Cr รูป - BBC Thai
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยหนิงฟู่ขุยได้มีบทความลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันเมื่อวันที่23 มิถุนายน ค.ศ.2014 แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้ น่านน้ำที่เวียดนามเรียกว่าทะเลตะวันออก ผมขอเพิ่มเติมข้อเท็จจริงบางประการให้กับผู้อ่านหนังสือพิมพ์มติชนเพื่อได้มีข้อมูลในการพิจารณาที่ครบถ้วนและชัดเจนมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับฝ่ายไหนกันแน่ที่ก่อปัญหาในทะเลจีนใต้?
ประการแรกผมพบว่าข้อมูลที่ท่านทูตหนิงได้กล่าวถึงในบทความที่ว่าเวียดนามก่อกวน การปฏิบัติงานของจีน ได้ถูกคัดลอกมาจากเอกสารบนเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนลงวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.2014 ผมยังพบว่า เอกสารฉบับนี้เช่นเดียวกับข้อมูลของจีนในการแถลงข่าวต่างๆ ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศจีนไม่เคยแสดงให้เห็นหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือเพื่อจะพิสูจน์จุดยืนของตนในยุคของเทคโนโลยีข่าวสารด้านสื่อมีการกระจายอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบันแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับเพื่อนๆผู้อ่าน
ชาวไทยที่จะสามารถตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงจากแหล่งข้อมูลสาธารณะเพื่อรับรู้ว่าข้อมูลที่ท่านทูตหนิงระบุไว้เป็นความจริงหรือไม่
ข้อเท็จจริงคือการปฏิบัติงานที่ผิดกฎหมายของแท่นขุดเจาะน้ำมันจีน เช่นเดียวกับการกระทำที่ก้าวร้าวและไร้มนุษยธรรมของกองเรือคุ้มครองแท่นขุดเจาะน้ำมันของจีนในน่านน้ำของเวียดนามมีสื่อต่างๆทั้งในและนอกภูมิภาคทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาผู้สื่อข่าวต่างประเทศนักวิชาการ และนักการเมืองระหว่างประเทศ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า การกระทำฝ่ายเดียวและการยั่วยุของจีนที่ไม่เคารพและปฏิบัติตามกฎกติการะหว่างประเทศ ละเมิดปฏิญญาว่าด้วยแนวทางปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (DOC) เป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดในปัจจุบัน
ประการที่สอง ผมไม่สามารถเห็นด้วยกับมุมมองของเอกอัครราชทูตหนิงที่กล่าวว่า ทางการจีนได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะหวงซา (ท่านทูตหนิงเรียกว่าซีซา) อย่างต่อเนื่อง ถูกต้องตามกฎหมาย และโดยสงบมาโดยตลอด โดยตั้งแต่กลางและปลายศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับประวัติศาสตร์และผิดพลาดทางกฎหมาย เวียดนามมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และกฎหมายอย่างเพียงพอที่จะพิสูจน์อำนาจอธิปไตยของตนเหนือหมู่เกาะหวงซาเวียดนามเป็นประเทศแรกที่ครอบครองและได้มีอำนาจอธิปไตยอย่างต่อเนื่องและโดยสงบสุขเหนือหมู่เกาะหวงซาอย่างน้อยตั้งแต่ศตวรรษที่17เมื่อเขตแดนแห่งนี้ยังไม่มีเจ้าของราชวงศ์เหงียนของเวียดนามหลายสมัยได้จัดตั้งกองทหารกองหนุนที่เรียกว่า กองหวงซา เพื่อปกครองและใช้ประโยชน์จากหมู่เกาะหวงซา
กองหวงซามีภารกิจประจำปีไปยังหมู่เกาะหวงซาเพื่อค้นหาทรัพย์สินสำรวจปลูกต้นไม้สร้างแผ่นศิลาจารึกสร้างวัดดำเนินหน้าที่ช่วยเหลือเรือเหล่านี้ เป็นต้น
กิจกรรมทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในเอกสารอย่างเป็นทางการหลายฉบับ
ผมพูดว่าข้อขัดแย้งกับประวัติศาสตร์สำหรับคำพูดของเอกอัครราชทูตหนิงเพราะเท่าที่ผมทราบในปี1898เจ้าของเรือเบลโลน่า (Bellona) และเรือฮิเมจิมารุ (Himeji Maru) ได้เรียกร้องให้ทางการจีนชดเชย หลังจากเหตุการณ์โดนชาวประมงจีนปล้นทรัพย์สินเมื่อเรือสองลำนี้จมอยู่ในหมู่เกาะหวงซา แต่อุปราชกวางดง (Guang Dong) ของจีน ได้อ้างว่าหมู่เกาะหวงซาเป็นเขตพื้นที่ที่ไม่มีเจ้าของและไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของประเทศจีน ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการปกครองอำเภอใดๆ ของไหหลำ และไม่มีหน่วยงานใดๆ รับผิดชอบในการควบคุมเขตพื้นที่แห่งนี้
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายเพราะในระยะเวลายาวนานในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง(Ming)และราชวงศ์ชิง(Qing)ของจีน ได้ใช้นโยบาย หวงห้ามทางทะเล (Haijin) โดยแสดงให้เห็นความกังวลกับการคุกคามจากทะเลมากกว่าความปรารถนาที่จะไปไกลกว่าดินแดนทวีปสู่บทบาทเจ้าของทะเล
เนื่องจากความคิดดังกล่าวของชาวจีนที่มีต่อทะเลและหมู่เกาะหวงซาเป็นเช่นนั้นนักทำแผนที่ชั้นนำชาวฝรั่งเศสชื่อJean BaptisteBourguignon d′Anville ได้แสดงให้เห็นเขตแดนของจีนในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง (1736-1795) ถูกจำกัดไว้ที่เกาะไหหลำ (ไม่รวมหมู่เกาะในทะเลตะวันออก เช่น หมู่เกาะหวงซา) ในแผนที่ที่ตีพิมพ์ในเยอรมนีในปี 1973 และในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเยอรมนี Angela Merkel ได้มอบแผนที่ฉบับนี้เป็นของฝากให้กับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เนื่องในโอกาสเยือนประเทศเยอรมนี
ฝ่ายไหนกันแน่ที่ก่อปัญหาในทะเลจีนใต้ เหงียน ตัด ถั่น เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ประจำประเทศไทย
Cr รูป - BBC Thai
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยหนิงฟู่ขุยได้มีบทความลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวันเมื่อวันที่23 มิถุนายน ค.ศ.2014 แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาทะเลจีนใต้ น่านน้ำที่เวียดนามเรียกว่าทะเลตะวันออก ผมขอเพิ่มเติมข้อเท็จจริงบางประการให้กับผู้อ่านหนังสือพิมพ์มติชนเพื่อได้มีข้อมูลในการพิจารณาที่ครบถ้วนและชัดเจนมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับฝ่ายไหนกันแน่ที่ก่อปัญหาในทะเลจีนใต้?
ประการแรกผมพบว่าข้อมูลที่ท่านทูตหนิงได้กล่าวถึงในบทความที่ว่าเวียดนามก่อกวน การปฏิบัติงานของจีน ได้ถูกคัดลอกมาจากเอกสารบนเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศจีนลงวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.2014 ผมยังพบว่า เอกสารฉบับนี้เช่นเดียวกับข้อมูลของจีนในการแถลงข่าวต่างๆ ผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศจีนไม่เคยแสดงให้เห็นหลักฐานที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือเพื่อจะพิสูจน์จุดยืนของตนในยุคของเทคโนโลยีข่าวสารด้านสื่อมีการกระจายอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบันแน่นอนว่าไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับเพื่อนๆผู้อ่าน
ชาวไทยที่จะสามารถตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงจากแหล่งข้อมูลสาธารณะเพื่อรับรู้ว่าข้อมูลที่ท่านทูตหนิงระบุไว้เป็นความจริงหรือไม่
ข้อเท็จจริงคือการปฏิบัติงานที่ผิดกฎหมายของแท่นขุดเจาะน้ำมันจีน เช่นเดียวกับการกระทำที่ก้าวร้าวและไร้มนุษยธรรมของกองเรือคุ้มครองแท่นขุดเจาะน้ำมันของจีนในน่านน้ำของเวียดนามมีสื่อต่างๆทั้งในและนอกภูมิภาคทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนาผู้สื่อข่าวต่างประเทศนักวิชาการ และนักการเมืองระหว่างประเทศ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า การกระทำฝ่ายเดียวและการยั่วยุของจีนที่ไม่เคารพและปฏิบัติตามกฎกติการะหว่างประเทศ ละเมิดปฏิญญาว่าด้วยแนวทางปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (DOC) เป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดในปัจจุบัน
ประการที่สอง ผมไม่สามารถเห็นด้วยกับมุมมองของเอกอัครราชทูตหนิงที่กล่าวว่า ทางการจีนได้มีอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะหวงซา (ท่านทูตหนิงเรียกว่าซีซา) อย่างต่อเนื่อง ถูกต้องตามกฎหมาย และโดยสงบมาโดยตลอด โดยตั้งแต่กลางและปลายศตวรรษที่ 10 เป็นต้นมา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับประวัติศาสตร์และผิดพลาดทางกฎหมาย เวียดนามมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และกฎหมายอย่างเพียงพอที่จะพิสูจน์อำนาจอธิปไตยของตนเหนือหมู่เกาะหวงซาเวียดนามเป็นประเทศแรกที่ครอบครองและได้มีอำนาจอธิปไตยอย่างต่อเนื่องและโดยสงบสุขเหนือหมู่เกาะหวงซาอย่างน้อยตั้งแต่ศตวรรษที่17เมื่อเขตแดนแห่งนี้ยังไม่มีเจ้าของราชวงศ์เหงียนของเวียดนามหลายสมัยได้จัดตั้งกองทหารกองหนุนที่เรียกว่า กองหวงซา เพื่อปกครองและใช้ประโยชน์จากหมู่เกาะหวงซา
กองหวงซามีภารกิจประจำปีไปยังหมู่เกาะหวงซาเพื่อค้นหาทรัพย์สินสำรวจปลูกต้นไม้สร้างแผ่นศิลาจารึกสร้างวัดดำเนินหน้าที่ช่วยเหลือเรือเหล่านี้ เป็นต้น
กิจกรรมทั้งหมดนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในเอกสารอย่างเป็นทางการหลายฉบับ
ผมพูดว่าข้อขัดแย้งกับประวัติศาสตร์สำหรับคำพูดของเอกอัครราชทูตหนิงเพราะเท่าที่ผมทราบในปี1898เจ้าของเรือเบลโลน่า (Bellona) และเรือฮิเมจิมารุ (Himeji Maru) ได้เรียกร้องให้ทางการจีนชดเชย หลังจากเหตุการณ์โดนชาวประมงจีนปล้นทรัพย์สินเมื่อเรือสองลำนี้จมอยู่ในหมู่เกาะหวงซา แต่อุปราชกวางดง (Guang Dong) ของจีน ได้อ้างว่าหมู่เกาะหวงซาเป็นเขตพื้นที่ที่ไม่มีเจ้าของและไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของประเทศจีน ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการปกครองอำเภอใดๆ ของไหหลำ และไม่มีหน่วยงานใดๆ รับผิดชอบในการควบคุมเขตพื้นที่แห่งนี้
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายเพราะในระยะเวลายาวนานในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง(Ming)และราชวงศ์ชิง(Qing)ของจีน ได้ใช้นโยบาย หวงห้ามทางทะเล (Haijin) โดยแสดงให้เห็นความกังวลกับการคุกคามจากทะเลมากกว่าความปรารถนาที่จะไปไกลกว่าดินแดนทวีปสู่บทบาทเจ้าของทะเล
เนื่องจากความคิดดังกล่าวของชาวจีนที่มีต่อทะเลและหมู่เกาะหวงซาเป็นเช่นนั้นนักทำแผนที่ชั้นนำชาวฝรั่งเศสชื่อJean BaptisteBourguignon d′Anville ได้แสดงให้เห็นเขตแดนของจีนในสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง (1736-1795) ถูกจำกัดไว้ที่เกาะไหหลำ (ไม่รวมหมู่เกาะในทะเลตะวันออก เช่น หมู่เกาะหวงซา) ในแผนที่ที่ตีพิมพ์ในเยอรมนีในปี 1973 และในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีเยอรมนี Angela Merkel ได้มอบแผนที่ฉบับนี้เป็นของฝากให้กับประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง เนื่องในโอกาสเยือนประเทศเยอรมนี