หลายๆคนอาจจะงงว่าทำไมผมถึงตั้งหัวกระทู้แบบนี้ เอ...ใจความเกี่ยวกับอะไรกันแน่นะ วันนี้ผมตัดสินใจมาเขียนชีวิตส่วนหนึ่งของผมให้พี่ๆเพื่อนๆในนี้ได้อ่านกัน
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าสิ่งที่เขียนตรงนี้จะค่อนข้างยาวสักนิดหน่อยนะครับ หากใครไม่ชอบอ่านเรื่องยาวๆนี่ก็ปิดได้เลยน้า

เอาละ! มาเริ่มกันเลยนะครับ ผมเป็นนักกีฬามาตั้งแต่เด็กแล้วครับเป็นมาตั้งแต่ประมาณตอนที่อยู่ ป.1- ป.2 ได้ กีฬาที่กล่าวถึงนี้ก็คือ กรีฑา ครับ ผมเริ่มวิ่งมาตั้งแต่ตัวเล็กเท่าจุลินทรีย์ได้ (อันนี้ค่อนข้างเวอร์ 5555+) ผมรักที่จะวิ่งมากครับทุกครั้งที่ผมได้วิ่งผมจะมีความสุขมากๆ ตอนที่เริ่มออกสตาร์ทที่สุดแสนจะบีบหัวใจเพราะต้องรอฟังเสียงสัญญาณ ตอนออกตัวแล้วที่จะรู้สึกได้ถึงลมที่ปะทะหน้าตอนเวลาที่เราวิ่งหรือแม้แต่การเข้าเส้นชัยที่จะมีเสียงคนที่เชียร์เรารอรับเราอยู่ มันคือสิ่งที่ผมหลงใหลอย่างมาก ผมจะลงแข่งขันทุกครั้งที่มีโอกาสมาถึงไม่ว่าจะเป็นงานกีฬาสี งานแข่งจังหวัดหรือแม้แต่แข่งวิ่งเล่นๆกับเพื่อนตนเองและด้วยความรู้สึกที่ผมรักและหลงใหลในกีฬานี้ผมจึงมีความฝันครับ ความฝันที่ว่าผมจะต้องเป็นนักกีฬาวิ่งแบบจริงๆจังๆให้ได้ในสักวันหนึ่ง แต่แล้วยังไม่ทันถึงฝั่งฝันสิ่งที่ผมฝันไว้ก็ต้องจบลง...
ผมเริ่มมีอาการเจ็บแปลบที่หัวเข่ามาได้สักพักนึงแล้วครับ จนวันนึงรู้สึกทนไม่ไหวจริงๆเพราะมันเป็นอุปสรรคต่อการซ้อมของผมมากจึงตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ ผลปรากฎออกมาว่ากล้ามเนื้อต้นขาทั้ง 2 ข้างของผมอ่อนแรงเลยทำให้เข่าของผมรับน้ำหนักและภาระมากกว่าปกติ ผมเริ่มกลัวและกังวลเมื่อรู้ผลตามที่แพทย์บอกมาและแล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เป็นจริง หลังจากพักฟื้นตัวอยู่หลายเดือนผมก็ได้เริ่มกลับมาลงซ้อมอีกครั้งแต่ครั้งนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมครับ เมื่อผมเริ่มออกตัวอาการเจ็บแปลบก็ถามหาผมทันทีผมแทบจะล้มลงไปกุมหัวเข่าเพราะมันเจ็บมากจริงๆแต่ผมก็ยังไม่ยอมตัดใจง่ายๆ เพราะคิดไว้ในใจว่า "เฮ้ย พึ่งฟื้นตัวกลับมาอาจมีเจ็บบ้างล่ะนะ" แต่ทุกครั้งที่ลงน้ำหนักก็จะมีอาการเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาทันที แต่ผมยังไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่นอนครับ(ดื้อจริงๆ 5555+) อีกไม่กี่เดือนต่อมาได้มีการแข่งขันกรีฑาขึ้นผมจึงรีบลงชื่อสมัครเพื่อแข่งขันทันที ในที่สุดวันแข่งขันก็มาถึงครับผมกระตือรือร้นสุดๆที่จะได้กลับมาลงยังลู่วิ่งอีกครั้ง ดีใจจนแทบจะกลิ้งแทนวิ่งเลยครับ55555555 กลับเข้าเรื่องดีกว่า ผมเข้าประจำลู่วิ่งตามปรกติที่เคยแข่งขัน ตั้งท่ารอสตาร์ทเหมือนทุกทีที่เคยทำและรอสัญญาณเหมือนทุกครั้งที่ต้องรอและในที่สุดสัญญาณปล่อยตัวจากกรรมการก็ดังขึ้นครับ ผมรีบสับเท้าอย่างว่องไวยังกับ The Flash ผมมั่นใจว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ 1 แน่นอน (อ้อลืมบอกไปครับผมเป็นนักกรีฑาระยะสั้นนะครับ) ในเมื่อความคิดของผมในตอนนั้นมันใจอย่างยิ่งยวดว่าผมยู่ที 1 แน่นอน จึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมองครับแต่สิ่งที่ผมเห็นกลับไม่ใช่ในแบบที่ผมคิด นักกรีฑาคนอื่นๆเข้าเส้นชัยไปหมดแล้วเหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังไม่ไปถึงเส้นชัยและทันทีที่ผมเห็นภาพนั้นอาการเจ็บที่หัวเข่าผมก็ตามมาในทันทีทันใด ผมไม่สามารถวิ่งต่อได้ได้แต่ฝืนเดินเข้าเส้นชัยด้วยความรู้สึกที่เสียใจอย่างมากผมรู้ทันทีว่าผมคงไม่สามารถวิ่งหรือเป็นนักกรีฑาได้เหมือนเดิมแล้ว
หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เป็นนักกีฬาอีกต่อไปครับ ความฝันที่อยากเป็นนักกีฬาของผมค่อยๆหายไปตามวันเวลาที่ผ่านไป ทุกวันนี้ผมไม่สามารถออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักมาที่เข่าได้ และซ้ำร้ายไปอีกผมยังมีโรคปวดหัวเป็นประจำ (แพทย์บอกว่าเกิดจากความเครียดครับ) และสุดท้ายผมไม่สามารถที่จะทำอะไรหนักๆที่ใช้หลังได้ เพราะเมื่อ 1-2 ปี ก่อนผมได้เข้ารับการ เจาะน้ำไขสันหลัง ทำให้ผมมีอาการปวดหลังอยู่เรื่อยๆเมื่อใช้งานตรงส่วนนั้นๆหรือหนักมากเกินไป
ทุกวันนี้แม้ผมจะมีอาการเจ็บหัวเข่า ปวดหลังและปวดหัว แต่ผมก็ไม่เคยหยุดออกกำลังกายครับและไม่เคยคิดตัดพ้อตัวเองว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ ผมแค่ปรับเปลี่ยนการออกกำลังกายให้เข้ากับตัวเองให้เหมาะกับอาการของผม สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่าแม้ในหลายๆครั้ง สิ่งที่เราฝันไว้มันจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราฝันแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำร้ายชีวิตเราได้ อย่ายอมแพ้มัน อย่าหันหลังให้มันตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ก็หมายความว่าเราต้องเดินหน้าต่อไปครับ


จบความฝัน...
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าสิ่งที่เขียนตรงนี้จะค่อนข้างยาวสักนิดหน่อยนะครับ หากใครไม่ชอบอ่านเรื่องยาวๆนี่ก็ปิดได้เลยน้า
เอาละ! มาเริ่มกันเลยนะครับ ผมเป็นนักกีฬามาตั้งแต่เด็กแล้วครับเป็นมาตั้งแต่ประมาณตอนที่อยู่ ป.1- ป.2 ได้ กีฬาที่กล่าวถึงนี้ก็คือ กรีฑา ครับ ผมเริ่มวิ่งมาตั้งแต่ตัวเล็กเท่าจุลินทรีย์ได้ (อันนี้ค่อนข้างเวอร์ 5555+) ผมรักที่จะวิ่งมากครับทุกครั้งที่ผมได้วิ่งผมจะมีความสุขมากๆ ตอนที่เริ่มออกสตาร์ทที่สุดแสนจะบีบหัวใจเพราะต้องรอฟังเสียงสัญญาณ ตอนออกตัวแล้วที่จะรู้สึกได้ถึงลมที่ปะทะหน้าตอนเวลาที่เราวิ่งหรือแม้แต่การเข้าเส้นชัยที่จะมีเสียงคนที่เชียร์เรารอรับเราอยู่ มันคือสิ่งที่ผมหลงใหลอย่างมาก ผมจะลงแข่งขันทุกครั้งที่มีโอกาสมาถึงไม่ว่าจะเป็นงานกีฬาสี งานแข่งจังหวัดหรือแม้แต่แข่งวิ่งเล่นๆกับเพื่อนตนเองและด้วยความรู้สึกที่ผมรักและหลงใหลในกีฬานี้ผมจึงมีความฝันครับ ความฝันที่ว่าผมจะต้องเป็นนักกีฬาวิ่งแบบจริงๆจังๆให้ได้ในสักวันหนึ่ง แต่แล้วยังไม่ทันถึงฝั่งฝันสิ่งที่ผมฝันไว้ก็ต้องจบลง...
ผมเริ่มมีอาการเจ็บแปลบที่หัวเข่ามาได้สักพักนึงแล้วครับ จนวันนึงรู้สึกทนไม่ไหวจริงๆเพราะมันเป็นอุปสรรคต่อการซ้อมของผมมากจึงตัดสินใจไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจ ผลปรากฎออกมาว่ากล้ามเนื้อต้นขาทั้ง 2 ข้างของผมอ่อนแรงเลยทำให้เข่าของผมรับน้ำหนักและภาระมากกว่าปกติ ผมเริ่มกลัวและกังวลเมื่อรู้ผลตามที่แพทย์บอกมาและแล้วสิ่งที่ผมกลัวก็เป็นจริง หลังจากพักฟื้นตัวอยู่หลายเดือนผมก็ได้เริ่มกลับมาลงซ้อมอีกครั้งแต่ครั้งนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมครับ เมื่อผมเริ่มออกตัวอาการเจ็บแปลบก็ถามหาผมทันทีผมแทบจะล้มลงไปกุมหัวเข่าเพราะมันเจ็บมากจริงๆแต่ผมก็ยังไม่ยอมตัดใจง่ายๆ เพราะคิดไว้ในใจว่า "เฮ้ย พึ่งฟื้นตัวกลับมาอาจมีเจ็บบ้างล่ะนะ" แต่ทุกครั้งที่ลงน้ำหนักก็จะมีอาการเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาทันที แต่ผมยังไม่ยอมหยุดแค่นี้แน่นอนครับ(ดื้อจริงๆ 5555+) อีกไม่กี่เดือนต่อมาได้มีการแข่งขันกรีฑาขึ้นผมจึงรีบลงชื่อสมัครเพื่อแข่งขันทันที ในที่สุดวันแข่งขันก็มาถึงครับผมกระตือรือร้นสุดๆที่จะได้กลับมาลงยังลู่วิ่งอีกครั้ง ดีใจจนแทบจะกลิ้งแทนวิ่งเลยครับ55555555 กลับเข้าเรื่องดีกว่า ผมเข้าประจำลู่วิ่งตามปรกติที่เคยแข่งขัน ตั้งท่ารอสตาร์ทเหมือนทุกทีที่เคยทำและรอสัญญาณเหมือนทุกครั้งที่ต้องรอและในที่สุดสัญญาณปล่อยตัวจากกรรมการก็ดังขึ้นครับ ผมรีบสับเท้าอย่างว่องไวยังกับ The Flash ผมมั่นใจว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ 1 แน่นอน (อ้อลืมบอกไปครับผมเป็นนักกรีฑาระยะสั้นนะครับ) ในเมื่อความคิดของผมในตอนนั้นมันใจอย่างยิ่งยวดว่าผมยู่ที 1 แน่นอน จึงตัดสินใจเงยหน้าขึ้นไปมองครับแต่สิ่งที่ผมเห็นกลับไม่ใช่ในแบบที่ผมคิด นักกรีฑาคนอื่นๆเข้าเส้นชัยไปหมดแล้วเหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังไม่ไปถึงเส้นชัยและทันทีที่ผมเห็นภาพนั้นอาการเจ็บที่หัวเข่าผมก็ตามมาในทันทีทันใด ผมไม่สามารถวิ่งต่อได้ได้แต่ฝืนเดินเข้าเส้นชัยด้วยความรู้สึกที่เสียใจอย่างมากผมรู้ทันทีว่าผมคงไม่สามารถวิ่งหรือเป็นนักกรีฑาได้เหมือนเดิมแล้ว
หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้เป็นนักกีฬาอีกต่อไปครับ ความฝันที่อยากเป็นนักกีฬาของผมค่อยๆหายไปตามวันเวลาที่ผ่านไป ทุกวันนี้ผมไม่สามารถออกกำลังกายที่ลงน้ำหนักมาที่เข่าได้ และซ้ำร้ายไปอีกผมยังมีโรคปวดหัวเป็นประจำ (แพทย์บอกว่าเกิดจากความเครียดครับ) และสุดท้ายผมไม่สามารถที่จะทำอะไรหนักๆที่ใช้หลังได้ เพราะเมื่อ 1-2 ปี ก่อนผมได้เข้ารับการ เจาะน้ำไขสันหลัง ทำให้ผมมีอาการปวดหลังอยู่เรื่อยๆเมื่อใช้งานตรงส่วนนั้นๆหรือหนักมากเกินไป
ทุกวันนี้แม้ผมจะมีอาการเจ็บหัวเข่า ปวดหลังและปวดหัว แต่ผมก็ไม่เคยหยุดออกกำลังกายครับและไม่เคยคิดตัดพ้อตัวเองว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ ผมแค่ปรับเปลี่ยนการออกกำลังกายให้เข้ากับตัวเองให้เหมาะกับอาการของผม สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่าแม้ในหลายๆครั้ง สิ่งที่เราฝันไว้มันจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราฝันแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำร้ายชีวิตเราได้ อย่ายอมแพ้มัน อย่าหันหลังให้มันตราบใดที่เรายังหายใจอยู่ก็หมายความว่าเราต้องเดินหน้าต่อไปครับ