“การอนุรักษ์อย่างมีศิลปะ” โดยอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ




อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ กล่าวว่า  การอนุรักษ์ก็คือการรักษาให้คงเดิม  รักษาในสิ่งที่เรารักหรือสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่า ส่วนสาเหตุที่เราควรรักษาสิ่งนั้นไว้ก็เพราะ 1.สิ่งนั้นมีความงาม  2.สิ่งนั้นมีเรื่องราว  ทำให้เราเกิดอารมณ์รักในสิ่งนั้นขึ้นมา  ดังนั้นการที่เราอนุรักษ์ป่าไว้ก็เพื่อรักษาความงดงามของป่าเอาไว้นั้นเอง

อาจารย์ศศิน ได้ใช้ศิลปะเข้ามาเป็นตัวช่วยในงานด้านการอนุรักษ์  โดยใช้วิธีการสร้างแรงสะเทือนใจและสร้างอารมณ์รักผ่านออกมาเป็นงานศิลปะเพื่อสื่อให้บุคคลอื่นได้เข้าใจในสิ่งที่ต้องการอนุรักษ์  เรื่องของงานวิชาการนั้นให้ทั้งความรู้และข้อเท็จจริง  แต่งานศิลปะนั้นสามารถสื่อถึงอารมณ์ให้คนอื่นรับทราบได้

ศิลปะคือความลงตัว ศิลปะเป็นสิ่งที่คนเราดูแล้วมีความสุข  ความงามของศิลปะสามารถหล่อเลี้ยงจิตใจของคนได้  อาจารย์ศศิน บอกว่า  การให้เพียงแต่ข้อมูลอย่างเดียวคนที่รับสารก็คงเบื่อ  แต่เมื่อมีการใช้ศิลปะสร้างแรงสะเทือนใจเข้ามาประกอบด้วย  จะสามารถดึงคนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมและเป็นพวกของเราได้

สำหรับการเดินรณรงค์เพื่อขัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์  เมื่อปี 2556 นั้น อาจารย์ศศินใช้ศิลปะในการเล่าเรื่องเป็นสื่อหลักสำหรับการติดต่อและชักจูงให้คนอื่นมาเข้ามีส่วนร่วมด้วย  โดยใช้วิธีการโพสเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านทางเฟสบุ๊คส์  ซึ่งอาจารย์ศศินเล่าให้ฟังว่า  เป็นเรื่องบังเอิญโชคดีที่ทำการเดินรณรงค์ในปี 2556 เพราะว่าเป็นปีที่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารแล้ว  ถ้าทำการเดินก่อหน้านั้นก็อาจจะสื่อสารให้เข้าถึงคนอื่นได้ไม่ดีเท่าปีนี้  ในปี 2556 ที่ผ่านมาโทรศัพท์สมาร์โฟนได้เข้ามาแผ่หลายอย่างมากแล้ว  มีคนจำนวนมากใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น  อีกทั้งระบบการสื่อสาร 3 จี ก็ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ที่เราทำการรณรงค์  จึงทำให้เราสามารถเดินไปด้วยและโพสเฟสบุ๊คส์ไปพร้อม ๆ กันได้  ดังนั้นผู้ที่ติดตามเราทางเฟสบุ๊คส์จึงมีความรู้สึกเหมือนมีส่วนร่วมไปกับการเดินรณรงค์ของเราด้วย

“ในเฟสบุ๊คส์จะมีการโพสภาพรองเท้าที่ขาดหรือภาพถ่ายเท้าที่เดินจนเจ็บ สลับกับภาพถ่ายความงามของธรรมชาติสองข้างทางหรือภาพของคนที่ซื้อข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงเรา  เป็นการสร้างแรงสะเทือนใจทั้งทางลบและทางบวกควบคู่กันไปตลอด เพื่อที่จะทำให้คนซึ่งติดตามเราทางเฟสบุ๊คส์นั้นมีความรู้สึกเหมือนว่าได้เดินไปด้วยกันกับเรา”

อาจารย์ศศิน อธิบายให้ฟังต่ออีกว่า การเดินไปด้วยและโพสเฟลบุ๊คส์ไปด้วยนั้น  เป็นการทำงานแบบนักวิชาการในคราบของนักเคลื่อนไหว  โดยแต่ละวันจะมีวางแผนการเดินและวางแผนในการที่จะปล่อยเรื่องราวต่าง ๆ ออกไปด้วยภาพถ่ายและการโพสข้อความต่าง ๆ โดยในการเดินหนึ่งวันนั้นจะมีการโพสเฟสบุ๊คส์ประมาณ 40 สเตตั๊ด  ซึ่งมีทั้งข้อความสั้น ๆ และข้อความที่ยาว  สำหรับข้อความที่ยาวอาจารย์ศศิน จะทำการโพสในช่วงเช้าก่อนที่จะออกเดิน  ซึ่งจะเป็นการสรุปเรื่องราวและบอกให้คนอื่นได้รับรู้ว่า  เมื่อวันที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรไปบ้างและในวันนี้เราจะทำอะไรต่อไปบ้าง ผู้ที่เฝ้าติดตามเราผ่านทางเฟสบุ๊คส์จึงได้มีความรู้สึกที่มีส่วนร่วมกับเราไปโดยตลอด

อาจารย์ศศิน ลองยกตัวอย่างข้อความบางประโยคที่เป็นคำคมซึ่งได้โพสลงไปในเฟสบุ๊คส์

“เดินผ่านความไกล  เดินผ่านความกลัว เราจะเดินไปด้วยหัวใจที่ใกล้ ๆ กัน”

“อุปสรรคและปัญหาไม่ได้ทำให้ขนาดของหัวใจเราลดลง”

สำหรับการโพสเรื่องราวต่าง ๆ ลงไปในเฟสบุ๊คส์นี้  อาจารย์ศศิน บอกว่าไม่ได้เป็นการหลอกลวงให้คนติดตาม  แต่เป็นการทำงานรณรงค์โดยใช้ศิลปะในการเล่าเรื่องราวเพื่อสื่อให้คนอื่นได้ทราบ  ซึ่งผลตอบรับก็คือมีคนติดตามเรามากขึ้น  จนกระทั่งเมื่อเราเดินถึงที่หมายแล้วมีคนที่ติดตามเราผ่านทางเฟสบุ๊คส์มากกว่าหนึ่งแสนคน  สำหรับอาจารย์ศศิน แล้วถือว่าการเดินรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์ในครั้งนี้เป็นการสร้างผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งเลย











สำหรับในประเด็นเรื่องการอนุรักษ์เสือนั้น  มักมีคนถามอาจารย์ศศิน อยู่เสมอว่า “ทำไมต้องอนุรักษ์เสือ?”  ซึ่งอาจารย์ศศินได้อธิบายให้ความเข้าใจในส่วนนี้ว่า

“ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเสือมีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์อย่างไร”

เพราะว่าข้อมูลทางวิชาการนั้นคนทั่วไปสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว  แต่สาเหตุของการที่อาจารย์ต้องการอนุรักษ์เสือนั้น  ท่านอาจารย์ศศินได้ยกเอานิทานเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ผู้เข้าร่วมเสวนาได้ฟัง  ซึ่งนิทานเรื่องนี้มีชื่อเรื่องว่า “เสือกินวัว”  โดยเรื่องราวของนิทานมีอยู่ว่า

“ในครั้งหนึ่งมีเสือตัวหนึ่งเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน  ซึ่งแน่นอนว่าเสือซึ่งเป็นสัตว์นักล่าที่เก่งกาจเมื่อมาเจอกับวัวธรรมดาที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้จึงสามารถฆ่าวัวเพื่อนำไปกินเป็นอาหารได้อย่างง่ายดาย  เรื่องนี้จึงเดือดร้อนมาถึงผู้นำของหมู่บ้านที่จะต้องปกป้องคุ้มครองลูกบ้าน  ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นผู้นำหมู่บ้านเขาจึงต้องออกตามล่าเสือตัวนั้น  ด้วยการถือปืนเดินตามแกะรอยเสือเข้าไปในป่าลึก  จนกระทั่งตามไปพบเสือตัวนั้นที่กำลังนั่งอย่างงามสง่าอยู่บนยอดโขดหินของหน้าผาในเชิงป่า  ผู้นำหมู่บ้านจึงยกปืนขึ้นเพื่อประทับเล็งไปที่เสือตัวนั้น  แล้วเขาก็คิดขึ้นในใจว่า  เสือเป็นสัตว์นักล่าที่มีศักดิ์ศรี  ถือว่าเป็นสัตว์เจ้าป่า  เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกคัดสรรขึ้นมาให้อยู่บนยอดสุดของห่วงโซ่อาหาร  แล้วทำไมเขาต้องฆ่าเสือเพียงแค่เพราะว่าเสือตัวนั้นมากินวัวธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น  ถ้าเขาเลือกที่จะยิงเพื่อฆ่าเสือตัวนั้นก็เท่ากับว่าเขาเลือกที่จะฆ่าจิตวิญญาณที่อยู่ในศักดิ์ศรีของตัวเขาไปพร้อมกันด้วย”

นิทานที่นำมาเล่านี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงบทสรุปในตอนท้ายของเรื่องที่สอนให้รู้ว่าอย่างไร?  เพียงแต่อาจารย์ศศิน ได้ทิ้งประเด็นคำถามคาใจที่ว่า “ทำไมต้องฆ่าเสือด้วยสาเหตุที่เสือมากินวัวเท่านั้น?”  เอาไว้ให้ผู้ฟังได้ลองคิดตามต่อแทน  ซึ่งเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นการตอบคำถามอย่างมีศิลปะของชายนักอนุรักษ์คนหนึ่งแล้ว

นอกจากนั้นอาจารย์ศศิน ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า

“การฟื้นฟูยากกว่าการรักษาไว้  อะไรที่ยังดีอยู่ก็ควรเก็บเอาไว้  การเก็บรักษาเอาไว้ง่ายกว่าการฟื้นฟูเมื่อมันเสียไปแล้ว  ป่าและแม่น้ำที่ยังคงดีอยู่ก็ควรอนุรักษ์เอาไว้  การปลูกป่าขึ้นมาใหม่ไม่อาจจะทดแทนป่าเดิมได้ 100%  ดังนั้นเราควรจะใช้ศิลปะในการทำให้คนเข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการอนุรักษ์เอาไว้”


ในปัจจุบันอาจารย์ศศิน ยังคงทำงานอนุรักษ์ผ่านศิลปะการเขียน  ผ่านงานวรรณกรรมต่าง ๆ (เช่นคอลัมน์ “จากป่าสู่เมือง” ในนิตยสารสารคดี)  รวมทั้งการโพสเรื่องราวของการอนุรักษ์ต่าง ๆ ลงในเฟสบุ๊คส์  เพื่อเป็นการส่งข้อมูลหรือสื่อเรื่องราวให้คนในสังคมได้รับทราบ  ถือว่าเป็นการใช้ศิลปะการเขียนเพื่อสร้างแรงสะเทือนใจให้แก่คนอื่นได้รับรู้  อีกทั้งเพื่อเป็นการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ศิลปะในการอนุรักษ์นั้น  ท่านอาจารย์ศศิน กำลังดำเนินการรวบรวมข้อเขียนที่เป็นทั้งเรื่องราวและคำคมต่าง ๆ  รวมทั้งภาพถ่ายต่าง ๆ ในระหว่างการเดินรณรงค์ต่อต้านเขื่อนแม่วงก์ (เดิน 13 วันเพื่อการต่อต้าน) เพื่อนำมาจัดเพื่อเป็นหนังสือซึ่งจะออกมาวางจำหน่ายประมาณในเดือนสิงหาคมหรือกันยายน ปี 2557 นี้  ท่านใดที่เป็นแฟนคลับของอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ก็เตรียมเก็บเงินคอยหาซื้อหนังสือเล่นนี้ได้เลยครับ











@@@@@@@@@@@@@@@

คำชี้แจงท้ายเรื่อง

บทความนี้ผมเขียนขึ้นจากการที่ผมได้เข้าร่วมฟังงานเสวนาในหัวข้อ “การอนุรักษ์อย่างมีศิลปะ” ซึ่งจัดขึ้นภายในงาน “มหกรรม บางหลวง Fete เปิดหมวกโลกศิลปะ”  ที่ห้างสรรพสินค้าริเวอร์ ซิตี้ (River City) เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา  โดยผมตัดเอาเฉพาะส่วนที่อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ได้พูดในงานเสวนาเพื่อนำเอามาเรียบเรียงเขียนขึ้นเป็นบทความนี้  ด้วยสาเหตุที่เรื่องราวของอาจารย์ศศิน ได้นำเสนอนั้นเป็นเรื่องราวที่คนทั่วไปอาจจะได้รับทราบมาบ้างแล้ว  ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับบุคคลที่สนใจในประเด็นดังกล่าวนี้  โดยทั้งหมดในบทความนี้ผมเขียนจากการที่ผมได้ฟังและจดจำตามความเข้าใจของผม  ก่อนที่ผมจะนำมาขัดเกลาขึ้นใหม่ในภาษาเขียนของผม ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องตามคำที่อาจารย์ศศิน พูดทุกคำหรือทุกประเด็น  แต่ผมพยายามเขียนขึ้นให้ตรงตามประเด็นที่อาจารย์ศศิน ต้องการจะสื่อให้ทราบมากที่สุด  ดังนั้นถ้ามีข้อความในส่วนใดส่วนหนึ่งผิดพลาดหรือตกหล่นในประเด็นต่าง ๆ ไปบ้าง  ผมต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่