จากจดหมายเปิดผนึกถึง คสช.ของสาว ป.โท ที่ประสบเคราะห์กรรมในชีวิต ถูกนักข่มขืนย่ำยีเธอบนรถไฟเมื่อ 13 ปีก่อน จนชีวิตของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งหน้าที่การงาน สังคม ครอบครัว สุขภาพจิต สุดท้ายเธอต้องระหกระเหินหนีไปอยู่ต่างไปอยู่ต่างประเทศ อย่างบอบช้ำ

ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน ถึงไม่ตายก็เหมือนตาย เชื่อว่าหากไปถามผู้หญิงทุกคนว่า อยากให้ลงโทษนักข่มขืนอย่างไร ? คำตอบคือ “ประหารชีวิตมันเสีย” เพราะสิ่งที่เธอได้รับจากมัน เป็นความทารุณทั้งร่างกายและจิตใจเยี่ยงสัตว์ และผลที่เธอได้รับหลังจากการกระทำมันเลวร้ายแสนสาหัส รวมถึงคนในครอบครัว ญาติพี่น้องที่ต้องพลอยทุกข์ระทมไปด้วย มันเป็นบาดแผลร้ายที่ไม่มีหมอเทวดาที่ไหนจะเยียวยาได้ มันฝังแน่นติดตัวไปตลอดชีวิต
นักข่มขืนจำนวนหลายหมื่นคน มีชีวิตลอยนวลอยู่ในเรือนจำ เท่ากับว่ามีผู้หญิงจำนวนหลายหมื่นคน ถูกกระทำย่ำยีจากพฤติกรรมอันเลวทรามของคนเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อพ้นโทษออกมา ก็ก่ออาชญากรรมแบบเดิมๆซ้ำอีก วนเวียนอยู่อย่างนั้น สร้างตราบาปให้ผู้หญิงไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกข่มขืน มิได้เป็นความเสื่อมเสียเฉพาะตัวของเธอคนนั้น แต่มันครอบคลุมไปทั้งวงศ์ตระกูลของเธอ ทั้งความอับอาย ความขมขื่นที่ยากบรรยาย ผู้หญิงหลายคนฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา หลายคนตั้งท้องโดยไม่พึงประสงค์ เด็กเกิดมาก็กลายเป็นปัญหาของสังคมต่อไปอีก น่าเศร้า !
ส่วนนักข่มขืน เมื่อถูกจับได้ ก็สารภาพอ้างว่าที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แล้วก็ไปกราบขอขมาผู้เสียหาย สังคมไทยก็ให้อภัยเพราะเห็นว่ารู้สำนึก ไปรับโทษในเรือนจำ แต่หญิงที่ถูกข่มขืนไปแล้วคนนั้น เธอได้เสียหายทั้งหมดไปแล้ว กลับไม่มีใครเยียวยา แล้วเธอจะอยู่อย่างไร ?
เมื่อการข่มขืนเท่ากับเป็นการฆ่าผู้หญิงทั้งเป็น จึงไม่สมควรที่นักข่มขืนคนนั้นจะยืนอยู่ในโลกไม่ว่าที่ไหนก็ตามในทุกกรณี เพื่อเป็นการชดเชยความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของเธอ และเพื่อป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดต่อไปกับผู้หญิงคนอื่นๆ ประหารชีวิตสถานเดียว !
ไม่เห็นด้วยกับการคำพูดของผู้ต่อต้านการประหารชีวิตที่กล่าวว่า ถ้ามีโทษประหารชีวิตนักข่มขืน ในอนาคตนักข่มขืนก็จะฆ่าเหยื่อเสียทุกรายไป เพื่อปกปิดหลักฐานความผิด ทำให้เกิดการฆ่าเหยื่อขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง เพราะถึงไม่มีโทษประหาร มันก็มีการข่มขืนแล้วฆ่ากันอยู่แล้ว อย่างกรณีน้องแก้ม แต่เมื่อประกาศอย่างเฉียบขาด เชือดไก่ให้ลิงดูสัก 2-3 รายเท่านั้น คดีข่มขืนจะหายไปเกินครึ่ง เหมือนครั้งหนึ่งที่เราประหารชีวิตคนค้ายาบ้าอย่างจริงจัง ยาบ้าก็หายไปเกือบทันที
กับอีกคำพูดหนึ่งที่ว่า ต่อไปจะมีการใส่ร้าย ป้ายสี สร้างเรื่อง ใส่ความว่าถูกข่มขืนกับบางคน เพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ก็ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆในยุคของนิติวิทยาศาสตร์ สามารถจะพิสูจน์หาหลักฐานได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล
หยุดภัยสังคมเหล่านี้เสียทีเถิด ด้วยการใช้กฎหมายที่เฉียบขาด ตัดวงจรชีวิตของพวกนักข่มขืนเหล่านี้ไปเสีย แม้ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีหยุดการฆ่าด้วยการฆ่าก็ตาม แต่บางครั้งก็จำเป็นกับพวกสวะเหล่านี้ อย่าไปสงสารพวกมัน เพียงเพราะเห็นว่ามันสำนึกผิดแล้ว แต่โปรดหันไปสงสารผู้ที่ถูกมันข่มขืน เพราะเธอก็เหมือนกับตายทั้งเป็นไปแล้ว มันแสนทรมานแค่ไหน ลองอ่านจดหมายของสาว ป.โท ดู !
เห็นภาพน้องแก้มทางสื่อ แม้ผมจะไม่เคยเห็นหรือรู้จักเป็นส่วนตัว แต่เธอวัยแค่ 13 ปี กำลังสดใส ร่าเริง เป็นอนาคตของพ่อแม่ ของชาติ แต่อยู่ๆมีไอ้เดนมนุษย์กักขฬะจากนรกตนหนึ่งเข้ามาต่อยท้อง บีบคอ ข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหด เกินที่มนุษย์ด้วยกันจะทำกับเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีทางต่อสู้ แล้วอย่างนี้ ยังจะเก็บมันไว้ในคุกให้เปลืองข้าวสุก จากภาษีประชาชนอยู่อีกหรือ ???
...ผมไม่รู้ว่าจะลงโทษอย่างไรกับนักข่มขืน รู้แต่ว่าเหยื่อถูกฆ่าตายไปแล้วทั้งเป็น !!!...
ผู้หญิงที่ถูกข่มขืน ถึงไม่ตายก็เหมือนตาย เชื่อว่าหากไปถามผู้หญิงทุกคนว่า อยากให้ลงโทษนักข่มขืนอย่างไร ? คำตอบคือ “ประหารชีวิตมันเสีย” เพราะสิ่งที่เธอได้รับจากมัน เป็นความทารุณทั้งร่างกายและจิตใจเยี่ยงสัตว์ และผลที่เธอได้รับหลังจากการกระทำมันเลวร้ายแสนสาหัส รวมถึงคนในครอบครัว ญาติพี่น้องที่ต้องพลอยทุกข์ระทมไปด้วย มันเป็นบาดแผลร้ายที่ไม่มีหมอเทวดาที่ไหนจะเยียวยาได้ มันฝังแน่นติดตัวไปตลอดชีวิต
นักข่มขืนจำนวนหลายหมื่นคน มีชีวิตลอยนวลอยู่ในเรือนจำ เท่ากับว่ามีผู้หญิงจำนวนหลายหมื่นคน ถูกกระทำย่ำยีจากพฤติกรรมอันเลวทรามของคนเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อพ้นโทษออกมา ก็ก่ออาชญากรรมแบบเดิมๆซ้ำอีก วนเวียนอยู่อย่างนั้น สร้างตราบาปให้ผู้หญิงไม่มีที่สิ้นสุด
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกข่มขืน มิได้เป็นความเสื่อมเสียเฉพาะตัวของเธอคนนั้น แต่มันครอบคลุมไปทั้งวงศ์ตระกูลของเธอ ทั้งความอับอาย ความขมขื่นที่ยากบรรยาย ผู้หญิงหลายคนฆ่าตัวตายในเวลาต่อมา หลายคนตั้งท้องโดยไม่พึงประสงค์ เด็กเกิดมาก็กลายเป็นปัญหาของสังคมต่อไปอีก น่าเศร้า !
ส่วนนักข่มขืน เมื่อถูกจับได้ ก็สารภาพอ้างว่าที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ แล้วก็ไปกราบขอขมาผู้เสียหาย สังคมไทยก็ให้อภัยเพราะเห็นว่ารู้สำนึก ไปรับโทษในเรือนจำ แต่หญิงที่ถูกข่มขืนไปแล้วคนนั้น เธอได้เสียหายทั้งหมดไปแล้ว กลับไม่มีใครเยียวยา แล้วเธอจะอยู่อย่างไร ?
เมื่อการข่มขืนเท่ากับเป็นการฆ่าผู้หญิงทั้งเป็น จึงไม่สมควรที่นักข่มขืนคนนั้นจะยืนอยู่ในโลกไม่ว่าที่ไหนก็ตามในทุกกรณี เพื่อเป็นการชดเชยความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ของเธอ และเพื่อป้องกันความสูญเสียที่จะเกิดต่อไปกับผู้หญิงคนอื่นๆ ประหารชีวิตสถานเดียว !
ไม่เห็นด้วยกับการคำพูดของผู้ต่อต้านการประหารชีวิตที่กล่าวว่า ถ้ามีโทษประหารชีวิตนักข่มขืน ในอนาคตนักข่มขืนก็จะฆ่าเหยื่อเสียทุกรายไป เพื่อปกปิดหลักฐานความผิด ทำให้เกิดการฆ่าเหยื่อขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง เพราะถึงไม่มีโทษประหาร มันก็มีการข่มขืนแล้วฆ่ากันอยู่แล้ว อย่างกรณีน้องแก้ม แต่เมื่อประกาศอย่างเฉียบขาด เชือดไก่ให้ลิงดูสัก 2-3 รายเท่านั้น คดีข่มขืนจะหายไปเกินครึ่ง เหมือนครั้งหนึ่งที่เราประหารชีวิตคนค้ายาบ้าอย่างจริงจัง ยาบ้าก็หายไปเกือบทันที
กับอีกคำพูดหนึ่งที่ว่า ต่อไปจะมีการใส่ร้าย ป้ายสี สร้างเรื่อง ใส่ความว่าถูกข่มขืนกับบางคน เพื่อผลประโยชน์อะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ก็ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆในยุคของนิติวิทยาศาสตร์ สามารถจะพิสูจน์หาหลักฐานได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล
หยุดภัยสังคมเหล่านี้เสียทีเถิด ด้วยการใช้กฎหมายที่เฉียบขาด ตัดวงจรชีวิตของพวกนักข่มขืนเหล่านี้ไปเสีย แม้ผมไม่เห็นด้วยกับวิธีหยุดการฆ่าด้วยการฆ่าก็ตาม แต่บางครั้งก็จำเป็นกับพวกสวะเหล่านี้ อย่าไปสงสารพวกมัน เพียงเพราะเห็นว่ามันสำนึกผิดแล้ว แต่โปรดหันไปสงสารผู้ที่ถูกมันข่มขืน เพราะเธอก็เหมือนกับตายทั้งเป็นไปแล้ว มันแสนทรมานแค่ไหน ลองอ่านจดหมายของสาว ป.โท ดู !
เห็นภาพน้องแก้มทางสื่อ แม้ผมจะไม่เคยเห็นหรือรู้จักเป็นส่วนตัว แต่เธอวัยแค่ 13 ปี กำลังสดใส ร่าเริง เป็นอนาคตของพ่อแม่ ของชาติ แต่อยู่ๆมีไอ้เดนมนุษย์กักขฬะจากนรกตนหนึ่งเข้ามาต่อยท้อง บีบคอ ข่มขืนแล้วฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหด เกินที่มนุษย์ด้วยกันจะทำกับเด็กหญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีทางต่อสู้ แล้วอย่างนี้ ยังจะเก็บมันไว้ในคุกให้เปลืองข้าวสุก จากภาษีประชาชนอยู่อีกหรือ ???