ขออภัยที่หายไปนาน (งานเย้อะะะะะมาก อยากหาคนช่วยจัง ใครสนใจอยากร่วมมั่งมั้ยค้าบ 555)
หลังจากที่เขียน ตอนที่ #1
http://pantip.com/topic/32258393 ตอนที่ #2
http://pantip.com/topic/32263333 และ ตอนที่ #3
http://pantip.com/topic/32268909 มา ผมอ่านทุก comment นะครับ ผมชอบทุก comment เลยนะครับ ผมอยากเน้นว่าให้อ่าน comment ที่มีคนที่แนะนำว่า "ควรทำยังไง" หรือ "หลักการคิด และตกลงงาน" หรือ "วิธีพัฒนา" เป็นสำคัญนะครับ มันจะสอนเราได้เยอะว่าเราควรจะรัดกุมยังไงได้บ้าง (ซึ่งนั่นเป็นจุดประสงค์อีกอันนึงของผมเหมือนกันครับ ขอบคุณ comment ที่เขียนแนะนำให้กับคนรุ่นหลัง หรือรุ่นที่กำลังทำอยู่ ได้อ่านนะครับ ขอบคุณมากครับผม

)
เรื่องนี้เกิดขึ้นจากเรื่องจริงนะครับ (บางคนบอกว่าถึงกับคิดว่านี่มันชีวิตตัวเองหรือป่าว) ผมเชื่อว่าอาชีพนี้ส่วนใหญ๋จะเจอแบบนี้ซะเยอะ แต่นั่นเกิดจาก
1. เราไม่รัดกุม หรือรัดกุมไม่พอ
2. เราเอาง่ายเข้าว่า โดยที่ขาดการวางแผน และตกลงกับ user ที่รัดกุม
3. เราทำให้ลูกค้าไม่เห็นภาพไม่ตรงกับเรา เกิดการสื่อสารที่ผิด
4. เราใจอ่อนมากเกินไป ทำให้เกิดอาการวนลูปอยู่ที่เดิม
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด คือสิ่งที่ผมทำพลาดมาในเคสนี้นะครับ
อันสุดท้ายดราม่าหน่อยนะครับ แต่เป็นจุดประสงค์จิงๆของการที่ผมมาเขียนเรื่องนี้ ผมอยากให้ทุกๆคนคิดตามว่า ทุกอาชีพล้วนมีความสำคัญ และความภูมิใจในวิชาชีพของตน
มีคนบอกผมไว้ครับ ว่าอาชีพที่น่ากลัวที่สุด คือ โปรแกรมเมอร์ ตอนแรกผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ จนมาถึงงบัดนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ธรรมชาติของโปรแกรมเมอร์ เป็นคนที่ไม่ชอบยอมแพ้ และจะทำให้ได้ด้วย ไม่ว่าจะต้องถาม หรือค้นหาทางอินเตอร์เน็ตก็ตาม แล้วคนพวกนี้มีความพยายาม รู้ช่องทางในการค้นหา แถมยังรั้ก่อนคนทั่วไปอีกด้วยนะ แล้วนึกดู เด้วนี้ถ้าจะทำธุรกิจต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยกันหมดแล้วนะ แล้วคนที่เป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีคือใครครับ คือนักพัฒนาระบบ หรือโปรแกรมเมอร์นั่นเองครับ
ผมเคยไปงาน startup tranning แห่งหนึ่ง (สำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่า startup tranning คืออะไร นึกง่ายๆ เหมือนไปเทรน เพื่อจะได้รู้วิธีตกผลึกไอเดีย ขั้นตอนการทำให้เกิดบริการ 1 ตัว พร้อมทั้งวิธีการในการเติบโตแบบก้าวกระโดดละกัน พูดง่ายๆ คือเหมือนมีคนช่วยนำทางให้เราสร้างบริษัทได้ละกัน) นึกดูนะครับ คนที่ร่วมงาน ประมาณ 30 คนนะ โปรแกรมเมอร์แบบจ๋าเลยจิงๆมีอยู่ 2 คนครับ ดีไซเนอร์มีอยู่ประมาณ 5 คน ที่เหลือ คือ นักคิด นักการตลาด ที่ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตาม เค้าต้องการโปรแกรมเมอร์นะครับ เราก็รีบแย่งตัวกันใหญ่ เสนอไอเดียให้โปรแกรมเมอร์สนใจมาร่วมทีม คุณคิดดูว่าโปรแกรมเมอร์มีตัวเลือกให้เลือกมากมายแค่ไหนกัน
โดยที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา มีจุดประสงค์เพื่อ
1. การรับงานพัฒนาระบบขึ้นมาสักตัว ความขี้เกียจทำพวกเอกสาร ข้อตกลง และดีไซน์ต่างๆ เพื่อตกลงกับลูกค้าก่อน เป็นตัวที่ทำให้การทำงานมีปัญหามากกว่าที่ควรจะเป็นครับ ผมเชื่อว่ายังไงก็ต้องมีปัญหากันนะ แล้วแต่จะเจอมากน้อย ซึ่งการทำข้อตกลงต่างๆ จะทำให้ปัญหาเกิดขึ้นน้อยลงครับ เสียเวลาทำสัก 1 อาทิตย์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาระยะยาวคุ้มกว่าครับ
2. การตัดราคากัน ไม่ช่วยอะไรครับ ไม่ได้หมายความว่าคิดถูกคือตัดราคานะครับ การคิดราคาแล้วแต่ประสบการณ์ และฝีมือของแต่ละคน ผมไม่ได้หมายความว่า ถ้าจ้างบริษัททำคิด 100k แต่ถ้าจ้างเด็กจบใหม่ทำคิด 20k คือการตัดราคานะ ผมคิดว่าทุกคนคงทราบดีว่า การตัดราคาแข่งกันคืออะไร ซึ่งถ้าเราปล่อยให้มีแบบนี้เรื่อยๆ คนได้ประโยชน์จะไม่มีครับ เพราะว่า
--- 2.1 ด้านลุกค้า - คนตัดราคาแบบเอาถูกเข้าว่า พอได้งาน พอทำไปจะรู้สึกว่าตัวเองไม่คุ้ม แล้วก็มัดมือชกลูกค้าโดยการที่ทำไว้แบบไม่จบ แล้วโบกมือลาบ๊ายๆ สุดท้าย ลูกค้าก็ต้องหาจ้างใหม่ เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินเพิ่ม
--- 2.2 ด้านโปรแกรมเมอร์ - คนตัดราคาจะทำให้ลูกค้าส่วนใหญ๋คิดว่า การทำระบบ การทำเว็บ ควรจะมีราคาแค่นี้ นึกตัวอย่างนะครับ สมมติว่าคุณเห็นสินค้าชนิดนี้ขายอยู่ 20 บาท แต่พอคุณเจอสินค้าชนิดนี้อีกร้านนึงขายอยู่ 200 บาท เป็นคุณจะคิดว่าร้านที่ 2 ขายแพงเกินไปป่ะ? ซึ่งจิงๆ ร้านที่ 1 อาจจะขายของก๊อบก็ได้ สุดท้ายลูกค้าก็จะโดนหลักการแบบนี้กล่อมหูว่า เรทในการทำระบบ/เว็บไซต์ มันควรมีราคาแค่นี้เท่านั้น
3. โปรแกรมเมอร์น้อยลงเรื่อยๆครับ ถ้าสังเกตุดีๆ เด้วนี้เกือบทุกบริษัทรับโปรแกรมเมอร์นะ แต่หายังไงก็ไม่พอซักที จากที่อ่านใน comment โดยรวมแล้ว มีคนที่เลิกทำโปรแกรมเมอร์ เพราะรู้สึก
งานมันหนัก และเงินมันน้อย ซึ่งพอดีตอนนี้พอดีผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมงานกับทางมหาวิทยาลัย ผมจึงสังเกตุดูแล้ว พบว่า นศ. ที่จบใหม่ นับแค่วิดคอมนะครับ มีคนที่จบแล้วอยากทำงานเขียนโปรแกรมไม่เกิน 10% ครับ (นับแค่ในคลาสผมนะ) ซึ่งที่เหลือไปทำอะไรน่ะเหรอครับ
--- 3.1 Freelance ถ่ายรูป ครับ (ย้ำนะครับ เด้วนี้ใครๆก็ชอบถ่ายรูป มันไม่จำเป็นจะต้องเรียนโฟโต้ ถึงจะถ่ายรูปได้นะ) จากการสอบถามน้องๆบางคนถึงกับบอกว่า
น้องๆ : ถ่ายงานบางทีก็ได้ตั้งแต่ 2k - 4k นะ อจ. คือถ้าสมัครงานไป เงินเดือน 15k - 20k ทำงาน จ. - ศ. ผมรับงานถ่าย 10 วัน ผมก็ได้เท่าเค้าแล้ว แล้วพวกนี้ถ้าถ่ายสวย ราคามันอัพตามผลงานครับ
ผม : จิง เด้วนี้แค่รับถ่ายรูปรับปริญญา ก็ได้วันนึงเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ต้องกลับไปรีทัช ให้นิ
น้องๆ : เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาครับ แต่งานมันอิสระ อีกอย่าง เขียนโปรแกรมมันแก้งานได้ แต่ถ่ายรูปแก้งานไม่ได้นะ ต้องถ่ายใหม่ ซึ่งถ้าถ่ายใหม่ ก็คิดค่าใช้จ่าย เพราะผมก็ต้องออกกอง (ยังกะถ่ายหนัง) นะครับ แต่ก็ไม่โหดขนาดนั้นนะ ผมก็ลดให้ ลค. ในกรณีถ่ายซ่อม
--- 3.2 IT Support ครับ งานสบายกว่ามั้ย เด็กๆบอกผมแบบนี้ว่า เทียบกันระหว่าง IT support เงินเดือน 12k กับโปรแกรมเมอร์ 15k (เอาเรทขั้นต่ำในกรุงเทพฯ นะ) งานโปรแกรมเมอร์ อยู่กะหน้าจอทั้งวัน งาน support ได้ออกไปไหนมาไหนด้วย งานก็เบากว่า
ซึ่งจริงๆ ปัญหานี้ เกิดจากผลพวงจาก ข้อ 1. กับ ข้อ 2. รวมกัน ทำให้ทั้งคนที่ทำอยู่แล้ว หรือคนที่กำลังจะเริ่มทำคิดว่า อาชีพโปรแกรมเมอร์เป็นอาชีพที่ทำงานหนัก และได้เงินน้อย ทำให้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า สนุกกว่า ได้เงินง่ายกว่า จริงๆแล้วมันไม่ใช่นะครับ ถ้าคุณดีลงานเป็นนะ อนาคตคุณสดใสยาว ถึงจะไม่รวยแบบห้าหมื่นล้าน แต่ผมเชื่อว่าถ้างานคุณดี และคุณดีลเป็นนะ คุณก็สามารถทำเงินได้มากกว่าหมอซะอีกนะฮะ
4. ฟรีแลนซ์ที่น่าเชื่อถือ หาได้ยากครับ พวกนี้ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยชอบทำ profile หรือไม่อัพเดท เนื่องมาจากคำอ้างว่า "ไม่มีเวลา" ซึ่งจิงๆผมว่าไม่ใช่ครับ คุณไม่อยากทำตะหาก หากคุณอยากได้โปรเจคดีๆ และราคาดีๆ คุณต้องคิดตามหลักความเป็นจิงว่า คนเราจะเลือกอะไรนั้น จะดูที่ผลงานที่เคยทำ (ไม่นับคนมีเงิน กับคนมีเส้นนะ) ดังนั้น ถ้าคุณไม่ทำ คุณเอาแต่บอกว่า "ผมทำระบบให้แบงค์ระดับโลก" หรือ "ผมผ่านการทำระบบให้ FBI มาแล้ว" อะไรทำนองนี้ น้อยคนจะเชื่อคุณนะครับ ดังนั้นเสียเวลาสักนิด ทำเถอะครับ เอาเวลาดูซีรีย์ ไปทำก็ได้ โปรแกรมเมอร์ชอบพูดว่า "ผมไม่ทำ portfolio นะ แต่งานก็มาไม่ขาด แค่นี้งานก็ล้นมือแล้ว" ประจำเลยครับ สุดท้ายพอคุณเห็นคนที่ดีกว่าได้ค่าตอบแทนมากกว่า คุณก็จะนึกท้อว่าทำไมกุได้แค่นี้วะ ละก็จะออกอารมณ์ติส วนลูปตามฟอร์ม
5. ผลพวงมาจากข้อ 4. โปรแกรมเมอร์ที่ไม่ทำ portfolio หรือ present ไม่เป็น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นได้แค่มือปืนรับจ้าง แล้วปล่อยให้คนกลางมาเอาเปรียบคุณ ผมไม่ได้บอกว่ารับงานต่อจากคนกลางไม่ดีนะครับ แต่อยากให้คุณเลือกดีๆ ผมจะเล่าเคสนึงให้ฟัง เคสนี้เพื่อนผมโดนมานะครับ ผมไม่โดน เพื่อนชื่อ N , ผู้ว่าจ้าง ชื่อ Dr.X เรื่องมีอยู่ว่า
Dr.X : น้อง N ครับ พอดีผมได้เบอร์มาจากคนรู้จัก ผมหาคนเขียนระบบอยู่ สนใจมั้ยครับ
N : ระบบเกี่ยวกับอะไรครับ
Dr.X : เป็นระบบของราชการแห่งหนึ่ง เงินดีมาก พี่ก็ยังไม่รู้รายละเอียด ถ้าสนใจเด้วเรานัดเจอกัน
... พอคุยกันจบ ก็ตกลงค่าเสียหายกันไป เพื่อนผมได้ 70k ซึ่ง ณ ตอนนั้น ด้วยอายุเท่านั้น 70k ก็ถือว่าเยอะ แต่พอทำไปทำมา เปลี่ยนเยอะมากครับ เพราะคนที่รับงานก็สักแต่รับ ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดให้ ไม่มีการทำข้อตกลงกัน เอาแต่ปากเปล่าเสมอ มันก็ไม่ต่างอะไรกับเคสที่ผมเล่าให้ฟังตอนที่ #1 - #3 แต่ต่างกันตรงที่ตอนนั้นเพื่อนผมดีใจที่ได้ 70k ใช่มั้ยครับ แต่คนกลางที่ไม่ได้ช่วยในการทำข้อตกลงที่รัดกุม ได้ไป 350k ครับ และสุดท้ายจบด้วยการหนีไม่จ่าย เพราะเพื่อนผมทำไม่เส็ด (มันจะเส็ดได้ไง แก้แล้วแก้อีก แก้ไม่รู้จบ)
และมีเหตุผลอื่นๆอีกมากมายที่ทุกคนจะเจอ คนเรา 100 8000 9 ครับ มันเจอไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่จากเหตุผลข้างบนนี้ ส่วนใหญ่จะเกิดขั้นเพราะ มีคนรับทำโดยไม่ได้คิดให้ดี พอราคาที่ตัวเองรับมาไม่คุ้ม ผมบอกได้เลย น้อยคนที่จะทำต่อ นะครับ ผมเคยโดนทิ้งงานไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง (คืองานเยอะ แต่เมื่อก่อนตีราคาไม่เป็น รีบมากก็ต้องจ้างเค้า พอแก้เยอะหน่อย ก็หนี ไม่รับโทสับ ถ้าอยากฟังเคสนี้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะครับ) สุดท้ายคนเสีย คือใครครับ คือลูกค้านะครับ เพราะเค้าเสียโอกาสในการทำธุรกิจไป พอเกิดแบบนี้เรื่อยๆ เป็นไงครับ ใครมันจะอยากจ้างคนไทยทำล่ะครับ เพราะเรื่องเลวมักจะไปเร็วเสมอนะครับ
สุดท้ายนี้ อยากฝากข้อคิด 5 ข้อข้างบนไว้นะครับ ลองคิดทบทวนดูว่าเราเป็นแบบนี้หรือป่าวนะครับ ถ้าเป็นก็เริ่มเดินไปข้างหน้า ก้าวไปข้างหน้าได้แล้วนะค้าบ เด้วจะโดนฝั่งพม่า หรือเวียดนามแซงไปนะครับ โปรแกรมเมอร์ไม่ใช่อาชีพที่ ถึก และเงินน้อยอย่างที่คิดนะครับ มันเป็นอาชีพที่ก้าวกระโดดอีกอาชีพนึงเลยนะครับผม เพื่อนผมทำงานประจำนะ เริ่ม 8 เลิก 5 โมงเย็น ทำตั้งแต่เงินเดือน 15k (เริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อยู่ บ.น้ำมันแห่งหนึ่ง) ตอนนี้ได้เหยียดแสนแล้วครับ บางคนบอกว่าน้อย แต่เหยียดแสนนี่ไร้ความเสี่ยงครับ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดี หรือไม่ดี ผลผลิตขายได้หรือไม่ได้ ก็ได้เท่านี้ครับ
ปล. อยากให้ทุกคนแชร์ความคิดเห็นกัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังนะครับ ลองคิดดูนะครับ ว่าทางของเราคืออะไร ถ้ายังไม่เจอ ก็สั่งสมประสบการณ์ไปก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับผม
จุดจบโปรแกรมเมอร์ราคาถูก ตอนที่ #4(จบตั๊ก)
หลังจากที่เขียน ตอนที่ #1 http://pantip.com/topic/32258393 ตอนที่ #2 http://pantip.com/topic/32263333 และ ตอนที่ #3 http://pantip.com/topic/32268909 มา ผมอ่านทุก comment นะครับ ผมชอบทุก comment เลยนะครับ ผมอยากเน้นว่าให้อ่าน comment ที่มีคนที่แนะนำว่า "ควรทำยังไง" หรือ "หลักการคิด และตกลงงาน" หรือ "วิธีพัฒนา" เป็นสำคัญนะครับ มันจะสอนเราได้เยอะว่าเราควรจะรัดกุมยังไงได้บ้าง (ซึ่งนั่นเป็นจุดประสงค์อีกอันนึงของผมเหมือนกันครับ ขอบคุณ comment ที่เขียนแนะนำให้กับคนรุ่นหลัง หรือรุ่นที่กำลังทำอยู่ ได้อ่านนะครับ ขอบคุณมากครับผม
เรื่องนี้เกิดขึ้นจากเรื่องจริงนะครับ (บางคนบอกว่าถึงกับคิดว่านี่มันชีวิตตัวเองหรือป่าว) ผมเชื่อว่าอาชีพนี้ส่วนใหญ๋จะเจอแบบนี้ซะเยอะ แต่นั่นเกิดจาก
1. เราไม่รัดกุม หรือรัดกุมไม่พอ
2. เราเอาง่ายเข้าว่า โดยที่ขาดการวางแผน และตกลงกับ user ที่รัดกุม
3. เราทำให้ลูกค้าไม่เห็นภาพไม่ตรงกับเรา เกิดการสื่อสารที่ผิด
4. เราใจอ่อนมากเกินไป ทำให้เกิดอาการวนลูปอยู่ที่เดิม
ที่ผมกล่าวมาทั้งหมด คือสิ่งที่ผมทำพลาดมาในเคสนี้นะครับ
อันสุดท้ายดราม่าหน่อยนะครับ แต่เป็นจุดประสงค์จิงๆของการที่ผมมาเขียนเรื่องนี้ ผมอยากให้ทุกๆคนคิดตามว่า ทุกอาชีพล้วนมีความสำคัญ และความภูมิใจในวิชาชีพของตน
มีคนบอกผมไว้ครับ ว่าอาชีพที่น่ากลัวที่สุด คือ โปรแกรมเมอร์ ตอนแรกผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ จนมาถึงงบัดนี้ผมเข้าใจแล้วครับ ธรรมชาติของโปรแกรมเมอร์ เป็นคนที่ไม่ชอบยอมแพ้ และจะทำให้ได้ด้วย ไม่ว่าจะต้องถาม หรือค้นหาทางอินเตอร์เน็ตก็ตาม แล้วคนพวกนี้มีความพยายาม รู้ช่องทางในการค้นหา แถมยังรั้ก่อนคนทั่วไปอีกด้วยนะ แล้วนึกดู เด้วนี้ถ้าจะทำธุรกิจต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยกันหมดแล้วนะ แล้วคนที่เป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีคือใครครับ คือนักพัฒนาระบบ หรือโปรแกรมเมอร์นั่นเองครับ
ผมเคยไปงาน startup tranning แห่งหนึ่ง (สำหรับคนที่ไม่เข้าใจว่า startup tranning คืออะไร นึกง่ายๆ เหมือนไปเทรน เพื่อจะได้รู้วิธีตกผลึกไอเดีย ขั้นตอนการทำให้เกิดบริการ 1 ตัว พร้อมทั้งวิธีการในการเติบโตแบบก้าวกระโดดละกัน พูดง่ายๆ คือเหมือนมีคนช่วยนำทางให้เราสร้างบริษัทได้ละกัน) นึกดูนะครับ คนที่ร่วมงาน ประมาณ 30 คนนะ โปรแกรมเมอร์แบบจ๋าเลยจิงๆมีอยู่ 2 คนครับ ดีไซเนอร์มีอยู่ประมาณ 5 คน ที่เหลือ คือ นักคิด นักการตลาด ที่ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตาม เค้าต้องการโปรแกรมเมอร์นะครับ เราก็รีบแย่งตัวกันใหญ่ เสนอไอเดียให้โปรแกรมเมอร์สนใจมาร่วมทีม คุณคิดดูว่าโปรแกรมเมอร์มีตัวเลือกให้เลือกมากมายแค่ไหนกัน
โดยที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา มีจุดประสงค์เพื่อ
1. การรับงานพัฒนาระบบขึ้นมาสักตัว ความขี้เกียจทำพวกเอกสาร ข้อตกลง และดีไซน์ต่างๆ เพื่อตกลงกับลูกค้าก่อน เป็นตัวที่ทำให้การทำงานมีปัญหามากกว่าที่ควรจะเป็นครับ ผมเชื่อว่ายังไงก็ต้องมีปัญหากันนะ แล้วแต่จะเจอมากน้อย ซึ่งการทำข้อตกลงต่างๆ จะทำให้ปัญหาเกิดขึ้นน้อยลงครับ เสียเวลาทำสัก 1 อาทิตย์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาระยะยาวคุ้มกว่าครับ
2. การตัดราคากัน ไม่ช่วยอะไรครับ ไม่ได้หมายความว่าคิดถูกคือตัดราคานะครับ การคิดราคาแล้วแต่ประสบการณ์ และฝีมือของแต่ละคน ผมไม่ได้หมายความว่า ถ้าจ้างบริษัททำคิด 100k แต่ถ้าจ้างเด็กจบใหม่ทำคิด 20k คือการตัดราคานะ ผมคิดว่าทุกคนคงทราบดีว่า การตัดราคาแข่งกันคืออะไร ซึ่งถ้าเราปล่อยให้มีแบบนี้เรื่อยๆ คนได้ประโยชน์จะไม่มีครับ เพราะว่า
--- 2.1 ด้านลุกค้า - คนตัดราคาแบบเอาถูกเข้าว่า พอได้งาน พอทำไปจะรู้สึกว่าตัวเองไม่คุ้ม แล้วก็มัดมือชกลูกค้าโดยการที่ทำไว้แบบไม่จบ แล้วโบกมือลาบ๊ายๆ สุดท้าย ลูกค้าก็ต้องหาจ้างใหม่ เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินเพิ่ม
--- 2.2 ด้านโปรแกรมเมอร์ - คนตัดราคาจะทำให้ลูกค้าส่วนใหญ๋คิดว่า การทำระบบ การทำเว็บ ควรจะมีราคาแค่นี้ นึกตัวอย่างนะครับ สมมติว่าคุณเห็นสินค้าชนิดนี้ขายอยู่ 20 บาท แต่พอคุณเจอสินค้าชนิดนี้อีกร้านนึงขายอยู่ 200 บาท เป็นคุณจะคิดว่าร้านที่ 2 ขายแพงเกินไปป่ะ? ซึ่งจิงๆ ร้านที่ 1 อาจจะขายของก๊อบก็ได้ สุดท้ายลูกค้าก็จะโดนหลักการแบบนี้กล่อมหูว่า เรทในการทำระบบ/เว็บไซต์ มันควรมีราคาแค่นี้เท่านั้น
3. โปรแกรมเมอร์น้อยลงเรื่อยๆครับ ถ้าสังเกตุดีๆ เด้วนี้เกือบทุกบริษัทรับโปรแกรมเมอร์นะ แต่หายังไงก็ไม่พอซักที จากที่อ่านใน comment โดยรวมแล้ว มีคนที่เลิกทำโปรแกรมเมอร์ เพราะรู้สึกงานมันหนัก และเงินมันน้อย ซึ่งพอดีตอนนี้พอดีผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมงานกับทางมหาวิทยาลัย ผมจึงสังเกตุดูแล้ว พบว่า นศ. ที่จบใหม่ นับแค่วิดคอมนะครับ มีคนที่จบแล้วอยากทำงานเขียนโปรแกรมไม่เกิน 10% ครับ (นับแค่ในคลาสผมนะ) ซึ่งที่เหลือไปทำอะไรน่ะเหรอครับ
--- 3.1 Freelance ถ่ายรูป ครับ (ย้ำนะครับ เด้วนี้ใครๆก็ชอบถ่ายรูป มันไม่จำเป็นจะต้องเรียนโฟโต้ ถึงจะถ่ายรูปได้นะ) จากการสอบถามน้องๆบางคนถึงกับบอกว่า
น้องๆ : ถ่ายงานบางทีก็ได้ตั้งแต่ 2k - 4k นะ อจ. คือถ้าสมัครงานไป เงินเดือน 15k - 20k ทำงาน จ. - ศ. ผมรับงานถ่าย 10 วัน ผมก็ได้เท่าเค้าแล้ว แล้วพวกนี้ถ้าถ่ายสวย ราคามันอัพตามผลงานครับ
ผม : จิง เด้วนี้แค่รับถ่ายรูปรับปริญญา ก็ได้วันนึงเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ต้องกลับไปรีทัช ให้นิ
น้องๆ : เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาครับ แต่งานมันอิสระ อีกอย่าง เขียนโปรแกรมมันแก้งานได้ แต่ถ่ายรูปแก้งานไม่ได้นะ ต้องถ่ายใหม่ ซึ่งถ้าถ่ายใหม่ ก็คิดค่าใช้จ่าย เพราะผมก็ต้องออกกอง (ยังกะถ่ายหนัง) นะครับ แต่ก็ไม่โหดขนาดนั้นนะ ผมก็ลดให้ ลค. ในกรณีถ่ายซ่อม
--- 3.2 IT Support ครับ งานสบายกว่ามั้ย เด็กๆบอกผมแบบนี้ว่า เทียบกันระหว่าง IT support เงินเดือน 12k กับโปรแกรมเมอร์ 15k (เอาเรทขั้นต่ำในกรุงเทพฯ นะ) งานโปรแกรมเมอร์ อยู่กะหน้าจอทั้งวัน งาน support ได้ออกไปไหนมาไหนด้วย งานก็เบากว่า
ซึ่งจริงๆ ปัญหานี้ เกิดจากผลพวงจาก ข้อ 1. กับ ข้อ 2. รวมกัน ทำให้ทั้งคนที่ทำอยู่แล้ว หรือคนที่กำลังจะเริ่มทำคิดว่า อาชีพโปรแกรมเมอร์เป็นอาชีพที่ทำงานหนัก และได้เงินน้อย ทำให้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า สนุกกว่า ได้เงินง่ายกว่า จริงๆแล้วมันไม่ใช่นะครับ ถ้าคุณดีลงานเป็นนะ อนาคตคุณสดใสยาว ถึงจะไม่รวยแบบห้าหมื่นล้าน แต่ผมเชื่อว่าถ้างานคุณดี และคุณดีลเป็นนะ คุณก็สามารถทำเงินได้มากกว่าหมอซะอีกนะฮะ
4. ฟรีแลนซ์ที่น่าเชื่อถือ หาได้ยากครับ พวกนี้ส่วนใหญ่ ไม่ค่อยชอบทำ profile หรือไม่อัพเดท เนื่องมาจากคำอ้างว่า "ไม่มีเวลา" ซึ่งจิงๆผมว่าไม่ใช่ครับ คุณไม่อยากทำตะหาก หากคุณอยากได้โปรเจคดีๆ และราคาดีๆ คุณต้องคิดตามหลักความเป็นจิงว่า คนเราจะเลือกอะไรนั้น จะดูที่ผลงานที่เคยทำ (ไม่นับคนมีเงิน กับคนมีเส้นนะ) ดังนั้น ถ้าคุณไม่ทำ คุณเอาแต่บอกว่า "ผมทำระบบให้แบงค์ระดับโลก" หรือ "ผมผ่านการทำระบบให้ FBI มาแล้ว" อะไรทำนองนี้ น้อยคนจะเชื่อคุณนะครับ ดังนั้นเสียเวลาสักนิด ทำเถอะครับ เอาเวลาดูซีรีย์ ไปทำก็ได้ โปรแกรมเมอร์ชอบพูดว่า "ผมไม่ทำ portfolio นะ แต่งานก็มาไม่ขาด แค่นี้งานก็ล้นมือแล้ว" ประจำเลยครับ สุดท้ายพอคุณเห็นคนที่ดีกว่าได้ค่าตอบแทนมากกว่า คุณก็จะนึกท้อว่าทำไมกุได้แค่นี้วะ ละก็จะออกอารมณ์ติส วนลูปตามฟอร์ม
5. ผลพวงมาจากข้อ 4. โปรแกรมเมอร์ที่ไม่ทำ portfolio หรือ present ไม่เป็น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นได้แค่มือปืนรับจ้าง แล้วปล่อยให้คนกลางมาเอาเปรียบคุณ ผมไม่ได้บอกว่ารับงานต่อจากคนกลางไม่ดีนะครับ แต่อยากให้คุณเลือกดีๆ ผมจะเล่าเคสนึงให้ฟัง เคสนี้เพื่อนผมโดนมานะครับ ผมไม่โดน เพื่อนชื่อ N , ผู้ว่าจ้าง ชื่อ Dr.X เรื่องมีอยู่ว่า
Dr.X : น้อง N ครับ พอดีผมได้เบอร์มาจากคนรู้จัก ผมหาคนเขียนระบบอยู่ สนใจมั้ยครับ
N : ระบบเกี่ยวกับอะไรครับ
Dr.X : เป็นระบบของราชการแห่งหนึ่ง เงินดีมาก พี่ก็ยังไม่รู้รายละเอียด ถ้าสนใจเด้วเรานัดเจอกัน
... พอคุยกันจบ ก็ตกลงค่าเสียหายกันไป เพื่อนผมได้ 70k ซึ่ง ณ ตอนนั้น ด้วยอายุเท่านั้น 70k ก็ถือว่าเยอะ แต่พอทำไปทำมา เปลี่ยนเยอะมากครับ เพราะคนที่รับงานก็สักแต่รับ ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดให้ ไม่มีการทำข้อตกลงกัน เอาแต่ปากเปล่าเสมอ มันก็ไม่ต่างอะไรกับเคสที่ผมเล่าให้ฟังตอนที่ #1 - #3 แต่ต่างกันตรงที่ตอนนั้นเพื่อนผมดีใจที่ได้ 70k ใช่มั้ยครับ แต่คนกลางที่ไม่ได้ช่วยในการทำข้อตกลงที่รัดกุม ได้ไป 350k ครับ และสุดท้ายจบด้วยการหนีไม่จ่าย เพราะเพื่อนผมทำไม่เส็ด (มันจะเส็ดได้ไง แก้แล้วแก้อีก แก้ไม่รู้จบ)
และมีเหตุผลอื่นๆอีกมากมายที่ทุกคนจะเจอ คนเรา 100 8000 9 ครับ มันเจอไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่จากเหตุผลข้างบนนี้ ส่วนใหญ่จะเกิดขั้นเพราะ มีคนรับทำโดยไม่ได้คิดให้ดี พอราคาที่ตัวเองรับมาไม่คุ้ม ผมบอกได้เลย น้อยคนที่จะทำต่อ นะครับ ผมเคยโดนทิ้งงานไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง (คืองานเยอะ แต่เมื่อก่อนตีราคาไม่เป็น รีบมากก็ต้องจ้างเค้า พอแก้เยอะหน่อย ก็หนี ไม่รับโทสับ ถ้าอยากฟังเคสนี้วันหลังจะเล่าให้ฟังนะครับ) สุดท้ายคนเสีย คือใครครับ คือลูกค้านะครับ เพราะเค้าเสียโอกาสในการทำธุรกิจไป พอเกิดแบบนี้เรื่อยๆ เป็นไงครับ ใครมันจะอยากจ้างคนไทยทำล่ะครับ เพราะเรื่องเลวมักจะไปเร็วเสมอนะครับ
สุดท้ายนี้ อยากฝากข้อคิด 5 ข้อข้างบนไว้นะครับ ลองคิดทบทวนดูว่าเราเป็นแบบนี้หรือป่าวนะครับ ถ้าเป็นก็เริ่มเดินไปข้างหน้า ก้าวไปข้างหน้าได้แล้วนะค้าบ เด้วจะโดนฝั่งพม่า หรือเวียดนามแซงไปนะครับ โปรแกรมเมอร์ไม่ใช่อาชีพที่ ถึก และเงินน้อยอย่างที่คิดนะครับ มันเป็นอาชีพที่ก้าวกระโดดอีกอาชีพนึงเลยนะครับผม เพื่อนผมทำงานประจำนะ เริ่ม 8 เลิก 5 โมงเย็น ทำตั้งแต่เงินเดือน 15k (เริ่มต้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว อยู่ บ.น้ำมันแห่งหนึ่ง) ตอนนี้ได้เหยียดแสนแล้วครับ บางคนบอกว่าน้อย แต่เหยียดแสนนี่ไร้ความเสี่ยงครับ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดี หรือไม่ดี ผลผลิตขายได้หรือไม่ได้ ก็ได้เท่านี้ครับ
ปล. อยากให้ทุกคนแชร์ความคิดเห็นกัน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังนะครับ ลองคิดดูนะครับ ว่าทางของเราคืออะไร ถ้ายังไม่เจอ ก็สั่งสมประสบการณ์ไปก่อนนะครับ ขอบคุณมากครับผม