ChanGe to ChanCe, Chapter 1 : จุดเริ่มต้นของการได้ทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษ

เรื่องราวที่เขียนขี้นมาเป็นเรื่องราวการเดินทางของชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องผลัดถิ่นฐานไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษคนเดียวตั้งแต่อายุ 18 จวบจนบัดนี้อายุเข้าเบญจเพศ  ด้วยทุนการศึกษาจากหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งของไทยให้เรียนถึงขั้นสูงสุดของปริญญาที่ชาวบ้านเค้ามีกำหนดไว้ นี่จะเป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดเรื่องราวเตือนใจ สะเทือนใจ และเรื่องราวประทับใจต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต  รวมถึงข้อคิดในการรับทุนการศึกษาว่าควรจะเลือกแบบไหนให้เหมาะสมกับตัวเอง

เราสัญญาว่าหลังจากวินาทีที่เราเริ่มเขียนและเอาเรื่องของตัวเองเผยแพร่

เราจะเริ่มต้นทำธุรกิจที่เราสนใจให้สำเร็จ และเรียนต่ออีกปริญญาให้สำเร็จลุล่วงที่อังกฤษ

และเมื่อเราเขียนจบ  มันหมายความว่า  ชีวิตเราจะติดปีกอีกชั้นนึง...​เพื่อบินต่อไปในทิศทางใหม่ๆ ละนะ



ขอเรียกแทนตัวเองว่า “เกนหลง” หรือ “เกน” ละกันนะคะ (เอามาจากเรื่อง อย่าลืมฉัน ที่มีติ๊ก แอน ศรีริต้า และพี่ก้องเป็นนักแสดงนำ) ที่ใช้ชื่อนี้เพราะว่ามีรุ่นพี่คนนึงที่รู้จักบอกว่า ลักษณะนิสัยเราคล้ายเธอมากเลย คือเป็นคนมีความมั่นใจ มองโลกในแง่บวก ค่อนข้างที่จะกล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง และที่สำคัญเราโตมาจากสังคมเมืองนอกในระยะหนึ่ง และมีวี่แววว่าจะต้องกลับไปใช้ชีวิตที่นั่นอีกภายในไม่กี่เดือนนี้ เพื่อไปเรียนต่ออีก 1 ปริญญา

เสียดายอยู่อย่างเดียว ตอนเลือกชื่อนี้คือ เราก็ละอายนะ เพราะเราสวยไม่ได้ครึ่งของพี่ริต้าเลย  ฮ่าๆๆ คนอาไร้  งามเหมือนนางฟ้า และเท่าที่ดูบทสัมภาษณ์มาพี่เค้าเป็นที่มองโลกในแง่บวก มีความสุขกับการใช้ชีวิตมาก (มีอันนี้แหละที่เหมือนหน่อยคือมองโลกในแง่บวก)  (อีกคนที่ชอบมากคือ คุณโอปอล์  คือพี่ใช่สำหรับหนูมากเลยค่ะ เป็นคนที่มีความคิดสวย เท่ และดีมาก ขอชื่นชมดังๆ )

เอาละเริ่มเรื่องเลยแล้วกันค่ะ

เกนเติบโตมาในสังคมไทยจนถึงช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะไปต่อที่อังกฤษ ฉะนั้นวัฒนธรรมไทย หลักการการใช้ชีวิตของวัยรุ่นและของผู้ใหญ่คนไทย เกนค่อนข้างจะเข้าใจเป็นอย่างดี เพราะว่าได้มีโอกาสใช้ชีวิตที่นี่อยู่มาเกินครึ่งชีวิต และเป็นคนที่ชอบสนทนากับคนอายุมากกว่า  โดยส่วนตัวทางบ้านเราจะให้ออกงานสังคมตั้งแต่เด็ก  เนื่องจากหน้าที่การงานของคุณพ่อและคุณแม่ที่มีงานให้ออกไปพบปะผู้คนหลากหลายอาชีพอยู่เหมือนกันค่ะ  เท่าที่จำได้คือตั้งแต่ประมาณ 5-6 ขวบ ไปงานเลี้ยงสังสรรค์ของคุณพ่อ คุณแม่ บ่อยมากกกกกกก  งานปั้นหน้าทั้งหลาย เกนเจอมาหมดแล้ว  ขอนอกเรื่องแป๊บนะคะ  ก็แปลกดีนะในเมืองไทย  ยามที่เราไม่พอใจอะไร หรือคิดว่าสิ่งที่บุคคลร่วมวงสนทนาพูดได้แย่มากกกเลย  (คิดในใจว่า  นี่เค้าคิดแล้วเหรอ ถึงช่างกล้านักที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา หรือพูดจาดูถูกคนอื่นได้ขนาดนี้) ถ้าบุคคลคนนั้นเป็นคนมีฐานะหรือถูกเรียกว่าไฮโซ หรือ ไฮซ้อทั้งหลายเหล่านี้  มักจะไม่กล้ามีใครพูดขัดนัก (ซึ่งบางทีเป็นคนรู้จักของคุณพ่อ คุณแม่ เราก็ไม่กล้าจะสวนกลับมากนัก แต่ถ้าเจอกันนอกรอบคงอีกเรื่องนึง) ชีวิตก็ดำเนินเรื่อยมาเหมือนเด็กไทยคนอื่นทั่วไป ที่บ้านมีฐานะปานกลาง ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก เพราะที่บ้านเราไม่ได้ทำธุรกิจนะคะ

เราได้รับการส่งเสริมให้เรียนโรงเรียนไทยมาตลอดก่อนที่จะได้มีโอกาสไปเรียนต่อที่อังกฤษ แต่ว่าลักษณะนิสัยของเรานั้น จริงๆ แล้วช่างผิดกับเด็กไทยคนอื่นๆ ยิ่งนัก (ไม่ได้พูดเอง แต่ว่ามีหลายคนเคยบอกไว้)  คือ เป็นคนกล้าแสดงออก   อยากรู้ อยากเห็นในเรื่องใหม่ๆ คิดเร็ว ทำเร็ว พูดตรงมากกก (แต่ตอนนี้ก็เริ่มเพลาๆ ความตรงละค่ะ หลังจากทำงานและทำกิจกรรมมาเยอะ คือมาคิดได้ว่า บางทีมันต้องมีเส้นชั้นกลางๆ ของคำว่า "มีมารยาทอยู่ด้วยบ้างนะ" )  และโดยส่วนตัวเรามีความชอบทางด้านภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ เรื่องมันเริ่มมาจากตอนเด็กๆ ซักจะ ห้าขวบได้ นั่งดูข่าวพระราชสำนักอังกฤษกับคุณแม่เห็นเจ้าชายวิลเลี่ยม หัวทอง หน้ากลม แก้มแดงๆ ตาโตสีฟ้าอมเขียวส่วย ส่งยิ้มมาจากในทีวี แล้วแบบว่า โอววว หลงรักเลย เลยถามคุณแม่ว่าเค้าเป็นใครมาจากไหน  แล้วจึงได้ทราบมาว่าท่านชายสุดหล่อของเรา เค้ามาจากอังกฤษค่าาาาา   จึงเริ่มไปสืบประวัติความเป็นมา และคราวนี้ถึงขั้นไปเปิดแผนที่เลย อังกฤษนี่มันอยู่ไหน พ่อแม่เค้าเป็นใคร อ่าวมีน้องชายด้วย เจ้าชายแฮร์รี่ ตอนนั้นหล่อสู้พี่ไม่ได้ (แต่ตอนนี้หล่อมากกกกกก)  ก็เลยเริ่มหัดฝึกพูดตั้งแต่นั้นและเห็นว่าภาษานี้มันง่ายที่จะเข้าใจดี  ฟังแล้วเหมือนฟังเพลงไปตลอดเวลา  เลยยิ่งชอบเข้าไปใหญ่

ด้วยความที่ตอนนั้นเด็กมากและไม่เคยไปเมืองนอกมาก่อน เราเลยประทับใจบ้านเมืองทางฝั่งยุโรปมาก เพราะว่าอะไร ๆ มันแลดูดีมากจากภาพถ่ายในนิตยสารและภาพเคลื่อนไหวทางโทรทัศน์ที่เราหามา  ตอนนั้นเราจำได้เลยว่าซักประมาณห้าขวบ  เราอยู่ดีๆ ก็พูดออกมากับคุณแม่ของเราว่า “เราจะไปเรียนต่อที่อังกฤษให้ได้”  ทั้งๆ ที่จริงแล้วฐานะที่บ้านเราก็ไม่ได้ดีมาก ถึงขนาดที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศได้  แม่เรายังคิดว่าเราเพ้ออยู่เลย  เพราะอะไรๆ มันดูไม่อำนวยจริงๆ



เรื่องนี้ก็เก็บไว้ในใจเราเรื่อยมาตั้งแต่เด็ก ว่าเราต้องไปเรียนต่อเมืองนอกให้ได้ เวลาว่างๆ ตอนเด็ก ๆ ถ้าเลือกที่จะเรียนพิเศษได้ 1 ในนั้นคือ การฝึกพูดภาษาอังกฤษ หรือการไปเรียน Grammars ที่โรงเรียนกวดวิชาต่างๆ ได้เงินบ้านเราไปแล้วคงหลายหมื่นอยู่ในที (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เราว่าการ Self-study ก็โอเคนะ ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเสียเงินเลย เสียดายตังค์มาก นี่คือคิดได้ตอนโต  ขอโทษนะคะ คุณพ่อ คุณแม่ หนูใช้เงินไม่เป็นจริงๆ ตอนนั้น)  สำหรับตัวเรานะคะ  พออยากได้อะไร หรืออยากเป็นอะไร มันเหมือนกับมีแรงดึงดูดจริงๆ นะคะ  ยิ่งอยากได้ ยิ่งอยากไปเข้าใกล้สิ่งนั้นให้มากที่สุด มันจะมีแรงขับเคลื่อนให้ไปเรียนพิเศษเพิ่ม เอาตัวเข้าไปใกล้วัฒนธรรมฝั่งตะวันตกมากขึ้นทุกวั๊น ทุกวัน ไม่รู้จักเหนื่อย

พอมานั่งคิดเมื่อกี้ เกนว่าที่เกน ได้ไปเรียนต่อที่อังกฤษสมใจหวังเนี่ย  มันเหมือนกับ ที่หนังสือที่เกนเคยอ่านของคุณสมคิด ลวางกูรพูดเอาไว้ว่าเคล็ดลับของการประสบความสำเร็จที่เค้านำมาใช้ (คุณสมคิดได้แง่คิดนี้มากจากการอ่านหนังสือของ  คุณเดล คานิกี้อีกทีนึง ) คือ

1. จงตั้งเป้าหมายไว้ ให้ชัดเจน เอาแบบเรา Visualize ตัวเองให้เห็นภาพว่าได้รับสิ่งนั้นหรือทำสิ่งนั้นอยู่ (ทำมันซ้ำๆ อยู่นั่นละ ทุกวันจริงๆ )
2. จงกำหนดระยะเวลาเป้าหมายให้ชัดเจน  เช่น เราจะต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษให้ได้ก่อนอายุ 20 ปี
3. จงป่าวประกาศให้โลกรู้  ว่าเรามีเป้าหมายว่ายังไง  เอาให้ตัวเองอายเลย  ถ้าทำไม่สำเร็จ  (แต่จริงๆ แล้วข้อนี้คือกุศโลบายให้เรามีแรงฮึดที่จะสู้ต่อ และดึงดูดคนที่มี Mindset เหมือนกันมาช่วยเราได้ หรือคนที่สามารถช่วยเราได้ มาส่งเสริมเราในภายหลัง  ของเราก็บอกแม่ไปแล้วตั้งแต่ ห้าขวบอ่านะ )

เด็กห้าขวบคนนั้น ได้ทำตามสามข้อนี้  อย่างไม่รู้ตัวมาโดยตลอด  โดยที่ไม่รู้ว่านี่คือหนทางไปสู่สิ่งที่เธอคนนั้นใฝ่ฝันมาตลอด  แต่รู้แค่ว่า "ถ้าไม่ทำแล้วนั่งอยู่เฉยๆ เราจะเสียใจมากที่ไม่ได้เข้าใกล้หนึ่งในความฝันของเธอ แค่นั้นเอง"




เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ  ว่าเส้นทางการไปได้ทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษนี่เป็นยังไง ทรหดแค่ไหน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่