนภาษาที่อยู่ที่เมืองนี้ตะหาก ซึ่งมีมากมาย หลายสิบโรงเรียน ซึ่งหลักสูตร กับ ราคาจะแตกต่างกันไป ขอไม่กล่าวถึงส่วนนี้มากเพราะอาจจะเหมือนการโฆษณาได้ครับ ซึ่งก่อนที่จะมาศึกษาได้ตัวผมได้ศึกษาหาข้อมูลจากทางอินเตอร์เน็ตอยู่นานพอสมควร และจึงเริ่มไปทำวีซ่าที่สถานฑูตอังกฤษที่ราชดำริ ใช้เวลาดำเนินเรื่องกว่า 2เดือน โดยที่มีพี่Agencyค่อยบริการอย่างดี ช่วงนั้นผมก็ต้องไปๆมาๆ กรุงเทพอยู่2-3ครั้ง กว่าเรื่องจะเข้าที่ หลังจากซื้อคอร์สเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็จัดการจองตั๋วเครื่องบินซะเลย ก็รอแค่วันไปครับ บินเดือนเมษาปีที่แล้ว
Oxford เป็นเมืองเก่าแก่มากของอังกฤษมีประวัติมายาวนาน ฉะนั้น สิ่งก่อสร้างเก่าๆ หรืออาคารเก่า เพียบครับ แทรกอยู่ร่วมกับสิ่งก่อสร้างใหม่ๆบางส่วนอาจารย์เล่าให้ฟังว่า Ford เป็นคำโบราณแปลว่า เมืองที่มีแม่น้ำผ่ากลาง แล้วมีสะพานข้ามฟาก2ฟาก ทุกเมืองที่มีลักษณะนี้มาตั้งแต่โบราณจะเติมFordลงไป หลังลักษณะเด่นของเมือง เช่นOxford เพราะสมัยก่อนเมืองนี้เลี้ยงวัวมากมายนั่นเองและมีแม่น้ำเทมส์ไหลผ่านเมือง
ลักษณะเมือง จะเป็นเมืองที่มีมหาลัย อยู่ร่วมกับบ้านคนทั่วๆไปครับ ถ้างง ลองมโนตามนะครับ เป็นเมืองใหญ่ๆเมืองนึง ที่มีวิทยาลัย หรือ College ต่างๆ แทรกอยู่ตามเมือง โดยที่แต่ล่ะวิทยาลัย ก็จะมีพื้นที่ หรือบริเวณเป็นของตัวเองภายใน แยกออกจากวิทยาลัยอื่นๆ
Oxford มีกลางเมืองคือถนน Cornmarket street จะมีร้านรวงต่างๆมากมาย และคนพลุ่กพล่านโดยเฉพาะเย็นๆหลังเลิกงาน กับ ช่วงค่ำๆกำลังออกไปปาร์ตี้กัน
แถวๆนั้นจะมีตลาดครับ เรียกกันว่า Covered market เป็นตลาดในร่มที่เก่าแก่ ถึงขนาดเป็น Historic market เลยทีเดียวลักษณะ ก็จะเป็นทางยาวๆ3แถว พร้อมร้านรวงจำนวนนึงไม่มากไม่มายเท่าไหร่ ขายทุกอย่างตั้งแต่เนื้อสด ร้านเค้ก ร้านกิ๊ฟช็อป ร้านคาเฟ่นั่งชิว เรียกได้ว่าถ้ามาเทียบกับตลาดสดบ้านเรานี่ บ้านเรากินขาดเรื่องจำนวนร้านแน่ๆครับ แต่บ้านเค้าจะดูดี ดูสะอาดมากกว่าเยอะ
ที่นี่มักจะเห็นHomeless หรือ คนพเนจร (จรจัด) พอสมควร โดยเค้าจะนอนกันตามพื้น และมีหมาให้1ตัว Hostบอกว่า รัฐบาลให้หมาไว้เพราะจะได้ไม่เหงา เออ มีงี้ด้วยแหะ หลายคนอาจจะสงสัย แล้วค่าอาหารล่ะ? รัฐบาลจ่ายให้ครับ คนอังกฤษถึงได้บ่นกันมากถึงภาษีที่เรียกได้ว่าขูดกันเลือดท่วมเลย ไม่ใช่แค่เลือดซิบ
Oxford จะมีโซนนึงที่เป็นโซนที่อยู่อาศัย คือถนนCowley Road แยกตัวออกมาจากฝั่งมหาวิทยาลัยภายในเมือง โดยจะมีร้านค้า และบ้านคนจำนวนมากมาย ทอดยาวไปตลอด2ฝั่ง ร้านสะดวกซื้อเช่น tesco อยู่ในถนนเส้นนี้แหละครับ อยากกินอะไรก็มาได้เลย ปิดดึกพอสมควรประมาณ4-5ทุ่ม ถ้าออกมาไหวนะครับ เพราะมันหนาวอิ๋บอ๋ายยยย
สวนสาธารณะ หรือ Park ที่นี่จะเยอะครับ เรียกได้ว่าชาวบริชติชส่วนใหญ่ ถ้าเกิดว่าวันไหนแดดดี แดดออก จะเจอ "พวกบ้าแดด" เพียบครับ นอนกันกลางสนามยังงั้นเลย เพื่อรับไอแดด เคยยืนคุยกับเพื่อนฝรั่ง ในร่มแล้วแดดออก พี่แกก็บอกว่า ทำไมมาคุยกันในร้านล่ะ ออกไปคุยกันตรงแดดดีกว่า คนไทยถึงกับไปไม่ถูกครับ บ้านเรามีแต่หลบแดด นี่ชวนออกไปคุยกันตรงแดด พี่ไทยไม่เข้าใจ ส่วนParkชื่อดังของที่นี่คือ Christchurch Meadows จะมีสวนบริเวณกว้างมาก แซมด้วยโบสถ์ Christchurch เก๋ๆประดับไว้ แต่จขกท. ไปทีไร ฝนตกหรือฟ้ามืดตลอด เลยไม่ได้พกกล้องDslrไป ใช้แต่กล้องมือถือถ่าย
ส่วนอันนี้พอดีพกกล้องไปแถมฟ้าได้พอดี ก็เลยแชะ จากบนชั้น2ของรถบัสครับ
หลังจากพูดเกี่ยวกับเมืองมาพอสมควรแล้ว ลองมาพูดเรื่อง ความเป็นอยู่ของจขกท. มั่งดีกว่า
วันแรกหลังจากที่ถึงสนามบินที่Heathrow airport ที่ลอนดอน พอลงจากเครื่องปุ๊บ จขกท. อุทานทันทีเลยว่า
"น่ะ.....หนาว"
คือมันหนาวถึงใจจริงๆ แบบที่อยู่ไทยก็ไม่เคยเจอแบบนี้ แถมลมนรก ก็ตีหน้าจขกท.ซะ ปวดร้าวสุดๆ นี่มันลมนรกชัดๆ แถมมีละอองฝนปอยๆอีก อากาศเลวร้ายแบบที่ไม่คาดคิดเลย
เดินมาสักพักเจอคนขับแท็กซี่ ที่เราจองไว้จากไทย แนะนำตัวกันสักพักนึงเค้าก็นำเราไปที่รถ และพาเราไปส่งที่บ้านHost Family ก็เลยลองถามเค้าว่าตอนนี้ อุณหภูมิเท่าไหร่ พี่คนขับก็ เลยหันมาตอบว่า
พี่คนขับ "ทู"
จขกท. อุทาน "ห่ะ?" (ฆ่าตูเหอะ) นี่มันเดือนเมษานะ แล้วถ้าหน้าหนาวมันจะขนาดไหนวะเนี่ยยยยยย~
สรุปคืนนั้น ปิดตัวลงที่ -4 หนาวไปถึงกระดูก
วันแรกไปถึงบ้านHost ก็แนะนำตัวกันสักพัก เราบอกชื่อไทยไป ถึงกับใบ้กันเลย ก็เลยบอกว่า โอเค งั้น คอล มี อเล็กซ์ แล้วกัน
ผมก็เลยต้องเป็น อเล็กซ์ไปอีก7เดือนหลังจากนั้น 5555
Hostพาไปดูห้องครับ ความรู้สึกแรกคือ เงิบ.....
ลายผ้าปู....... แบบว่า ผ้าถุงคุณยายชัดๆ ห้องก็เล็กถึงขนาดที่เรียกว่า แค่พอนอนจริงๆ
อีกวันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ เริ่มเรียนวันจันทร์ ผมก็ไปเดินดูเมืองเล่นๆ ก็เห็นตึกรามบ้านช่องต่างๆเยอะแยะดีแฮะวิวสวยๆเยอะมากคิดไว้ว่าต้องมาถ่ายรูปไว้ให้ได้เลย แต่เอาเข้าจริงๆ ฝนตกบ่อย แถมฟ้าก็ครึ้มหนัก ผมก็เลยไม่ค่อยได้หยิบกล้องออกมาซะงั้น เพราะขี้เกียจ รูปส่วนใหญ่จึงอยู่ในโทรศัพท์มือถือซึ่งมันก็ได้ลาโลกไปเรียบร้อย ทำให้ภาพของเมืองมากมายที่ไม่สามารถนำมาโพสได้ เสียดายมากครับ
วันต่อมาาาา เปิดเรียนวันแรก ไปถึงที่เรียนปุ๊บ ก็มีการสอบเพื่อวัดระดับก่อน ว่าจะส่งเราไปที่ระดับไหน แล้วจะมีการสอบทุกวันจันทร์คาบเช้า เพื่อวัดระดับนักเรียน ถ้าคนไหนทำคะแนนดี ในชั้นเรียนสนใจ พูดได้คล่องขึ้น สำเนียงดีขึ้น ก็จะได้เลื่อนขั้นไปสู่เลเวลถัดไป ที่โรงเรียนจขกท. มี8ระดับครับ ถึงจขกท. กดไปเต็มข้อที่ ระดับ3 ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นะครับ 5555
หลังจากเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนๆนักเรียนต่างชาติอื่นๆแล้ว เพื่อนคนนึงก็เสนอ โบรชัวร์ Uk Trip มา ซึ่งจะเป็น Trip ในวันเสาร์อาทิตย์ สำหรับไปเที่ยวในที่ต่างๆกับทางโรงเรียน แน่นอนว่ามีการเก็บเพิ่ม ถ้าไปเองได้จะประหยัดกว่า ตอนนั้น จขกท. ยังไม่แก่กล้าเท่าไหร่ก็เลยยอมๆไปก่อน หลังๆ ลุยเองหมดครับ ของเริ่มจะแรง 5555
กลับมาที่Uk trip วันนั้นผมก็เลือกไปStonehenge ในวันเสาร์หน้า ก่อนเลยครับ คือส่วนตัวชอบของโบราณ ประวัติศาสตร์ต่างๆอยู่แล้ว อยากเห็นไอกองหินนี้มาตั้งแต่เด็ก ก็เลยเลือกแบบไม่รีรอเลย ระหว่างทางเราก็ชมวิวไปเรื่อย
มาทำความรู้จักกับ สโตนเฮนจ์ กันก่อน เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ในบริเวณตอนใต้ของเกาะอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วงตั้งอยู่กลางทุ่งราบกว้างใหญ่บนที่ราบ Salisbury Plain อ่านว่า "ซอลส์บรี" นะครับ ไม่ใช่ "ซาลิสบิวรี่" เพราะอะไรผมก็ไม่ทราบได้
มาถึงที่ปุ๊บ ผมลงจากรถปั๊บ เงิบครับ ฝนทำท่าจะตก T T แต่ไม่ผมรีรอแล้ว เดินไปตรงที่ขายตั๋ว เอ๊ะ หลายคนอาจจะสงสัย มันตั้งอยู่กลางทุ่ง ไม่ได้ดูฟรีๆเหรอ? ไม่ได้ดูฟรีๆนะครับ ที่อังกฤษ อะไรที่เป็นของเก่า ของโบราณ ของอนุรักษ์ ไม่พ้นต้องเสียเงิน แถมไม่ใช่ถูกๆ อย่างสโตนเฮนจ์นี่ก็ 7.25ปอนด์ X 46 บาทไทย ในตอนนั้น ทำเอา จขกท. เงิบรอบสองไปเลย แต่ก็โอเค เอาวะ ไหนๆมาถึงแล้ว ลุยยยยย~
ฟ้ามืดมาก แถมฝนปอยๆ พร้อมลมแรงๆ ผมเลยจัดเป็นขาวดำซะเลย เพื่อกลบเกลื่อนสภาพอากาศที่เลวร้าย
จบทริปนั้นโอเคครับ สบายใจได้เห็นของจริงละ ได้ถ่ายรูปด้วย ผมฟิน แต่เหมือนเพื่อนต่างชาติจะไม่ฟิน บ่นงึมงำๆ 5555
กลับมาที่อาหารการกินกันบ้าง ก่อนไป ผมนึกว่าจะได้ฟาด English breakfast ทุกวัน แต่ที่ไหนได้ ซีเรียลกับขนมปังปิ้งทุกเช้า เอาซะจนผมบอกHostว่า พอเหอะครับ เอาผลไม้วางไว้ก็พอ ที่เหลือผมจัดการต่อเอง แต่เพราะราคาอาหารที่ค่อนข้างสูง ทำให้ จขกท. ก็ต้องซื้อแซนวิชแบบต่างๆ เคบับ พานินี่ ซึ่งราคาเป็นเงินไทยก็ ราวๆ 150 - 200 บาท แล้วแต่ชนิด (ไม่ได้ดูผิดนะครับ แซนวิชชิ้นละ 150 หรือ 3ปอนด์ นี่ถือว่าพื้นๆเลย ถูกกว่านั้นก็มีแต่หายากมาก) ส่วนมื้อกลางวันหากินเอง มื้อเย็น Hostจะเตรียมไว้ให้แล้วแต่วัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็น มันบดยืนพื้นครับ ที่เหลือแล้วแต่อารมณ์เจ้าบ้าน
ส่วนEnglish breakfast มีบริการครับ แต่ราคาก็สูงมาก 6-10 ปอนด์ แล้วแต่ร้าน ของหลักๆในเมนูก็จะมีไข่เลือกได้ว่าจะเอาไข่ดาวหรือไข่คน เบค่อน ไส้กรอก ถั่ว ขนมปัง2แผ่น แฮชบราวด์หรือก็คือมันฝรั่งเอาไปบดแบบหยาบๆมาอัดเป็นชิ้นๆ ชุบเกล็ดขนมปังทอด เห็ดต้ม1กอง ประมาณในรูปนี้ครับราคาก็8.25ปอนด์
อาหารขึ้นชื่อที่นี่ ที่ดังไปทั่วโลกคือ Fish and Chips ซึ่งหน้าตาจะเป็นยังงี้ครับ
บางทีผมก็เรียก ชิทแอนด์
ส่วนอาหารที่ผมมักจะไปสั่งเวลาไปผับ คือแกมม่อน สเต๊คครับ คือสเต๊คหมูหมักเกลือกธรรมดานี่แหละ แต่จะเค็มมากๆ พอดีว่าชอบกินเค็มน่ะครับ เลยถูกใจ
จบแล้วครับ เป็นประสบการณ์คร่าวๆ ที่เมืองOxford คราวหน้าจะพาไปเที่ยวที่ต่างๆของอังกฤษนะครับ ขอบคุณที่ตามมาจนจบ
กลับมาใหม่เพื่อฝากลิ้งแฟนเพจครับ https://www.facebook.com/hitmyfeel คริคริ