Begin Again (John Carney,2013) คะแนน B+
By Form Corleone
" เสียงเพลง การเริ่มต้น อีกครั้ง " หลังจากเสียงเพลงในหนังเรื่อง Once ได้เข้าไปอยู่ในเมมโมรี่ของใครหลายคน ส่งผลให้ ‘Begin Again’ ของ John Carney ถูกคาดหวังไว้มาก และผลที่ออกมาถือว่าใกล้เคียงแบบฉบับของ Once แม้หลายสิ่งจะแตกต่างออกไปแต่เราก็เห็นหลายจุดจนทำให้นึกถึง ‘Once’ ขึ้นมา ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของตัวละครที่หนังพยายามสร้างขึ้นจะดูแล้วขัดใจก็ตามที แตกต่างจาก Once ที่ดู ‘ธรรมชาติ’ มากๆ ในหลายมิติ แม้ความสัมพันธ์ของตัวละครจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อ แต่ด้วยเพลงประกอบที่สุดแสนไพเราะ คงสร้างบรรยากาศให้ใครหลายคนเคลิบเคลิ้มไปตามท่วงทำนองและเสียงร้องได้ไม่ยาก ><

“เสียงเพลง มันแสนไพเราะ เมื่อเราตั้งใจฟัง” สำหรับหนังที่ใช้สื่อที่เรียกว่า “ดนตรี” ในการเขย่าโสตประสาทของการได้ยินหรือการฟัง ต้องยอมรับโดยทั่วกันว่า ‘Begin Again’ ทำได้สำเร็จแบบไม่มีข้อแม้ใดๆโต้แย้ง ความสำเร็จของเพลงในเรื่อง อาจกลายเป็นความสำเร็จของเนื้อเรื่อง แม้ว่าตัวบทจะไม่ค่อยน่าเชื่อก็ตาม แต่จะแคร์อะไรมาก แค่เราเปิดใจ ปล่อยตัวไปตามเสียงเพลง แล้วให้เสียงเพลงนำพา ‘ตัวเรา’ เข้าไปเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวละคร แม้บางฉากจะรู้สึกเบื่อแค่ไหนแต่ด้วยเสียงเพลงของตัวหนังก็ช่วยกระตุ้นอารมณ์ได้ตลอดเวลา “เพราะเสียงเพลงนำพาเรามาเจอกัน เพราะเสียงเพลงช่วยส่งเสริมกันและกัน เพราะเสียงเพลงช่วยให้เราเข้าใจกัน” อย่างไรก็ตามตัวหนังเองก็ไม่ได้เน้นเรื่องเสียงเพลง จนหลงลืมรายละเอียดชีวิตพื้นฐานของตัวละคร โดยเฉพาะเรื่องราวของ “ความรัก” รวมถึง “ครอบครัว” แนวคิดหรือประเด็นของหนังในเรื่องครอบครัวคือการใช้ชีวิต แต่ที่เจ็บปวดคงจะเป็นประเด็นของความรัก สำหรับคนที่กำลังอกหักกับอะไรสักอย่าง คงน้ำตาไหลไปพร้อมกับเสียงเพลง!!!

“การเริ่มต้นใหม่ กับ สิ่งเดิม” แม้จะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือในตัวบทภาพยนตร์ ในแง่การสื่อสาร “เริ่มต้น อีกครั้ง” ในตัวหนังก็ช่วยให้คนที่เคยผิดพลาดกับอะไรก็แล้วแต่ใน “อดีต” ได้พยายามลอง “เริ่มต้นใหม่” อีกครั้ง แม้ผลสุดท้ายอาจเป็นแบบเดิม แต่อย่างน้อยเราก็ได้พยายามทำสิ่งเดิมๆให้ดีขึ้น ชีวิตของพวกเราทุกคนอาจไม่ต่างอะไรกับ “Lost Star” ดังบทเพลงที่ได้ขับร้องในหนัง “But are we all lost stars, trying to light up the dark” เราอาจพยายามทำสิ่งเดิมๆแล้วหวนกลับไปทำสิ่งที่เคยผิดพลาด กับสิ่งที่เคยมีอยู่ กับสิ่งที่เคย “หายไป” จากชีวิต หรือกำลังทำสิ่งใหม่ตรงหน้า ทำครั้งใหม่ ณ ตำแหน่งที่ตัวเรากำลังยืนอยู่ ให้ดีที่สุด สิ่งไหนมันจะดีไปกว่ากัน เพราะสุดท้ายปลายทางที่เราได้เลือกคงคาดเดามันไม่ได้อยู่ดี “ความรักที่เราตามหา อาจเป็นเพลง เศร้า สนุก อินดี้” ตัวเราไม่มีทางรู้หรอกถ้าหากเราไม่ลอง “ฟัง” ด้วยหัวใจ…
“เสียงเพลงอีกมากมายรอให้ใครสักคนฟัง” การรับฟังบวกการตั้งใจฟังเป็นสิ่งสำคัญ นำมาซึ่ง “ความเข้าใจ” อย่างที่บอกไปว่าหนังไม่ทำให้เราเชื่อเท่าไหร่ แต่หนังก็ทำให้เราเพลินได้ ผมว่าการนั่งฟังเพลงเสมือน “ยา” อะไรสักอย่าง ที่ชวนให้เรา สงบ ผ่อนคลาย ลืมเรื่องต่างๆในภายนอก การนั่งดู “Begin Again” คงเป็นยาชั้นดีในการบรรเทาอาการต่างๆได้ การแสดงของ Mark Ruffalo ผมชอบเรื่องนี้ที่สุดตั้งแต่เคยดูมา ไม่ชอบการแสดงเป็น ‘Hulk’ ใน ‘The Avengers’ และ Keira Knightley ก็จับไมค์ร้องเพลงได้ไพเราะจับใจเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นการได้ Adam Levine (Maroon 5) มาร่วมร้องเพลง ยิ่งทำให้ตัวหนังทรงคุณค่า ในเสียงเพลง “ไพเราะทุกเสียงดนตรี น่าฟังทุกคลื่นจังหวะ”

สุดท้าย Begin Again เปรียบเสมือนบทเพลง บทยาว ที่กล่อมให้ผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องราว แม้บางครั้งเรื่องราวจะดูน่าเบื่อแค่ไหน แต่เราก็มีดนตรีให้ฟังเสมอ จนสุดท้ายตัวเราเองก็ต้องการดนตรีตลอดทั้งเรื่อง ความประทับใจมากมายในบทเพลง ความเข้าใจ การรับฟัง การช่วยเหลือ การเอาใจใส่ สิ่งต่างๆอาจเกิดขึ้นรอบตัวเรา แม้บางครั้งเราอาจมองมันไม่เห็นเพราะตัวเราอาจเป็นเพียงแค่ “Lost Star” >< ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
อ่านเรื่องอื่น
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Begin Again (John Carney,2013)
By Form Corleone
" เสียงเพลง การเริ่มต้น อีกครั้ง " หลังจากเสียงเพลงในหนังเรื่อง Once ได้เข้าไปอยู่ในเมมโมรี่ของใครหลายคน ส่งผลให้ ‘Begin Again’ ของ John Carney ถูกคาดหวังไว้มาก และผลที่ออกมาถือว่าใกล้เคียงแบบฉบับของ Once แม้หลายสิ่งจะแตกต่างออกไปแต่เราก็เห็นหลายจุดจนทำให้นึกถึง ‘Once’ ขึ้นมา ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ของตัวละครที่หนังพยายามสร้างขึ้นจะดูแล้วขัดใจก็ตามที แตกต่างจาก Once ที่ดู ‘ธรรมชาติ’ มากๆ ในหลายมิติ แม้ความสัมพันธ์ของตัวละครจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อ แต่ด้วยเพลงประกอบที่สุดแสนไพเราะ คงสร้างบรรยากาศให้ใครหลายคนเคลิบเคลิ้มไปตามท่วงทำนองและเสียงร้องได้ไม่ยาก ><
“เสียงเพลง มันแสนไพเราะ เมื่อเราตั้งใจฟัง” สำหรับหนังที่ใช้สื่อที่เรียกว่า “ดนตรี” ในการเขย่าโสตประสาทของการได้ยินหรือการฟัง ต้องยอมรับโดยทั่วกันว่า ‘Begin Again’ ทำได้สำเร็จแบบไม่มีข้อแม้ใดๆโต้แย้ง ความสำเร็จของเพลงในเรื่อง อาจกลายเป็นความสำเร็จของเนื้อเรื่อง แม้ว่าตัวบทจะไม่ค่อยน่าเชื่อก็ตาม แต่จะแคร์อะไรมาก แค่เราเปิดใจ ปล่อยตัวไปตามเสียงเพลง แล้วให้เสียงเพลงนำพา ‘ตัวเรา’ เข้าไปเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวละคร แม้บางฉากจะรู้สึกเบื่อแค่ไหนแต่ด้วยเสียงเพลงของตัวหนังก็ช่วยกระตุ้นอารมณ์ได้ตลอดเวลา “เพราะเสียงเพลงนำพาเรามาเจอกัน เพราะเสียงเพลงช่วยส่งเสริมกันและกัน เพราะเสียงเพลงช่วยให้เราเข้าใจกัน” อย่างไรก็ตามตัวหนังเองก็ไม่ได้เน้นเรื่องเสียงเพลง จนหลงลืมรายละเอียดชีวิตพื้นฐานของตัวละคร โดยเฉพาะเรื่องราวของ “ความรัก” รวมถึง “ครอบครัว” แนวคิดหรือประเด็นของหนังในเรื่องครอบครัวคือการใช้ชีวิต แต่ที่เจ็บปวดคงจะเป็นประเด็นของความรัก สำหรับคนที่กำลังอกหักกับอะไรสักอย่าง คงน้ำตาไหลไปพร้อมกับเสียงเพลง!!!
“การเริ่มต้นใหม่ กับ สิ่งเดิม” แม้จะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือในตัวบทภาพยนตร์ ในแง่การสื่อสาร “เริ่มต้น อีกครั้ง” ในตัวหนังก็ช่วยให้คนที่เคยผิดพลาดกับอะไรก็แล้วแต่ใน “อดีต” ได้พยายามลอง “เริ่มต้นใหม่” อีกครั้ง แม้ผลสุดท้ายอาจเป็นแบบเดิม แต่อย่างน้อยเราก็ได้พยายามทำสิ่งเดิมๆให้ดีขึ้น ชีวิตของพวกเราทุกคนอาจไม่ต่างอะไรกับ “Lost Star” ดังบทเพลงที่ได้ขับร้องในหนัง “But are we all lost stars, trying to light up the dark” เราอาจพยายามทำสิ่งเดิมๆแล้วหวนกลับไปทำสิ่งที่เคยผิดพลาด กับสิ่งที่เคยมีอยู่ กับสิ่งที่เคย “หายไป” จากชีวิต หรือกำลังทำสิ่งใหม่ตรงหน้า ทำครั้งใหม่ ณ ตำแหน่งที่ตัวเรากำลังยืนอยู่ ให้ดีที่สุด สิ่งไหนมันจะดีไปกว่ากัน เพราะสุดท้ายปลายทางที่เราได้เลือกคงคาดเดามันไม่ได้อยู่ดี “ความรักที่เราตามหา อาจเป็นเพลง เศร้า สนุก อินดี้” ตัวเราไม่มีทางรู้หรอกถ้าหากเราไม่ลอง “ฟัง” ด้วยหัวใจ…
“เสียงเพลงอีกมากมายรอให้ใครสักคนฟัง” การรับฟังบวกการตั้งใจฟังเป็นสิ่งสำคัญ นำมาซึ่ง “ความเข้าใจ” อย่างที่บอกไปว่าหนังไม่ทำให้เราเชื่อเท่าไหร่ แต่หนังก็ทำให้เราเพลินได้ ผมว่าการนั่งฟังเพลงเสมือน “ยา” อะไรสักอย่าง ที่ชวนให้เรา สงบ ผ่อนคลาย ลืมเรื่องต่างๆในภายนอก การนั่งดู “Begin Again” คงเป็นยาชั้นดีในการบรรเทาอาการต่างๆได้ การแสดงของ Mark Ruffalo ผมชอบเรื่องนี้ที่สุดตั้งแต่เคยดูมา ไม่ชอบการแสดงเป็น ‘Hulk’ ใน ‘The Avengers’ และ Keira Knightley ก็จับไมค์ร้องเพลงได้ไพเราะจับใจเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้นการได้ Adam Levine (Maroon 5) มาร่วมร้องเพลง ยิ่งทำให้ตัวหนังทรงคุณค่า ในเสียงเพลง “ไพเราะทุกเสียงดนตรี น่าฟังทุกคลื่นจังหวะ”
สุดท้าย Begin Again เปรียบเสมือนบทเพลง บทยาว ที่กล่อมให้ผู้ชมเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องราว แม้บางครั้งเรื่องราวจะดูน่าเบื่อแค่ไหน แต่เราก็มีดนตรีให้ฟังเสมอ จนสุดท้ายตัวเราเองก็ต้องการดนตรีตลอดทั้งเรื่อง ความประทับใจมากมายในบทเพลง ความเข้าใจ การรับฟัง การช่วยเหลือ การเอาใจใส่ สิ่งต่างๆอาจเกิดขึ้นรอบตัวเรา แม้บางครั้งเราอาจมองมันไม่เห็นเพราะตัวเราอาจเป็นเพียงแค่ “Lost Star” >< ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
อ่านเรื่องอื่น http://moviesdelightclub.blogspot.com/