ผู้กำกับฯ : เดวิด โอ. รัสเซลล์
นักแสดง : แบรดลีย์ คูเปอร์, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, โรเบิร์ต เดอ นิโร, คริส ทัคเกอร์, จูเลีย สไตลส์
คะแนน : 3/5
------------------------------------------------------------------------------
Silver Linings Playbook ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 2013 ถึง 8 สาขา
ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (ได้รางวัล)
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ผู้กำกับฯยอดเยี่ยม ตัดต่อยอดเยี่ยม และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
ว้าวๆๆ ได้เข้าชิงรางวัลใหญ่เยอะขนาดนี้ ผมว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วละครับ
ที่สนใจและรอเสียเงินให้กับหนังเรื่องนี้
--------------------------------------------------------------------------------
เรื่องย่อ
แพท โซลาทาโน (แบรดลีย์ คูเปอร์) สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบ้าน งาน และภรรยา
ภายหลังใช้เวลา 8 เดือนในโรงพยาบาลจิตเวช
เมื่อถึงเวลาที่เขากลับมาอาศัยอยู่กับแม่ (แจ็คกี้ วีฟเวอร์) และพ่อ (โรเบิร์ต เดอ นิโร)
เขาหวังจะเริ่มชีวิตใหม่ ด้วยการไปขอคืนดีกับภรรยา
ทว่าพ่อกับแม่อยากให้เขาปลดเปลื้องภาระทางใจทิ้งให้หมด
และใช้เวลากับการเชียร์ทีมอเมริกันฟุตบอลสุดโปรดของครอบครัว
แต่แล้วเรื่องราวก็เริ่มยุ่ง เมื่อแพทได้พบทิฟฟานี (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) หญิงสาวลึกลับมากปัญหา
ผู้เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะทำให้เขาสามารถปรับความเข้าใจกับภรรยา
โดยแลกกับการที่แพทต้องช่วยเหลือเธอบางอย่างเช่นกัน ทันทีที่ข้อตกลงสัมฤทธิ์ผล
สายสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ก็เริ่มต้น ซึ่งทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นั้น
--------------------------------------------------------------------------------------
นี่มันสูตรสำเร็จชัดๆ เป็นการเล่าเรื่องที่ธรรมดาจนถึงธรรมดามาก
เปิดเรื่องด้วยพระเอกที่กำลังท่องบทว่าเขาจะขอคืนดีภรรยาอย่างไร
แล้วเนื้อเรื่องก็ดำเนินต่ออย่างเรียบง่าย เขากลับไปบ้าน เจอพ่อที่ยังคงมองเขาด้านลบอยู่
แล้วก็ออกไปดินเนอร์กับเพื่อนสนิท จึงได้พบกับนางเอก (น้องสาวของภรรยาของเพื่อนสนิท)
ผู้มีปัญหาหลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิต
ด้วยความบ้า (อาจจะใช้คำรุนแรง แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ) ทำให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม (นิดหนึ่ง)
จนฝ่ายพระเอกขอร้องให้นางเอกช่วยส่งจดหมายแทนคำในใจไปให้ภรรยา
ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครพอจะเข้าใจถึงความรู้สึกของพระเอกได้นอกจากนางเอกผู้ที่มีปัญหาคล้ายๆ กัน
จบ...
ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแค่นี้เท่านั้นหรือ
แล้วบทบาทความสัมพันธ์ที่ควรจะมีหรือควรจะเป็นล่ะ
อย่างเช่น การคลี่คลายปัญหาทางจิตใจของพระเอก โดยใช้ความขัดแย้งเพื่อแก้ไขปัญหา
ซึ่งความจริงแล้วคนเขียนบทสามารถใส่เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้หลากหลายมากเลยนะครับ
เพราะการคลี่คลายปมที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ จำเป็นจะต้องเกิดเรื่องราวที่ขัดแย้งกันของตัวละครเสียก่อน
แล้วค่อยปูเรื่องราวให้ดำเนินไปสู่จุดไคลแมกซ์ (จุดที่ตัวละครแก้ไขปัญหาร่วมกัน)
แต่เท่าที่ผมสังเกต การซ่อนปมและการคลี่คลายปมของตัวละครด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่างๆ นั้น
‘อ่อนยวบ’ เกินไป มีแค่บทบาทของพระเอกและนางเอกเท่านั้น
ซึ่งเรื่องราวที่อ่อนยวบนั้นทำให้ผมไม่อินไปกับทั้งคู่มากนัก
ดังนั้น ผู้กำกับฯหรือคนเขียนบท ควรเพิ่มบทบาทของพ่อกับลูก หรือแม่กับลูก หรือพี่ชายกับน้องชาย
และอีกหลากหลายเรื่องราวที่จะทำให้หนังมีรสชาติเข้มข้นและกลมกล่อม
ดังนั้น การที่เรื่องนี้ได้เข้าชิงออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
หรือผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรแม้แต่น้อย
--------------------------------------------------------------------------------
มาพูดเรื่องการแสดงของตัวละครหลักดีกว่าครับ เพราะเรื่องนี้นักแสดงนำทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
ทั้งคู่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แต่มีเพียงเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ที่สามารถคว้ารางวัลไปได้
(ความจริงแล้ว จากทั้ง 8 สาขา ก็ได้รางวัลเพียงแค่สาขาเดียว)
ถ้าถามผมว่าเธอควรจะได้รับรางวัลออสการ์หรือไม่ ผมขอตอบอย่างจริงจังและจริงใจครับว่า ‘ไม่’
แม้ว่าบทบาทของนางเอกจะเข้มข้นพอสมควร และเจนนิเฟอร์ก็สามารถแสดงได้สมบทบาท ‘พอสมควร’
แต่เธอไม่สมควรได้ เพราะ...
รางวัลออสการ์ที่มอบให้กับนักแสดงสมควรจะมอบให้กับการแสดงอัน ‘ยอดเยี่ยม’ ของนักแสดง
และบทบาทนั้นต้องเป็นบทบาทที่ไม่สามารถมีใครเล่นได้อย่างถึงบทบาท นอกจากคนที่ได้รางวัลเพียงคนเดียวเท่านั้น
ถ้าลองมาดูรายชื่อของนักแสดงนำหญิงที่ได้เข้าชิงรางวัล ไม่ว่าจะเป็น Jessica Chastain (Zero Dark Thirty)
หรือ Naomi Watts (The Impossible) และคนอื่นๆ
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบทบาทในหนังของคนอื่นนั้น ‘ส่ง’ ให้พวกเธอได้ใช้ศักยภาพสูงสุดในการแสดง
และสมควรที่จะได้รับรางวัลมากกว่าเจนนิเฟอร์ทั้งสิ้น
ส่วนพระเอกกับการเข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อันนั้นพอไปไหวครับ
เพราะแบรดลีย์ คูเปอร์สามารถแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด หงุดหงิดง่าย พร้อมจะระเบิดอารมณ์ตลอดเวลาได้อย่างพอดี
แต่...ก็ยังไม่ดีพอที่จะคว้ารางวัลไปนอนกอด
--------------------------------------------------------------------------------------
ลองจินตนาการถึงภูเขาไฟซึ่งอยู่ใกล้กัน ระเบิดออกพร้อมกัน จนทำให้ภูเขาไฟทั้ง 2 ลูกนั้นกลายเป็นภูเขาที่สวยงาม สงบ เยือกเย็น
เอ้า!!! หนึ่ง สอง สาม ลองนึกในหัวดูครับ
แล้วลองนึกภาพคนที่เป็นโรคประสาท ควบคุมอารมณ์โทสะของตัวเองไม่อยู่จนต้องเข้าโรงพยาบาลจิตเวช 8 เดือน
มาเจอกับหญิงสาวที่มีปัญหาด้านจิตใจหลังจากสามีตายจนต้องกินยาและย้ายห้องไปอยู่ตรงสวนหลังบ้าน จะเกิดอะไรขึ้น
พูดง่ายๆ เลย ก็เกิด ‘นรกแตก’ น่ะสิครับ
แต่...ในหนังมันไม่ได้มีฉากนรกแตกเลยน่ะสิ ฉากสนทนาของพระเอกและนางเอกก็ค่อนข้างเรียบร้อยและเรียบง่าย
จนทำให้ไม่มีจุดแตกหักหรือจุดไคลแมกซ์ให้คนดูเชื่อถือถึงความสัมพันธ์ รวมถึงไม่ช่วยให้คนดูลุ้นและอินไปกับตัวละคร
เอาเข้าจริงที่ผมตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้เป็นเพราะหนังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา และเป็นสาขาใหญ่เสียด้วย
แต่...ต้องผิดหวัง และบ่นกับตัวเองตลอดว่า
ออสการ์ปี 2013 เฟลมากๆ
[CR] Silver Linings Playbook : เฟล
นักแสดง : แบรดลีย์ คูเปอร์, เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์, โรเบิร์ต เดอ นิโร, คริส ทัคเกอร์, จูเลีย สไตลส์
คะแนน : 3/5
------------------------------------------------------------------------------
Silver Linings Playbook ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ 2013 ถึง 8 สาขา
ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (ได้รางวัล)
นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม
ผู้กำกับฯยอดเยี่ยม ตัดต่อยอดเยี่ยม และ บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
ว้าวๆๆ ได้เข้าชิงรางวัลใหญ่เยอะขนาดนี้ ผมว่าคงไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วละครับ
ที่สนใจและรอเสียเงินให้กับหนังเรื่องนี้
--------------------------------------------------------------------------------
เรื่องย่อ
แพท โซลาทาโน (แบรดลีย์ คูเปอร์) สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งบ้าน งาน และภรรยา
ภายหลังใช้เวลา 8 เดือนในโรงพยาบาลจิตเวช
เมื่อถึงเวลาที่เขากลับมาอาศัยอยู่กับแม่ (แจ็คกี้ วีฟเวอร์) และพ่อ (โรเบิร์ต เดอ นิโร)
เขาหวังจะเริ่มชีวิตใหม่ ด้วยการไปขอคืนดีกับภรรยา
ทว่าพ่อกับแม่อยากให้เขาปลดเปลื้องภาระทางใจทิ้งให้หมด
และใช้เวลากับการเชียร์ทีมอเมริกันฟุตบอลสุดโปรดของครอบครัว
แต่แล้วเรื่องราวก็เริ่มยุ่ง เมื่อแพทได้พบทิฟฟานี (เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) หญิงสาวลึกลับมากปัญหา
ผู้เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่จะทำให้เขาสามารถปรับความเข้าใจกับภรรยา
โดยแลกกับการที่แพทต้องช่วยเหลือเธอบางอย่างเช่นกัน ทันทีที่ข้อตกลงสัมฤทธิ์ผล
สายสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ก็เริ่มต้น ซึ่งทำให้ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นั้น
--------------------------------------------------------------------------------------
นี่มันสูตรสำเร็จชัดๆ เป็นการเล่าเรื่องที่ธรรมดาจนถึงธรรมดามาก
เปิดเรื่องด้วยพระเอกที่กำลังท่องบทว่าเขาจะขอคืนดีภรรยาอย่างไร
แล้วเนื้อเรื่องก็ดำเนินต่ออย่างเรียบง่าย เขากลับไปบ้าน เจอพ่อที่ยังคงมองเขาด้านลบอยู่
แล้วก็ออกไปดินเนอร์กับเพื่อนสนิท จึงได้พบกับนางเอก (น้องสาวของภรรยาของเพื่อนสนิท)
ผู้มีปัญหาหลังจากที่สามีของเธอเสียชีวิต
ด้วยความบ้า (อาจจะใช้คำรุนแรง แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ) ทำให้ทั้งคู่ได้ใกล้ชิดสนิทสนม (นิดหนึ่ง)
จนฝ่ายพระเอกขอร้องให้นางเอกช่วยส่งจดหมายแทนคำในใจไปให้ภรรยา
ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครพอจะเข้าใจถึงความรู้สึกของพระเอกได้นอกจากนางเอกผู้ที่มีปัญหาคล้ายๆ กัน
จบ...
ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแค่นี้เท่านั้นหรือ
แล้วบทบาทความสัมพันธ์ที่ควรจะมีหรือควรจะเป็นล่ะ
อย่างเช่น การคลี่คลายปัญหาทางจิตใจของพระเอก โดยใช้ความขัดแย้งเพื่อแก้ไขปัญหา
ซึ่งความจริงแล้วคนเขียนบทสามารถใส่เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้หลากหลายมากเลยนะครับ
เพราะการคลี่คลายปมที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ จำเป็นจะต้องเกิดเรื่องราวที่ขัดแย้งกันของตัวละครเสียก่อน
แล้วค่อยปูเรื่องราวให้ดำเนินไปสู่จุดไคลแมกซ์ (จุดที่ตัวละครแก้ไขปัญหาร่วมกัน)
แต่เท่าที่ผมสังเกต การซ่อนปมและการคลี่คลายปมของตัวละครด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครต่างๆ นั้น
‘อ่อนยวบ’ เกินไป มีแค่บทบาทของพระเอกและนางเอกเท่านั้น
ซึ่งเรื่องราวที่อ่อนยวบนั้นทำให้ผมไม่อินไปกับทั้งคู่มากนัก
ดังนั้น ผู้กำกับฯหรือคนเขียนบท ควรเพิ่มบทบาทของพ่อกับลูก หรือแม่กับลูก หรือพี่ชายกับน้องชาย
และอีกหลากหลายเรื่องราวที่จะทำให้หนังมีรสชาติเข้มข้นและกลมกล่อม
ดังนั้น การที่เรื่องนี้ได้เข้าชิงออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม
หรือผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรแม้แต่น้อย
--------------------------------------------------------------------------------
มาพูดเรื่องการแสดงของตัวละครหลักดีกว่าครับ เพราะเรื่องนี้นักแสดงนำทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
ทั้งคู่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แต่มีเพียงเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ที่สามารถคว้ารางวัลไปได้
(ความจริงแล้ว จากทั้ง 8 สาขา ก็ได้รางวัลเพียงแค่สาขาเดียว)
ถ้าถามผมว่าเธอควรจะได้รับรางวัลออสการ์หรือไม่ ผมขอตอบอย่างจริงจังและจริงใจครับว่า ‘ไม่’
แม้ว่าบทบาทของนางเอกจะเข้มข้นพอสมควร และเจนนิเฟอร์ก็สามารถแสดงได้สมบทบาท ‘พอสมควร’
แต่เธอไม่สมควรได้ เพราะ...
รางวัลออสการ์ที่มอบให้กับนักแสดงสมควรจะมอบให้กับการแสดงอัน ‘ยอดเยี่ยม’ ของนักแสดง
และบทบาทนั้นต้องเป็นบทบาทที่ไม่สามารถมีใครเล่นได้อย่างถึงบทบาท นอกจากคนที่ได้รางวัลเพียงคนเดียวเท่านั้น
ถ้าลองมาดูรายชื่อของนักแสดงนำหญิงที่ได้เข้าชิงรางวัล ไม่ว่าจะเป็น Jessica Chastain (Zero Dark Thirty)
หรือ Naomi Watts (The Impossible) และคนอื่นๆ
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบทบาทในหนังของคนอื่นนั้น ‘ส่ง’ ให้พวกเธอได้ใช้ศักยภาพสูงสุดในการแสดง
และสมควรที่จะได้รับรางวัลมากกว่าเจนนิเฟอร์ทั้งสิ้น
ส่วนพระเอกกับการเข้าชิงสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม อันนั้นพอไปไหวครับ
เพราะแบรดลีย์ คูเปอร์สามารถแสดงอารมณ์เกรี้ยวกราด หงุดหงิดง่าย พร้อมจะระเบิดอารมณ์ตลอดเวลาได้อย่างพอดี
แต่...ก็ยังไม่ดีพอที่จะคว้ารางวัลไปนอนกอด
--------------------------------------------------------------------------------------
ลองจินตนาการถึงภูเขาไฟซึ่งอยู่ใกล้กัน ระเบิดออกพร้อมกัน จนทำให้ภูเขาไฟทั้ง 2 ลูกนั้นกลายเป็นภูเขาที่สวยงาม สงบ เยือกเย็น
เอ้า!!! หนึ่ง สอง สาม ลองนึกในหัวดูครับ
แล้วลองนึกภาพคนที่เป็นโรคประสาท ควบคุมอารมณ์โทสะของตัวเองไม่อยู่จนต้องเข้าโรงพยาบาลจิตเวช 8 เดือน
มาเจอกับหญิงสาวที่มีปัญหาด้านจิตใจหลังจากสามีตายจนต้องกินยาและย้ายห้องไปอยู่ตรงสวนหลังบ้าน จะเกิดอะไรขึ้น
พูดง่ายๆ เลย ก็เกิด ‘นรกแตก’ น่ะสิครับ
แต่...ในหนังมันไม่ได้มีฉากนรกแตกเลยน่ะสิ ฉากสนทนาของพระเอกและนางเอกก็ค่อนข้างเรียบร้อยและเรียบง่าย
จนทำให้ไม่มีจุดแตกหักหรือจุดไคลแมกซ์ให้คนดูเชื่อถือถึงความสัมพันธ์ รวมถึงไม่ช่วยให้คนดูลุ้นและอินไปกับตัวละคร
เอาเข้าจริงที่ผมตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้เป็นเพราะหนังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 8 สาขา และเป็นสาขาใหญ่เสียด้วย
แต่...ต้องผิดหวัง และบ่นกับตัวเองตลอดว่า
ออสการ์ปี 2013 เฟลมากๆ