เมื่อวันที่ 8 ก.ค. นายใจ อึ๊งภากรณ์ ได้เขียนบทความ "มันแกว" คือตัวแทนของความคิดถอยหลังลงคลองของพวกอดีตสิทธิสตรี เผยแพร่ทางเว็บล็อก Turnleft-Thailand มีเนื้อหาดังนี้
"อั้ม เนโกะ" เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพที่กล้าหาญ เขาโดนพวกนักบริหารมหาวิทยาลัยรังแก เขาโดนคณะทหารเรียกเพื่อจำคุก และเขาโดนพวกล้าหลังในสื่อ ASTV ข่มขู่ว่าควรจะโดนข่มขืนในคุก
"มันแกว" เป็นนักฉวยโอกาสที่ใช้ร่างตนเองเพื่อโฆษณาธุรกิจ แต่เขาอ้างว่าเขาเป็นสตรีที่ปลดแอกตนเอง เขาไม่มีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน เขาไม่โดนทหารเรียกหรือรังแก และคงมีพวกทหาร คสช. หลายคนที่แอบไปชมภาพเขาในเฟสบุ๊ก
ทั้ง "อั้ม เนโกะ" และ "มันแกว" เป็นตัวอย่างของสองขั้วแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิทางเพศ ขั้วหนึ่งก้าวหน้า อีกขั้วปฏิกิริยา ถ้าจะเข้าใจ เราต้องย้อนกลับไปดูการเปลี่ยนแปลงของแนวสิทธิสตรีในระดับสากล
เมื่อ 40 ปีก่อน ระดับการต่อสู้ทั่วโลกขึ้นสูง ซึ่งกระตุ้นการฟื้นฟูแนวคิดสิทธิสตรี ในยุคนั้นนักสิทธิสตรี ทั้งพวก "เฟมินิสต์" และพวกนักสังคมนิยม โดยเฉพาะในสังคมที่ก้าวหน้า มักร่วมกับผู้ชายและขบวนการสหภาพแรงงานในการต่อสู้ ในยุคนั้นมีการเน้นความเท่าเทียมในทุกแง่ รวมถึงสิทธิของสตรีในการเป็นผู้นำ และในการมีความสุขจากเพศสัมพันธ์ แทนที่จะรักนวลสงวนตัว
เฟมินิสต์ต่างกับนักสังคมนิยมในเรื่องที่มาของการกดขี่สตรี โดยที่เฟมินิสต์มองว่ามันมาจากระบบ "ชายเป็นใหญ่" และนักสังคมนิยมมองว่ามาจากสังคมชนชั้นที่พยายามแบ่งแยกเพศ เพื่อปกครองชนชั้นล่างทั้งชายและหญิง อย่างไรก็ตามทั้งสองกลุ่มจะร่วมมือกันอย่างดีในการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรม
แต่ความคิดเกี่ยวกับการปลดแอกมิได้ลอยอยู่เหนือสังคม ความคิดเปลี่ยนไปตามกระแสการต่อสู้และสภาพสังคม หลายคนที่เน้นแต่ "ปัญหาที่มาจากผู้ชาย" ถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระแสหลัก ผู้หญิงส่วนน้อยมีโอกาสเป็นผู้นำและมีอาชีพสูง ตัวอย่างที่ดีในไทยคือการที่อดีตนายก ยิ่งลักษณ์ มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีอำนาจ และกระแสการปลดแอกสตรีแบบเฟมินิสต์ในที่สุดไปประนีประนอมกับกระแสหลัก
พวกที่แยกตัวออกจากสังคมผู้หญิงส่วนใหญ่ เพื่อเน้นพัฒนาการแบบปัจเจก ไม่สนใจการที่สภาพชีวิตและการทำงานทั่วไปของผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลกแย่ลง หญิงส่วนน้อยที่ไต่เต้าขึ้นไปข้างบนจะเริ่มโทษผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ "ไม่ขยันในการพัฒนาตนเอง"
การถอยหลังเข้าคลองของแนว "หลังเฟมินิสต์" นี้ นำไปสู่การยกเลิกการวิเคราะห์เกี่ยวกับการกดขี่ทางเพศ มีการหันมาเน้นว่าผู้หญิงควร "รักความสวย" มีการถอยหลังมาแก้ตัวแทนการที่สังคมใช้ร่างกายผู้หญิงในการขายสินค้า และมีการโกหกว่าผู้หญิงเหล่านั้นปลดแอกตนเองเพราะกล้าโชว์ร่างเปลือย
นี่คือจุดยืนล้าหลัง แต่อ้างก้าวหน้า ของ "มันแกว" ผู้อวดว่าตัวเองมี "นมคุณธรรม" ในขณะที่ดูหมิ่นผู้หญิงที่ขายบริการทางเพศ "มันแกว" เป็นคนที่เข้ากับสังคม
แต่จุดยืนของ "อั้ม เนโกะ" เป็นจุดยืนที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิทางเพศที่หลากหลาย นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และนักต่อสู้เพื่อสิทธิทำแท้งเสรี เขาอยากโค่นล้มสังคม
รัฐศาสตร์ เฟมีนิสต์ และการต่อสู้ทางสังคม ของ อ.ใจส์
"อั้ม เนโกะ" เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพที่กล้าหาญ เขาโดนพวกนักบริหารมหาวิทยาลัยรังแก เขาโดนคณะทหารเรียกเพื่อจำคุก และเขาโดนพวกล้าหลังในสื่อ ASTV ข่มขู่ว่าควรจะโดนข่มขืนในคุก
"มันแกว" เป็นนักฉวยโอกาสที่ใช้ร่างตนเองเพื่อโฆษณาธุรกิจ แต่เขาอ้างว่าเขาเป็นสตรีที่ปลดแอกตนเอง เขาไม่มีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน เขาไม่โดนทหารเรียกหรือรังแก และคงมีพวกทหาร คสช. หลายคนที่แอบไปชมภาพเขาในเฟสบุ๊ก
ทั้ง "อั้ม เนโกะ" และ "มันแกว" เป็นตัวอย่างของสองขั้วแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิทางเพศ ขั้วหนึ่งก้าวหน้า อีกขั้วปฏิกิริยา ถ้าจะเข้าใจ เราต้องย้อนกลับไปดูการเปลี่ยนแปลงของแนวสิทธิสตรีในระดับสากล
เมื่อ 40 ปีก่อน ระดับการต่อสู้ทั่วโลกขึ้นสูง ซึ่งกระตุ้นการฟื้นฟูแนวคิดสิทธิสตรี ในยุคนั้นนักสิทธิสตรี ทั้งพวก "เฟมินิสต์" และพวกนักสังคมนิยม โดยเฉพาะในสังคมที่ก้าวหน้า มักร่วมกับผู้ชายและขบวนการสหภาพแรงงานในการต่อสู้ ในยุคนั้นมีการเน้นความเท่าเทียมในทุกแง่ รวมถึงสิทธิของสตรีในการเป็นผู้นำ และในการมีความสุขจากเพศสัมพันธ์ แทนที่จะรักนวลสงวนตัว
เฟมินิสต์ต่างกับนักสังคมนิยมในเรื่องที่มาของการกดขี่สตรี โดยที่เฟมินิสต์มองว่ามันมาจากระบบ "ชายเป็นใหญ่" และนักสังคมนิยมมองว่ามาจากสังคมชนชั้นที่พยายามแบ่งแยกเพศ เพื่อปกครองชนชั้นล่างทั้งชายและหญิง อย่างไรก็ตามทั้งสองกลุ่มจะร่วมมือกันอย่างดีในการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรม
แต่ความคิดเกี่ยวกับการปลดแอกมิได้ลอยอยู่เหนือสังคม ความคิดเปลี่ยนไปตามกระแสการต่อสู้และสภาพสังคม หลายคนที่เน้นแต่ "ปัญหาที่มาจากผู้ชาย" ถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระแสหลัก ผู้หญิงส่วนน้อยมีโอกาสเป็นผู้นำและมีอาชีพสูง ตัวอย่างที่ดีในไทยคือการที่อดีตนายก ยิ่งลักษณ์ มีโอกาสเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผู้มีอำนาจ และกระแสการปลดแอกสตรีแบบเฟมินิสต์ในที่สุดไปประนีประนอมกับกระแสหลัก
พวกที่แยกตัวออกจากสังคมผู้หญิงส่วนใหญ่ เพื่อเน้นพัฒนาการแบบปัจเจก ไม่สนใจการที่สภาพชีวิตและการทำงานทั่วไปของผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลกแย่ลง หญิงส่วนน้อยที่ไต่เต้าขึ้นไปข้างบนจะเริ่มโทษผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ "ไม่ขยันในการพัฒนาตนเอง"
การถอยหลังเข้าคลองของแนว "หลังเฟมินิสต์" นี้ นำไปสู่การยกเลิกการวิเคราะห์เกี่ยวกับการกดขี่ทางเพศ มีการหันมาเน้นว่าผู้หญิงควร "รักความสวย" มีการถอยหลังมาแก้ตัวแทนการที่สังคมใช้ร่างกายผู้หญิงในการขายสินค้า และมีการโกหกว่าผู้หญิงเหล่านั้นปลดแอกตนเองเพราะกล้าโชว์ร่างเปลือย
นี่คือจุดยืนล้าหลัง แต่อ้างก้าวหน้า ของ "มันแกว" ผู้อวดว่าตัวเองมี "นมคุณธรรม" ในขณะที่ดูหมิ่นผู้หญิงที่ขายบริการทางเพศ "มันแกว" เป็นคนที่เข้ากับสังคม
แต่จุดยืนของ "อั้ม เนโกะ" เป็นจุดยืนที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง เขาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิทางเพศที่หลากหลาย นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และนักต่อสู้เพื่อสิทธิทำแท้งเสรี เขาอยากโค่นล้มสังคม