วันนี้ดูข่าวเย็นช่วงคุณสรยุทธ ครอบครัวกัลยาณพงศ์วอนขอภาพเขียนคุณอังคารคืน
มีลูกสาวคุณอังคารมาออก เธอบอกว่าภาพเขียนพวกนั้นลูกจ้างเป็นคนเอาไปขาย ระยะเวลาไม่ใช่น้อยๆ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำแล้วพวกคุณจับได้
แต่พวกคุณไม่แจ้งความ ไม่อยากให้เป็นคดี ไม่อยากให้ใครเสียประวัติ (อ้าว)
แต่คุณให้ตำรวจไปเจรจากับร้านที่ซื้อรูปไปว่าจะขอคืน
เจ้าของร้านบอกไม่คืนเพราะ เขาซื้อโดยสุจริต เงินก็ไม่ได้ให้ลูกจ้างคุณถือกลับ แต่โอนเข้าบัญชีแม่คุณ ลูกจ้างที่เอามาขาย ก็เป็นคนที่พ่อคุณใช้ให้มาติดต่อกับร้านเป็นประจำ เขาคิดว่าเป็นการทำธุรกิจตามปกติ
ฟังแล้วไม่เข้าใจ เจ้าของร้านผิดตรงไหน และคุณก็ไม่ยอมแจ้งความจับลูกจ้างคนที่คุณบอกว่าขโมยรูปมาขาย
ลูกสาวคุณอังคารบอกว่า เงินเข้าบัญชีแม่ก็จริง แต่ลูกจ้างเป็นคนเอาเอทีเอ็มไปเบิก เอทีเอ็มเขาก็ไม่ได้ขโมย แต่เป็นแม่คุณทำไว้ให้เขากด แล้วคนซื้อต้องตามไปรับผิดชอบกับการดูแล(ด้วยการไม่ดูแล)เงินในบัญชีของแม่คุณด้วยหรือ
อีกรายคนซื้อเขาไปถึงบ้าน คนในบ้านเป็นคนหยิบออกมาขาย เขาจะรู้ไหมว่าของโจร (และหลังจากรู้ เขาก็คืนให้ แต่คุณก็ไม่แจ้งความ)
คุณบอกว่าลูกจ้างคนนี้ทำมาหลายปี หลายครั้ง
ขายไปกี่รูป ไม่รู้
รูปอะไรบ้าง ไม่รู้
ขายให้ใครบ้าง ไม่รู้
คุณขอในรายการ ขอให้คนที่ซื้อไปรับรู้ว่าเขาได้ไปแบบผิดๆ ขอให้เอามาคืน คุณแม่อยากทำพิพิธภัณฑ์
แต่คุณไม่แจ้งความ ไม่อยากให้ลูกจ้างเสียประวัติ ผูกพันกันมานาน รักมาก (ย้ำ)
ถึงคุณจะใช้คำพูดว่าคนซื้อได้ไปด้วยวิธีที่ผิด มันก็แปลว่าซื้อของโจรนั่นแหละ แต่ก่อนที่คุณจะกล่าวหาใครด้วยข้อหานี้ มันต้องมีโจรก่อนนะ
ด้วยความเคารพ
ปล. ถึงคุณสรยุทธ ด้วยศักยภาพของคุณ คุณเชิญผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมายมาให้ความรู้กับคนชมรายการได้นะ
ปล ถึงครอบครัวกัลยาณพงศ์ คุณอาจจะรักลูกจ้างคนนั้นเหมือนลูกเหมือนหลาน คุณอาจจะเลือกที่จะไม่เอาเรื่องได้ แต่นั่นแปลว่าคุณต้องยอมไม่เอาเรื่องได้จริงๆ ไม่ใช่ไม่ยอมแจ้งความจับโจร แต่มากล่าวหาว่าคนอื่นรับซื้อของโจร และมาขอของคืนโดยอาศัยกระแสสังคม (แม้กระทั่งคำว่าขอซื้อคืนยังไม่มี มีแต่ขอให้แสดงตัวมาคุยกัน)
ถ้าคุณต้องการกระแสสังคมช่วยคุณทวงของคืน คุณต้องแจ้งความก่อน
ครอบครัว "กัลยาณพงศ์" ดูข่าวแล้วไม่เข้าใจพวกคุณจริงๆ
มีลูกสาวคุณอังคารมาออก เธอบอกว่าภาพเขียนพวกนั้นลูกจ้างเป็นคนเอาไปขาย ระยะเวลาไม่ใช่น้อยๆ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำแล้วพวกคุณจับได้
แต่พวกคุณไม่แจ้งความ ไม่อยากให้เป็นคดี ไม่อยากให้ใครเสียประวัติ (อ้าว)
แต่คุณให้ตำรวจไปเจรจากับร้านที่ซื้อรูปไปว่าจะขอคืน
เจ้าของร้านบอกไม่คืนเพราะ เขาซื้อโดยสุจริต เงินก็ไม่ได้ให้ลูกจ้างคุณถือกลับ แต่โอนเข้าบัญชีแม่คุณ ลูกจ้างที่เอามาขาย ก็เป็นคนที่พ่อคุณใช้ให้มาติดต่อกับร้านเป็นประจำ เขาคิดว่าเป็นการทำธุรกิจตามปกติ
ฟังแล้วไม่เข้าใจ เจ้าของร้านผิดตรงไหน และคุณก็ไม่ยอมแจ้งความจับลูกจ้างคนที่คุณบอกว่าขโมยรูปมาขาย
ลูกสาวคุณอังคารบอกว่า เงินเข้าบัญชีแม่ก็จริง แต่ลูกจ้างเป็นคนเอาเอทีเอ็มไปเบิก เอทีเอ็มเขาก็ไม่ได้ขโมย แต่เป็นแม่คุณทำไว้ให้เขากด แล้วคนซื้อต้องตามไปรับผิดชอบกับการดูแล(ด้วยการไม่ดูแล)เงินในบัญชีของแม่คุณด้วยหรือ
อีกรายคนซื้อเขาไปถึงบ้าน คนในบ้านเป็นคนหยิบออกมาขาย เขาจะรู้ไหมว่าของโจร (และหลังจากรู้ เขาก็คืนให้ แต่คุณก็ไม่แจ้งความ)
คุณบอกว่าลูกจ้างคนนี้ทำมาหลายปี หลายครั้ง
ขายไปกี่รูป ไม่รู้
รูปอะไรบ้าง ไม่รู้
ขายให้ใครบ้าง ไม่รู้
คุณขอในรายการ ขอให้คนที่ซื้อไปรับรู้ว่าเขาได้ไปแบบผิดๆ ขอให้เอามาคืน คุณแม่อยากทำพิพิธภัณฑ์
แต่คุณไม่แจ้งความ ไม่อยากให้ลูกจ้างเสียประวัติ ผูกพันกันมานาน รักมาก (ย้ำ)
ถึงคุณจะใช้คำพูดว่าคนซื้อได้ไปด้วยวิธีที่ผิด มันก็แปลว่าซื้อของโจรนั่นแหละ แต่ก่อนที่คุณจะกล่าวหาใครด้วยข้อหานี้ มันต้องมีโจรก่อนนะ
ด้วยความเคารพ
ปล. ถึงคุณสรยุทธ ด้วยศักยภาพของคุณ คุณเชิญผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมายมาให้ความรู้กับคนชมรายการได้นะ
ปล ถึงครอบครัวกัลยาณพงศ์ คุณอาจจะรักลูกจ้างคนนั้นเหมือนลูกเหมือนหลาน คุณอาจจะเลือกที่จะไม่เอาเรื่องได้ แต่นั่นแปลว่าคุณต้องยอมไม่เอาเรื่องได้จริงๆ ไม่ใช่ไม่ยอมแจ้งความจับโจร แต่มากล่าวหาว่าคนอื่นรับซื้อของโจร และมาขอของคืนโดยอาศัยกระแสสังคม (แม้กระทั่งคำว่าขอซื้อคืนยังไม่มี มีแต่ขอให้แสดงตัวมาคุยกัน)
ถ้าคุณต้องการกระแสสังคมช่วยคุณทวงของคืน คุณต้องแจ้งความก่อน