รู้จัก หุ้น / หุ้นในตลาดหลักทรัพย์/หุ้น คืออะไร หุ้นน่าลงทุนอย่างไร ดาวิด อัลอาตัส (seri tuanku david alartas)

กระทู้คำถาม
การลงทุนในหุ้น แม้เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ก็เป็นทางเลือกที่มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องศึกษาความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
และวิธีจัดการกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และวิธีจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นให้ละเอียด

หุ้นเป็นหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งที่เมื่อเราลงทุนในหุ้นของบริษัทใด เราก็จะมีสถานะเป็น “เจ้าของ”ของบริษัทนั้น ซึ่งมีทั้งโอกาส
ได้รับกำไรหากกิจการของบริษัทดำเนินไปได้ดี แต่ก็มีโอกาสขาดทุนได้เช่นกันหากการดำเนินกิจการมีปัญหา การเป็นเจ้าของกิจการ
ในตลาดทุนอาจไม่ได้หมายความว่า ผู้ลงทุนต้องไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเอง แต่จะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนในบริษัทผ่านการเป็น
ผู้ถือหุ้นในกิจการดังกล่าว ซึ่งมีการออกและเสนอขาย “หุ้น” ต่อประชาชนทั่วไป เพื่อนำเงินที่ขายหุ้นได้ไปลงทุนในกิจการของบริษัท
รวมทั้งได้นำหุ้นของบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ด้วย

หุ้นน่าลงทุนอย่างไร?

หุ้นเป็นเครื่องมือลงทุนที่ให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูง จากข้อมูลของ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าในช่วง
ระยะเวลาเฉลี่ย 10 ปี (2542 – 2552) หุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 11.04% ในขณะที่
การลงทุนอื่น ๆ จะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า เช่น เงินฝาก 3.02% พันธบัตร 5.65% เป็นต้น*    

* ข้อมูลเหล่านี้หากจะนำไปอ้างอิงต่อ ควรศึกษาเงื่อนไข หรือสมมุติฐานของการคำนวณหรือการวิเคราะห์ด้วย

     ผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นนั้น มีทั้งในรูปแบบ “เงินปันผล (Dividend)” ซึ่งผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับเมื่อบริษัทที่ไปลงทุน
มีกำไรจากผลประกอบการและมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนหุ้นที่ถืออยู่ นอกจากนี้ยังมีผลตอบแทนในรูปแบบ
“กำไรส่วนเกินทุน (capital gain)” ซึ่งเป็นกำไรจากการซื้อขายหุ้น (ซื้อถูกขายแพง) ในตลาดหลักทรัพย์ โดยผลตอบแทนในส่วน
ของ capital gain นี้ จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย

          ในตลาดหุ้นมีหุ้นที่หมุนเวียนเปลี่ยนมือซื้อขายกันอยู่หลายประเภท เช่น
หุ้น blue chips ซึ่งเป็นหุ้นพื้นฐานดีและมักเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง (ราคาและปริมาณ
การซื้อขายสูง) เพราะเป็นหุ้นชั้นดีที่ผู้ลงทุนหลายรายสนใจลงทุนกันมาก จึงมีชื่อเรียกเช่นเดียว
กับชิพสีฟ้าที่มีมูลค่าสูงในคาสิโน หุ้นปันผล คือ หุ้นที่มีนโยบายการปันผลอย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ยังมีหุ้นเก็งกำไรหรือหุ้น hot ที่ร้อนสมชื่อเพราะราคามักขึ้นลงผันผวนมากในหนึ่งวัน
นับเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง

     ดังนั้น ในการลงทุนในหุ้นประเภทใดก็ตาม ผู้ลงทุนจึงควรทำการเปรียบเทียบโดยประเมินผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ
จากการลงทุนและความเสี่ยงของหุ้นนั้น ๆ ให้รอบคอบว่าเหมาะสมกับเป้าหมายในการลงทุนหรือความสามารถในการยอมรับ
ความเสี่ยงของตนเอง (investment profile) ก่อนตัดสินใจลงทุน

หุ้นมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

1.ความเสี่ยงจากภาวะตลาด (market risk) ซึ่งมักขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น
ภาวะการเมือง สังคมภายในประเทศ ภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ที่จะกระทบต่อภาคธุรกิจจนทำให้ภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไปจนมีผลกระทบต่อราคาหุ้น

2.ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (liquidity risk) ที่หุ้นบางบริษัทอาจไม่ได้ซื้อง่ายขายคล่อง
มีจำนวนหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาดไม่มาก ทำให้ไม่สามารถซื้อขายได้ในเวลาหรือราคาที่ต้องการ
หากต้องรีบขายเพราะมีความจำเป็นต้องใช้เงิน

3.ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของบริษัทผู้ออกหุ้น (company risk) เช่น การบริหารกิจการผิดพลาดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารหรือนโยบายบริษัท การถูกฟ้องร้องดำเนินคดี หรือการถูกฟ้องล้มละลาย เป็นต้น หรือหากบริษัทต้องพึ่งพิง
ผู้จัดจำหน่ายหรือลูกค้ารายใหญ่บางรายมากจนเกินไป หากเกิดปัญหากับบริษัทเหล่านี้ ก็จะมีความเสี่ยงที่บริษัทอาจไม่สามารถค้าขาย
ต่อไปได้ หรือถ้ากิจการต้องพึ่งพาช่างฝีมือหรือช่างที่มีทักษะเฉพาะตัวมากเกินไป การขาดแคลนแรงงานหรือการประท้วงหยุดงาน
ก็อาจกระทบต่อผลการดำเนินงานบริษัทในช่วงนั้น ๆ ได้ยิ่งถ้าบริษัททำธุรกิจหลากหลาย ความเสี่ยงจากการดำเนินงานอาจยิ่งเพิ่มมากได้

หุ้น IPO กับหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหุ้น

มื่อบริษัทนำหุ้นออกขายต่อประชาชนทั่วไปโดยตรงครั้งแรก เราจะเรียกว่า
การเสนอขายหุ้น IPO (initial public offering) หรือการนำหุ้นออกขายในตลาดแรก
ซึ่งถ้าจะให้เห็นภาพกันง่าย ๆ ตลาดแรกก็เหมือนกับการที่เราไปซื้อรถป้ายแดงใหม่เอี่ยม
ออกมาจากโชว์รูมนั่นเอง หลังจากที่บริษัทได้เสนอขายหุ้นในตลาดแรกไปแล้ว ส่วนใหญ่
บริษัทก็จะนำหลักทรัพย์เหล่านั้นเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดรองเพื่อให้เกิดการซื้อขาย    
เปลี่ยนมือกันได้ โดยปัจจุบันในบ้านเรามีตลาดรองซื้อขายหุ้น ได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สำหรับหุ้นที่มี
ขนาดใหญ่และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) สำหรับหุ้นที่มีขนาดเล็กแต่มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ส่วนบริษัทที่นำหุ้น
ไปจดทะเบียนนั้นก็จะเรียกว่า “บริษัทจดทะเบียน”

การที่ผู้ลงทุนตัดสินใจเลือกลงทุนในหุ้น IPO นั้น ก็เพื่อร่วมเป็นเจ้าของบริษัทโดยสามารถซื้อหุ้นในราคาที่เสนอขายครั้งแรก
ซึ่งผู้ลงทุนบางคนก็อาจรอดูสถานการณ์การลงทุนไปอีกสักระยะ เพื่อดูผลประกอบการของบริษัทก่อนแล้วจึงค่อยตัดสินใจลงทุน
ในตลาดรองต่อไปเพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นนั้น ส่วนเมื่อสนใจจะลงทุนแล้วจะเริ่มลงทุนจำนวนมากน้อยแค่ไหนนั้น
ก็ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนที่จะตกลงใจ ที่สำคัญต้องศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน

ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้น

ผลตอบแทนจากการขายหุ้นในรูปแบบกำไรส่วนต่างของราคา (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษี
ส่วนผลตอบแทนในรูปเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องถูก
หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถขอเครดิตภาษีคืนได้ตามเกณฑ์ของสรรพากร
www.rd.go.th

ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้น...ได้ประเมินเรื่องเหล่านี้แล้วหรือยัง?

สำรวจจุดมุ่งหมายในการลงทุนของตนเองให้แน่ชัด     
เช่น หากมีเงินเย็นอยู่ก้อนหนึ่งที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ในเวลาอันสั้นก็อาจเน้นลงทุน
ระยะยาวในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานฐานดี จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ

เข้าใจและยอมรับความเสี่ยงของหุ้นได้
เช่น หากเรากันเงินไว้ลงทุนในหุ้นก้อนหนึ่งต้องแน่ใจว่าหากเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่คาดคิด
แล้วเราต้องสูญเงินก้อนนั้น เราจะสามารถทำใจยอมรับได้

เข้าใจและรู้จักหุ้นที่ต้องการลงทุนดีแล้ว
ก่อนจะตัดสินใจลงทุนในหุ้นของบริษัทใด อย่าลืมศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลให้ดีจาก
แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เช่น หนังสือชี้ชวนและงบการเงินที่บริษัทเปิดเผยไว้ โดยดูได้จาก
เว็บไซต์ ก.ล.ต. www.sec.or.th


แด่ความสำเร็จของคุณเอง
    ท่านดาวิด อัลอาตัส
(seri tuanku david  alartas)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่