เมื่อทูตตะวันตกแยกการเมือง จากการค้าการลงทุนกับไทย

กระทู้ข่าว


นี่ดูเหมือนจะแยกการเมืองการทหาร ออกจากเศรษฐกิจและการค้าอย่างชัดเจน

เป็นท่าทีที่น่าวิเคราะห์ว่า การแยกแยะระหว่างการเมืองกับเศรษฐกิจ เป็นส่วนหนึ่งของการทูตในยุคใหม่นี้หรืออย่างไร

เพราะในอดีตนั้น วิธีการกดดัน และ “ลงโทษ” ของรัฐบาลตะวันตกต่อประเทศกำลังพัฒนา เมื่อไม่ชอบแนวทางการเมืองหรือการทหารของประเทศนั้นก็จะมีการ “คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและสังคม” ตามมาด้วย

นั่นคือเมื่อไม่ยอมรับวิธีการทางการเมืองการทหารของประเทศไหน ก็จะไม่คบค้า ไม่ร่วมสังฆกรรมด้านอื่น ๆ ทั้งหมด ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายไม่ว่าจะเป็นคิวบา, พม่า, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ และอีกหลายประเทศในตะวันออกกลาง, แอฟริกา, อเมริกาใต้ และเอเชีย

แต่กรณีของประเทศไทยครั้งนี้มีความแปลกและแตกต่างออกไป

เพราะแถลงการณ์ต้น ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป ทันทีที่เกิดรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พ.ค.นั้น มีน้ำเสียงและท่าทีที่แข็งกร้าวอย่างยิ่ง นอกจากจะประกาศตัดความช่วยเหลือทางทหาร และการเยี่ยมเยือนของระดับสูงทางทหารแล้ว ก็ยังเหมือนจะตามมาด้วยการกดดันทางการค้าการลงทุน และการเดินทางของคนของเขามาประเทศไทย

แต่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้ยินได้ฟัง คำให้สัมภาษณ์ของทูตจากประเทศตะวันตก ที่พยายามจะยืนยันว่าความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนยังเหนียวแน่น เหมือนเดิมทุกประการ และกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเยี่ยมเยือนของนักธุรกิจนักลงทุนทั้งหลายของเขาก็ยังเดินหน้าตามปกติ

ผมได้ยินท่านเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำไทย คุณรอล์ฟ ซูลเซ ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุแห่งหนึ่งยืนยันนั่งยันว่า การไปมาหาสู่กันเรื่องเศรษฐกิจและการลงทุน ระหว่างเยอรมันกับไทยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

และไม่มีน้ำเสียงห้อยท้ายตำหนิเรื่องรัฐประหาร หรือ Roadmap ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติเหมือนในช่วงแรก ๆ

เอกอัครราชทูตสหรัฐฯคริสตี้ เคนนีไปพบกับพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง ผู้ซึ่งเป็นรองประธาน คสช. ด้วยท่าทีสนิทสนมและประกาศว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศด้านเศรษฐกิจและการค้า ยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิม

อีกทั้งยังพร้อมจะเดินหน้าเรื่องเครื่องบินรบเอฟ-16 ที่ไทยซื้อจากสหรัฐฯ อย่างไม่มีอะไรติดขัด

ดูเหมือนท่านทูตจะบอกว่า กองทัพอากาศสหรัฐฯกับไทยยังคบหากันอย่างใกล้ชิดต่อไป

ฟังดูก็แปลกเพราะแถลงการณ์แรก ๆ ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯจากวอชิงตันหลังวันรัฐประหารนั้น ตอกย้ำเรื่องการตัดความช่วยเหลือทางทหาร ระงับการเยือนเจ้าหน้าที่ระดับสูงทางทหารของสองประเทศ และยังมีการเอ่ยถึงการซ้อมรบ Cobra Gold ซึ่งอาจจะต้องทบทวน

แต่ไฉนท่านทูตจึงพูดเรื่องเอฟ-16 (ตามคำแถลงของโฆษก คสช.) กับผู้บัญชาการทหารอากาศทั้ง ๆ ที่นั่นก็เป็นเรื่องความร่วมมือทางทหารอย่างชัดเจน

หรือเพราะเอฟ-16 ในสายตาสหรัฐฯเป็นเรื่อง “การค้าการขาย” มากกว่า “การทหาร” ก็ไม่อาจจะทราบได้

จุดยืนของสหรัฐฯ เรื่องอาวุธกับการเมืองในอดีตนั้น คือการจะไม่คบค้ากับประเทศที่มีรัฐประหารและระงับการขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ประเทศนั้น เพราะมีจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ทหารประเทศนั้น ๆ เอาอาวุธที่ซื้อจากสหรัฐฯไปก่อรัฐประหาร อันเป็นการทำลายประชาธิปไตย เพราะสหรัฐฯถือว่าอาวุธที่ขายให้ทหารประเทศใด ก็ต้องการให้ไปใช้เพื่อป้องกันประเทศเท่านั้น

แต่ในช่วงหลัง สหรัฐฯต้องการรายได้จากการส่งออกมากขึ้น และจะมีสินค้าออกอะไรทำรายได้เป็นกอบเป็นกำเท่ากับอาวุธราคาแพง ๆ ที่ประชาชนผู้เสียภาษีมักไม่ค่อยจะได้ข้อมูลที่เปิดเผยอย่างโปร่งใสเล่า?

เอกอัครราชทูตอังกฤษมาร์ค เคนท์ ก็ยืนยันกับผมว่าแม้ว่ารัฐบาลอังกฤษจะยังมี “ความกังวล” เกี่ยวกับรัฐประหารของไทย แต่ทางด้านการค้าและการลงทุนก็ยังคึกคักเหมือนเดิมต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เหตุผลประการแรกก็คือว่า เอกชนและนักธุรกิจของประเทศตะวันตกเหล่านั้นไม่ต้องการให้การติดต่อทางเศรษฐกิจกับไทยหยุดชะงัก และมองเห็นศักยภาพของไทยที่เหนือกว่าอีกหลายประเทศ ไม่ว่าการเมืองจะเจอปัญหาอะไรก็ตาม

อีกประการหนึ่ง ท่าทีของรัฐบาลตะวันตกที่แยกเรื่องรัฐประหารออกจากการค้าการขายนั้น อาจจะเป็นเพราะจีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, อาเซียนประกาศจุดยืนที่แตกต่างไปจากโลกตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด

นั่นคือแสดงความเห็นใจไทย และพร้อมจะแสดงความเข้าใจว่าไทยกำลังผ่านช่วงเวลาอันลำบาก จำเป็นต้องตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ยังเหมือนเดิม “ทุก ๆ ด้าน”

รัฐบาลตะวันตกคงอ่านออกว่า หากแข็งกร้าวต่อไทยในทุกด้าน ดุลแห่งอำนาจในเอเชียจะเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญได้ จึงจำเป็นต้องปรับท่าทีนั่นคือยัง “แสดงความกังวล” ต่อเรื่องรัฐประหาร และยังเรียกร้องให้ คสช. มีความชัดเจนใน Roadmap กลับสู่กระบวนการประชาธิปไตย แต่ก็ต้องแสดงความกระตือรือร้นในการรักษาความผูกพัน ด้านเศรษฐกิจการค้าและวัฒนธรรมอย่างคึกคัก

กลัวว่าหาไม่แล้ว โอกาสสำคัญจะหลุดลอยไป เพราะแม้จะมีปัญหาและอุปสรรคมาก แต่ประเทศไทยมีสถานภาพที่สำคัญในเวทีระหว่างประเทศไม่น้อย

และต้องไม่ลืมว่าขั้วอำนาจโลกวันนี้ ไม่ได้ถูกผูกขาดโดยโลกตะวันตกอีกต่อไปแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่