คอลัมน์ เข็มทิศเศรษฐกิจ
การที่ยอดส่งออกติดลบอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว หลังจากตัวเลขส่งออก 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ติดลบมากขึ้นที่ 1.22% คิดเป็นมูลค่า 92,862.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ห่างไกลจากเป้าหมายการส่งออกที่สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ (สภาผู้ส่งออก) ประมาณการครั้งล่าสุดว่าจะขยายตัว 3% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งลดลงจากครั้งแรกที่ตั้งไว้ 5%
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกกล่าวว่า สภาผู้ส่งออกจะทบทวนประมาณการส่งออกในเดือนหน้า หากยอดส่งออก 7 เดือนหลังได้เฉลี่ยเดือนละ20,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งปีจะขยายตัว 3% แต่คงเป็นไปได้ยาก และหากส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งปีอาจติดลบ 0.5% ถึงขยายตัว 0% โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ต่ำเพียง 2.7% นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน ความตึงเครียดจากสงครามระหว่างประเทศ และปัญหาโลกร้อนที่ส่งผลต่อการส่งออกด้วย
อียูทุบส่งออก
หลังจากสหภาพยุโรปประกาศตัดความสัมพันธ์ไม่เดินทางมาไทย และไม่ลงนามความตกลงหุ้นส่วนและความร่วมมือ (PCA) กับไทย จะเชื่อมโยงถึงการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอไทย-อียู) ที่เจรจามาแล้ว 4 ครั้ง ล่าช้าออกไป 1.5 ปี จนกว่าจะมีการเลือกตั้งตามแผนของ คสช.
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งออกกล่าวว่า อียูจะตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) อีก 723 รายการ ในวันที่ 1 มกราคม 2558 จากก่อนหน้านี้ที่ตัดสิทธิ์ไปแล้ว 50 รายการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2557 จะทำให้ไทยเสียเปรียบทางการแข่งขัน และมีผลต่อต้นทุนผู้นำเข้า เช่น รองเท้าผ้าใบ อัตราภาษีที่ได้จาก GSP ที่ 7.8% แต่เมื่อไม่มีสิทธิ์ GSP ที่ 17.8% ประเมินว่าการส่งออกช่วงไตรมาส 4 ปี 2557 เพิ่มขึ้นเพราะผู้ซื้อน่าจะเร่งสั่งซื้อสินค้า โดยอย่างช้าที่สุดต้องซื้อในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 เพื่อผ่านพิธีการศุลกากรให้ทันส่งมอบลูกค้าปลายทางก่อนตัด GSP
"ในช่วงสุญญากาศเอฟทีเอขอให้ประสานงานทางเทคนิคกันอย่างต่อเนื่องทุกหัวข้อ สมมติหากเจรจาจบ 30 มิถุนายน 2559 คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้เร็วสุด 1 มกราคม 2561 หรืออย่างช้า 1 กรกฎาคม 2561"
Tier 3 ทุบส่งออก
ส่วนกรณีสหรัฐขึ้นบัญชีไทยเป็นประเทศที่มีการค้ามนุษย์ในระดับรุนแรง (Tier 3) ตามกฎหมายให้เวลาอีก 90 วันเพื่อให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา พิจารณามาตรการลงโทษประเทศที่อยู่ในกลุ่ม Tier 3
แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่ามีความกังวล เท่ากับ ไทยเสียเปรียบคู่แข่ง อาทิ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งถูกจัดอันดับเพียง Tier 2 และจีนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Tier 2 Watch List แต่จะส่งผลต่อยอดคำสั่งซื้อในปี 2558 เป็นต้นไป ไทยต้องมุ่งไปยังตลาดอาเซียน จีน และอินเดีย ที่มีโอกาสและความต้องการสูง
ข้อเสนอภาครัฐ
แนวทางระยะสั้นขอให้สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการ SMEs Pro-activeเพิ่มเติม เนื่องจากงบประมาณปัจจุบันคงเหลือเพียง 80 ล้านบาท ไม่เพียงพอ และโครงการยกระดับ Value Chain สร้าง
เครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการและผู้ประกอบการในประเทศเป้าหมาย สร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบและสถานการณ์และพฤติกรรมการบริโภคภายในประเทศคู่ค้า เพื่อวางแผนธุรกิจ นอกจากนี้ ขอให้แก้ไขปัญหาการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เช่น การเรียกเก็บค่าภาระยกขนตู้สินค้า (Lift on Charge) ที่ไม่เป็นธรรม
แนวทางระยะกลาง-ระยะยาวคือ
1.ออกกฎหมายจัดระเบียบแรงงาน แก้ไขปัญหาแรงงานขาดแคลนอย่างชัดเจนและจริงจัง
2.แก้ไขกฎระเบียบข้อบังคับและกฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า
3.ส่งเสริมและพัฒนาการค้าผ่านด่านชายแดน โดยยกระดับด่าน โครงสร้างพื้นฐาน และความพร้อมในการปฏิบัติงาน
4.เตรียมความพร้อมด้านเทคนิคในการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู และเร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีอาเซียน+6 (RCEP) และ
5.จัดทำแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจบูรณาการภาครัฐและเอกชน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1404460844
---------------------------------------------------
ข้อเสนอภาครัฐ ขาดไปข้อสำคัญข้อหนึ่ง คือ
เสนอให้รีบจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นยอมรับของคู่ค้าต่างประเทศ !!!
-- อียูทุบส่งออก -- Tier 3 ทุบส่งออก -- สภาผู้ส่งออกเล็งหั่นเป้าปี"57 เหลือ -0.5% !!!
การที่ยอดส่งออกติดลบอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยมีแนวโน้มลดลงในระยะยาว หลังจากตัวเลขส่งออก 5 เดือน (ม.ค.-พ.ค.) ติดลบมากขึ้นที่ 1.22% คิดเป็นมูลค่า 92,862.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ห่างไกลจากเป้าหมายการส่งออกที่สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือฯ (สภาผู้ส่งออก) ประมาณการครั้งล่าสุดว่าจะขยายตัว 3% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งลดลงจากครั้งแรกที่ตั้งไว้ 5%
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกกล่าวว่า สภาผู้ส่งออกจะทบทวนประมาณการส่งออกในเดือนหน้า หากยอดส่งออก 7 เดือนหลังได้เฉลี่ยเดือนละ20,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งปีจะขยายตัว 3% แต่คงเป็นไปได้ยาก และหากส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 19,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งปีอาจติดลบ 0.5% ถึงขยายตัว 0% โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ต่ำเพียง 2.7% นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน ความตึงเครียดจากสงครามระหว่างประเทศ และปัญหาโลกร้อนที่ส่งผลต่อการส่งออกด้วย
อียูทุบส่งออก
หลังจากสหภาพยุโรปประกาศตัดความสัมพันธ์ไม่เดินทางมาไทย และไม่ลงนามความตกลงหุ้นส่วนและความร่วมมือ (PCA) กับไทย จะเชื่อมโยงถึงการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอไทย-อียู) ที่เจรจามาแล้ว 4 ครั้ง ล่าช้าออกไป 1.5 ปี จนกว่าจะมีการเลือกตั้งตามแผนของ คสช.
นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งออกกล่าวว่า อียูจะตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) อีก 723 รายการ ในวันที่ 1 มกราคม 2558 จากก่อนหน้านี้ที่ตัดสิทธิ์ไปแล้ว 50 รายการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2557 จะทำให้ไทยเสียเปรียบทางการแข่งขัน และมีผลต่อต้นทุนผู้นำเข้า เช่น รองเท้าผ้าใบ อัตราภาษีที่ได้จาก GSP ที่ 7.8% แต่เมื่อไม่มีสิทธิ์ GSP ที่ 17.8% ประเมินว่าการส่งออกช่วงไตรมาส 4 ปี 2557 เพิ่มขึ้นเพราะผู้ซื้อน่าจะเร่งสั่งซื้อสินค้า โดยอย่างช้าที่สุดต้องซื้อในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 เพื่อผ่านพิธีการศุลกากรให้ทันส่งมอบลูกค้าปลายทางก่อนตัด GSP
"ในช่วงสุญญากาศเอฟทีเอขอให้ประสานงานทางเทคนิคกันอย่างต่อเนื่องทุกหัวข้อ สมมติหากเจรจาจบ 30 มิถุนายน 2559 คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้เร็วสุด 1 มกราคม 2561 หรืออย่างช้า 1 กรกฎาคม 2561"
Tier 3 ทุบส่งออก
ส่วนกรณีสหรัฐขึ้นบัญชีไทยเป็นประเทศที่มีการค้ามนุษย์ในระดับรุนแรง (Tier 3) ตามกฎหมายให้เวลาอีก 90 วันเพื่อให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา พิจารณามาตรการลงโทษประเทศที่อยู่ในกลุ่ม Tier 3
แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่ามีความกังวล เท่ากับ ไทยเสียเปรียบคู่แข่ง อาทิ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งถูกจัดอันดับเพียง Tier 2 และจีนที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Tier 2 Watch List แต่จะส่งผลต่อยอดคำสั่งซื้อในปี 2558 เป็นต้นไป ไทยต้องมุ่งไปยังตลาดอาเซียน จีน และอินเดีย ที่มีโอกาสและความต้องการสูง
ข้อเสนอภาครัฐ
แนวทางระยะสั้นขอให้สนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการ SMEs Pro-activeเพิ่มเติม เนื่องจากงบประมาณปัจจุบันคงเหลือเพียง 80 ล้านบาท ไม่เพียงพอ และโครงการยกระดับ Value Chain สร้าง
เครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการและผู้ประกอบการในประเทศเป้าหมาย สร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบและสถานการณ์และพฤติกรรมการบริโภคภายในประเทศคู่ค้า เพื่อวางแผนธุรกิจ นอกจากนี้ ขอให้แก้ไขปัญหาการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เช่น การเรียกเก็บค่าภาระยกขนตู้สินค้า (Lift on Charge) ที่ไม่เป็นธรรม
แนวทางระยะกลาง-ระยะยาวคือ
1.ออกกฎหมายจัดระเบียบแรงงาน แก้ไขปัญหาแรงงานขาดแคลนอย่างชัดเจนและจริงจัง
2.แก้ไขกฎระเบียบข้อบังคับและกฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า
3.ส่งเสริมและพัฒนาการค้าผ่านด่านชายแดน โดยยกระดับด่าน โครงสร้างพื้นฐาน และความพร้อมในการปฏิบัติงาน
4.เตรียมความพร้อมด้านเทคนิคในการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู และเร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีอาเซียน+6 (RCEP) และ
5.จัดทำแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจบูรณาการภาครัฐและเอกชน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1404460844
---------------------------------------------------
ข้อเสนอภาครัฐ ขาดไปข้อสำคัญข้อหนึ่ง คือ
เสนอให้รีบจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นยอมรับของคู่ค้าต่างประเทศ !!!