อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ กล่าวว่า การอนุรักษ์ก็คือการรักษาให้คงเดิม รักษาในสิ่งที่เรารักหรือสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่า ส่วนสาเหตุที่เราควรรักษาสิ่งนั้นไว้ก็เพราะ 1.สิ่งนั้นมีความงาม 2.สิ่งนั้นมีเรื่องราว ทำให้เราเกิดอารมณ์รักในสิ่งนั้นขึ้นมา ดังนั้นการที่เราอนุรักษ์ป่าไว้ก็เพื่อรักษาความงดงามของป่าเอาไว้นั้นเอง
อาจารย์ศศิน ได้ใช้ศิลปะเข้ามาเป็นตัวช่วยในงานด้านการอนุรักษ์ โดยใช้วิธีการสร้างแรงสะเทือนใจและสร้างอารมณ์รักผ่านออกมาเป็นงานศิลปะเพื่อสื่อให้บุคคลอื่นได้เข้าใจในสิ่งที่ต้องการอนุรักษ์ เรื่องของงานวิชาการนั้นให้ทั้งความรู้และข้อเท็จจริง แต่งานศิลปะนั้นสามารถสื่อถึงอารมณ์ให้คนอื่นรับทราบได้
ศิลปะคือความลงตัว ศิลปะเป็นสิ่งที่คนเราดูแล้วมีความสุข ความงามของศิลปะสามารถหล่อเลี้ยงจิตใจของคนได้ อาจารย์ศศิน บอกว่า การให้เพียงแต่ข้อมูลอย่างเดียวคนที่รับสารก็คงเบื่อ แต่เมื่อมีการใช้ศิลปะสร้างแรงสะเทือนใจเข้ามาประกอบด้วย จะสามารถดึงคนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมและเป็นพวกของเราได้
สำหรับการเดินรณรงค์เพื่อขัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ เมื่อปี 2556 นั้น อาจารย์ศศินใช้ศิลปะในการเล่าเรื่องเป็นสื่อหลักสำหรับการติดต่อและชักจูงให้คนอื่นมาเข้ามีส่วนร่วมด้วย โดยใช้วิธีการโพสเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านทางเฟสบุ๊คส์ ซึ่งอาจารย์ศศินเล่าให้ฟังว่า เป็นเรื่องบังเอิญโชคดีที่ทำการเดินรณรงค์ในปี 2556 เพราะว่าเป็นปีที่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารแล้ว ถ้าทำการเดินก่อหน้านั้นก็อาจจะสื่อสารให้เข้าถึงคนอื่นได้ไม่ดีเท่าปีนี้ ในปี 2556 ที่ผ่านมาโทรศัพท์สมาร์โฟนได้เข้ามาแผ่หลายอย่างมากแล้ว มีคนจำนวนมากใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งระบบการสื่อสาร 3 จี ก็ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ที่เราทำการรณรงค์ จึงทำให้เราสามารถเดินไปด้วยและโพสเฟสบุ๊คส์ไปพร้อม ๆ กันได้ ดังนั้นผู้ที่ติดตามเราทางเฟสบุ๊คส์จึงมีความรู้สึกเหมือนมีส่วนร่วมไปกับการเดินรณรงค์ของเราด้วย
“ในเฟสบุ๊คส์จะมีการโพสภาพรองเท้าที่ขาดหรือภาพถ่ายเท้าที่เดินจนเจ็บ สลับกับภาพถ่ายความงามของธรรมชาติสองข้างทางหรือภาพของคนที่ซื้อข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงเรา เป็นการสร้างแรงสะเทือนใจทั้งทางลบและทางบวกควบคู่กันไปตลอด เพื่อที่จะทำให้คนซึ่งติดตามเราทางเฟสบุ๊คส์นั้นมีความรู้สึกเหมือนว่าได้เดินไปด้วยกันกับเรา”
อาจารย์ศศิน อธิบายให้ฟังต่ออีกว่า การเดินไปด้วยและโพสเฟลบุ๊คส์ไปด้วยนั้น เป็นการทำงานแบบนักวิชาการในคราบของนักเคลื่อนไหว โดยแต่ละวันจะมีวางแผนการเดินและวางแผนในการที่จะปล่อยเรื่องราวต่าง ๆ ออกไปด้วยภาพถ่ายและการโพสข้อความต่าง ๆ โดยในการเดินหนึ่งวันนั้นจะมีการโพสเฟสบุ๊คส์ประมาณ 40 สเตตั๊ด ซึ่งมีทั้งข้อความสั้น ๆ และข้อความที่ยาว สำหรับข้อความที่ยาวอาจารย์ศศิน จะทำการโพสในช่วงเช้าก่อนที่จะออกเดิน ซึ่งจะเป็นการสรุปเรื่องราวและบอกให้คนอื่นได้รับรู้ว่า เมื่อวันที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรไปบ้างและในวันนี้เราจะทำอะไรต่อไปบ้าง ผู้ที่เฝ้าติดตามเราผ่านทางเฟสบุ๊คส์จึงได้มีความรู้สึกที่มีส่วนร่วมกับเราไปโดยตลอด
อาจารย์ศศิน ลองยกตัวอย่างข้อความบางประโยคที่เป็นคำคมซึ่งได้โพสลงไปในเฟสบุ๊คส์
“เดินผ่านความไกล เดินผ่านความกลัว เราจะเดินไปด้วยหัวใจที่ใกล้ ๆ กัน”
“อุปสรรคและปัญหาไม่ได้ทำให้ขนาดของหัวใจเราลดลง”
สำหรับการโพสเรื่องราวต่าง ๆ ลงไปในเฟสบุ๊คส์นี้ อาจารย์ศศิน บอกว่าไม่ได้เป็นการหลอกลวงให้คนติดตาม แต่เป็นการทำงานรณรงค์โดยใช้ศิลปะในการเล่าเรื่องราวเพื่อสื่อให้คนอื่นได้ทราบ ซึ่งผลตอบรับก็คือมีคนติดตามเรามากขึ้น จนกระทั่งเมื่อเราเดินถึงที่หมายแล้วมีคนที่ติดตามเราผ่านทางเฟสบุ๊คส์มากกว่าหนึ่งแสนคน สำหรับอาจารย์ศศิน แล้วถือว่าการเดินรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์ในครั้งนี้เป็นการสร้างผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งเลย
สำหรับในประเด็นเรื่องการอนุรักษ์เสือนั้น มักมีคนถามอาจารย์ศศิน อยู่เสมอว่า “ทำไมต้องอนุรักษ์เสือ?” ซึ่งอาจารย์ศศินได้อธิบายให้ความเข้าใจในส่วนนี้ว่า
“ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเสือมีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์อย่างไร”
เพราะว่าข้อมูลทางวิชาการนั้นคนทั่วไปสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว แต่สาเหตุของการที่อาจารย์ต้องการอนุรักษ์เสือนั้น ท่านอาจารย์ศศินได้ยกเอานิทานเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ผู้เข้าร่วมเสวนาได้ฟัง ซึ่งนิทานเรื่องนี้มีชื่อเรื่องว่า “เสือกินวัว” โดยเรื่องราวของนิทานมีอยู่ว่า
“ในครั้งหนึ่งมีเสือตัวหนึ่งเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าเสือซึ่งเป็นสัตว์นักล่าที่เก่งกาจเมื่อมาเจอกับวัวธรรมดาที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้จึงสามารถฆ่าวัวเพื่อนำไปกินเป็นอาหารได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้จึงเดือดร้อนมาถึงผู้นำของหมู่บ้านที่จะต้องปกป้องคุ้มครองลูกบ้าน ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นผู้นำหมู่บ้านเขาจึงต้องออกตามล่าเสือตัวนั้น ด้วยการถือปืนเดินตามแกะรอยเสือเข้าไปในป่าลึก จนกระทั่งตามไปพบเสือตัวนั้นที่กำลังนั่งอย่างงามสง่าอยู่บนยอดโขดหินของหน้าผาในเชิงป่า ผู้นำหมู่บ้านจึงยกปืนขึ้นเพื่อประทับเล็งไปที่เสือตัวนั้น แล้วเขาก็คิดขึ้นในใจว่า เสือเป็นสัตว์นักล่าที่มีศักดิ์ศรี ถือว่าเป็นสัตว์เจ้าป่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกคัดสรรขึ้นมาให้อยู่บนยอดสุดของห่วงโซ่อาหาร แล้วทำไมเขาต้องฆ่าเสือเพียงแค่เพราะว่าเสือตัวนั้นมากินวัวธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น ถ้าเขาเลือกที่จะยิงเพื่อฆ่าเสือตัวนั้นก็เท่ากับว่าเขาเลือกที่จะฆ่าจิตวิญญาณที่อยู่ในศักดิ์ศรีของตัวเขาไปพร้อมกันด้วย”
นิทานที่นำมาเล่านี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงบทสรุปในตอนท้ายของเรื่องที่สอนให้รู้ว่าอย่างไร? เพียงแต่อาจารย์ศศิน ได้ทิ้งประเด็นคำถามคาใจที่ว่า “ทำไมต้องฆ่าเสือด้วยสาเหตุที่เสือมากินวัวเท่านั้น?” เอาไว้ให้ผู้ฟังได้ลองคิดตามต่อแทน ซึ่งเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นการตอบคำถามอย่างมีศิลปะของชายนักอนุรักษ์คนหนึ่งแล้ว
นอกจากนั้นอาจารย์ศศิน ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“การฟื้นฟูยากกว่าการรักษาไว้ อะไรที่ยังดีอยู่ก็ควรเก็บเอาไว้ การเก็บรักษาเอาไว้ง่ายกว่าการฟื้นฟูเมื่อมันเสียไปแล้ว ป่าและแม่น้ำที่ยังคงดีอยู่ก็ควรอนุรักษ์เอาไว้ การปลูกป่าขึ้นมาใหม่ไม่อาจจะทดแทนป่าเดิมได้ 100% ดังนั้นเราควรจะใช้ศิลปะในการทำให้คนเข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการอนุรักษ์เอาไว้”
ในปัจจุบันอาจารย์ศศิน ยังคงทำงานอนุรักษ์ผ่านศิลปะการเขียน ผ่านงานวรรณกรรมต่าง ๆ (เช่นคอลัมน์ “จากป่าสู่เมือง” ในนิตยสารสารคดี) รวมทั้งการโพสเรื่องราวของการอนุรักษ์ต่าง ๆ ลงในเฟสบุ๊คส์ เพื่อเป็นการส่งข้อมูลหรือสื่อเรื่องราวให้คนในสังคมได้รับทราบ ถือว่าเป็นการใช้ศิลปะการเขียนเพื่อสร้างแรงสะเทือนใจให้แก่คนอื่นได้รับรู้ อีกทั้งเพื่อเป็นการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ศิลปะในการอนุรักษ์นั้น ท่านอาจารย์ศศิน กำลังดำเนินการรวบรวมข้อเขียนที่เป็นทั้งเรื่องราวและคำคมต่าง ๆ รวมทั้งภาพถ่ายต่าง ๆ ในระหว่างการเดินรณรงค์ต่อต้านเขื่อนแม่วงก์ (เดิน 13 วันเพื่อการต่อต้าน) เพื่อนำมาจัดเพื่อเป็นหนังสือซึ่งจะออกมาวางจำหน่ายประมาณในเดือนสิงหาคมหรือกันยายน ปี 2557 นี้ ท่านใดที่เป็นแฟนคลับของอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ก็เตรียมเก็บเงินคอยหาซื้อหนังสือเล่นนี้ได้เลยครับ
@@@@@@@@@@@@@@@
คำชี้แจงท้ายเรื่อง
บทความนี้ผมเขียนขึ้นจากการที่ผมได้เข้าร่วมฟังงานเสวนาในหัวข้อ “การอนุรักษ์อย่างมีศิลปะ” ซึ่งจัดขึ้นภายในงาน “มหกรรม บางหลวง Fete เปิดหมวกโลกศิลปะ” ที่ห้างสรรพสินค้าริเวอร์ ซิตี้ (River City) เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา โดยผมตัดเอาเฉพาะส่วนที่อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ได้พูดในงานเสวนาเพื่อนำเอามาเรียบเรียงเขียนขึ้นเป็นบทความนี้ ด้วยสาเหตุที่เรื่องราวของอาจารย์ศศิน ได้นำเสนอนั้นเป็นเรื่องราวที่คนทั่วไปอาจจะได้รับทราบมาบ้างแล้ว ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับบุคคลที่สนใจในประเด็นดังกล่าวนี้ โดยทั้งหมดในบทความนี้ผมเขียนจากการที่ผมได้ฟังและจดจำตามความเข้าใจของผม ก่อนที่ผมจะนำมาขัดเกลาขึ้นใหม่ในภาษาเขียนของผม ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องตามคำที่อาจารย์ศศิน พูดทุกคำหรือทุกประเด็น แต่ผมพยายามเขียนขึ้นให้ตรงตามประเด็นที่อาจารย์ศศิน ต้องการจะสื่อให้ทราบมากที่สุด ดังนั้นถ้ามีข้อความในส่วนใดส่วนหนึ่งผิดพลาดหรือตกหล่นในประเด็นต่าง ๆ ไปบ้าง ผมต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
“การอนุรักษ์อย่างมีศิลปะ” โดยอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ
อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ กล่าวว่า การอนุรักษ์ก็คือการรักษาให้คงเดิม รักษาในสิ่งที่เรารักหรือสิ่งที่เรารู้สึกว่ามีคุณค่า ส่วนสาเหตุที่เราควรรักษาสิ่งนั้นไว้ก็เพราะ 1.สิ่งนั้นมีความงาม 2.สิ่งนั้นมีเรื่องราว ทำให้เราเกิดอารมณ์รักในสิ่งนั้นขึ้นมา ดังนั้นการที่เราอนุรักษ์ป่าไว้ก็เพื่อรักษาความงดงามของป่าเอาไว้นั้นเอง
อาจารย์ศศิน ได้ใช้ศิลปะเข้ามาเป็นตัวช่วยในงานด้านการอนุรักษ์ โดยใช้วิธีการสร้างแรงสะเทือนใจและสร้างอารมณ์รักผ่านออกมาเป็นงานศิลปะเพื่อสื่อให้บุคคลอื่นได้เข้าใจในสิ่งที่ต้องการอนุรักษ์ เรื่องของงานวิชาการนั้นให้ทั้งความรู้และข้อเท็จจริง แต่งานศิลปะนั้นสามารถสื่อถึงอารมณ์ให้คนอื่นรับทราบได้
ศิลปะคือความลงตัว ศิลปะเป็นสิ่งที่คนเราดูแล้วมีความสุข ความงามของศิลปะสามารถหล่อเลี้ยงจิตใจของคนได้ อาจารย์ศศิน บอกว่า การให้เพียงแต่ข้อมูลอย่างเดียวคนที่รับสารก็คงเบื่อ แต่เมื่อมีการใช้ศิลปะสร้างแรงสะเทือนใจเข้ามาประกอบด้วย จะสามารถดึงคนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมและเป็นพวกของเราได้
สำหรับการเดินรณรงค์เพื่อขัดค้านการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ เมื่อปี 2556 นั้น อาจารย์ศศินใช้ศิลปะในการเล่าเรื่องเป็นสื่อหลักสำหรับการติดต่อและชักจูงให้คนอื่นมาเข้ามีส่วนร่วมด้วย โดยใช้วิธีการโพสเรื่องราวต่าง ๆ ผ่านทางเฟสบุ๊คส์ ซึ่งอาจารย์ศศินเล่าให้ฟังว่า เป็นเรื่องบังเอิญโชคดีที่ทำการเดินรณรงค์ในปี 2556 เพราะว่าเป็นปีที่มีความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารแล้ว ถ้าทำการเดินก่อหน้านั้นก็อาจจะสื่อสารให้เข้าถึงคนอื่นได้ไม่ดีเท่าปีนี้ ในปี 2556 ที่ผ่านมาโทรศัพท์สมาร์โฟนได้เข้ามาแผ่หลายอย่างมากแล้ว มีคนจำนวนมากใช้สมาร์ทโฟนเพื่อเข้าถึงอินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งระบบการสื่อสาร 3 จี ก็ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ที่เราทำการรณรงค์ จึงทำให้เราสามารถเดินไปด้วยและโพสเฟสบุ๊คส์ไปพร้อม ๆ กันได้ ดังนั้นผู้ที่ติดตามเราทางเฟสบุ๊คส์จึงมีความรู้สึกเหมือนมีส่วนร่วมไปกับการเดินรณรงค์ของเราด้วย
“ในเฟสบุ๊คส์จะมีการโพสภาพรองเท้าที่ขาดหรือภาพถ่ายเท้าที่เดินจนเจ็บ สลับกับภาพถ่ายความงามของธรรมชาติสองข้างทางหรือภาพของคนที่ซื้อข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงเรา เป็นการสร้างแรงสะเทือนใจทั้งทางลบและทางบวกควบคู่กันไปตลอด เพื่อที่จะทำให้คนซึ่งติดตามเราทางเฟสบุ๊คส์นั้นมีความรู้สึกเหมือนว่าได้เดินไปด้วยกันกับเรา”
อาจารย์ศศิน อธิบายให้ฟังต่ออีกว่า การเดินไปด้วยและโพสเฟลบุ๊คส์ไปด้วยนั้น เป็นการทำงานแบบนักวิชาการในคราบของนักเคลื่อนไหว โดยแต่ละวันจะมีวางแผนการเดินและวางแผนในการที่จะปล่อยเรื่องราวต่าง ๆ ออกไปด้วยภาพถ่ายและการโพสข้อความต่าง ๆ โดยในการเดินหนึ่งวันนั้นจะมีการโพสเฟสบุ๊คส์ประมาณ 40 สเตตั๊ด ซึ่งมีทั้งข้อความสั้น ๆ และข้อความที่ยาว สำหรับข้อความที่ยาวอาจารย์ศศิน จะทำการโพสในช่วงเช้าก่อนที่จะออกเดิน ซึ่งจะเป็นการสรุปเรื่องราวและบอกให้คนอื่นได้รับรู้ว่า เมื่อวันที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรไปบ้างและในวันนี้เราจะทำอะไรต่อไปบ้าง ผู้ที่เฝ้าติดตามเราผ่านทางเฟสบุ๊คส์จึงได้มีความรู้สึกที่มีส่วนร่วมกับเราไปโดยตลอด
อาจารย์ศศิน ลองยกตัวอย่างข้อความบางประโยคที่เป็นคำคมซึ่งได้โพสลงไปในเฟสบุ๊คส์
“เดินผ่านความไกล เดินผ่านความกลัว เราจะเดินไปด้วยหัวใจที่ใกล้ ๆ กัน”
“อุปสรรคและปัญหาไม่ได้ทำให้ขนาดของหัวใจเราลดลง”
สำหรับการโพสเรื่องราวต่าง ๆ ลงไปในเฟสบุ๊คส์นี้ อาจารย์ศศิน บอกว่าไม่ได้เป็นการหลอกลวงให้คนติดตาม แต่เป็นการทำงานรณรงค์โดยใช้ศิลปะในการเล่าเรื่องราวเพื่อสื่อให้คนอื่นได้ทราบ ซึ่งผลตอบรับก็คือมีคนติดตามเรามากขึ้น จนกระทั่งเมื่อเราเดินถึงที่หมายแล้วมีคนที่ติดตามเราผ่านทางเฟสบุ๊คส์มากกว่าหนึ่งแสนคน สำหรับอาจารย์ศศิน แล้วถือว่าการเดินรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์ในครั้งนี้เป็นการสร้างผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งเลย
สำหรับในประเด็นเรื่องการอนุรักษ์เสือนั้น มักมีคนถามอาจารย์ศศิน อยู่เสมอว่า “ทำไมต้องอนุรักษ์เสือ?” ซึ่งอาจารย์ศศินได้อธิบายให้ความเข้าใจในส่วนนี้ว่า
“ไม่จำเป็นต้องบอกว่าเสือมีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์อย่างไร”
เพราะว่าข้อมูลทางวิชาการนั้นคนทั่วไปสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว แต่สาเหตุของการที่อาจารย์ต้องการอนุรักษ์เสือนั้น ท่านอาจารย์ศศินได้ยกเอานิทานเรื่องหนึ่งมาเล่าให้ผู้เข้าร่วมเสวนาได้ฟัง ซึ่งนิทานเรื่องนี้มีชื่อเรื่องว่า “เสือกินวัว” โดยเรื่องราวของนิทานมีอยู่ว่า
“ในครั้งหนึ่งมีเสือตัวหนึ่งเข้ามากินวัวในหมู่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าเสือซึ่งเป็นสัตว์นักล่าที่เก่งกาจเมื่อมาเจอกับวัวธรรมดาที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้จึงสามารถฆ่าวัวเพื่อนำไปกินเป็นอาหารได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้จึงเดือดร้อนมาถึงผู้นำของหมู่บ้านที่จะต้องปกป้องคุ้มครองลูกบ้าน ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นผู้นำหมู่บ้านเขาจึงต้องออกตามล่าเสือตัวนั้น ด้วยการถือปืนเดินตามแกะรอยเสือเข้าไปในป่าลึก จนกระทั่งตามไปพบเสือตัวนั้นที่กำลังนั่งอย่างงามสง่าอยู่บนยอดโขดหินของหน้าผาในเชิงป่า ผู้นำหมู่บ้านจึงยกปืนขึ้นเพื่อประทับเล็งไปที่เสือตัวนั้น แล้วเขาก็คิดขึ้นในใจว่า เสือเป็นสัตว์นักล่าที่มีศักดิ์ศรี ถือว่าเป็นสัตว์เจ้าป่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกคัดสรรขึ้นมาให้อยู่บนยอดสุดของห่วงโซ่อาหาร แล้วทำไมเขาต้องฆ่าเสือเพียงแค่เพราะว่าเสือตัวนั้นมากินวัวธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้น ถ้าเขาเลือกที่จะยิงเพื่อฆ่าเสือตัวนั้นก็เท่ากับว่าเขาเลือกที่จะฆ่าจิตวิญญาณที่อยู่ในศักดิ์ศรีของตัวเขาไปพร้อมกันด้วย”
นิทานที่นำมาเล่านี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงบทสรุปในตอนท้ายของเรื่องที่สอนให้รู้ว่าอย่างไร? เพียงแต่อาจารย์ศศิน ได้ทิ้งประเด็นคำถามคาใจที่ว่า “ทำไมต้องฆ่าเสือด้วยสาเหตุที่เสือมากินวัวเท่านั้น?” เอาไว้ให้ผู้ฟังได้ลองคิดตามต่อแทน ซึ่งเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นการตอบคำถามอย่างมีศิลปะของชายนักอนุรักษ์คนหนึ่งแล้ว
นอกจากนั้นอาจารย์ศศิน ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“การฟื้นฟูยากกว่าการรักษาไว้ อะไรที่ยังดีอยู่ก็ควรเก็บเอาไว้ การเก็บรักษาเอาไว้ง่ายกว่าการฟื้นฟูเมื่อมันเสียไปแล้ว ป่าและแม่น้ำที่ยังคงดีอยู่ก็ควรอนุรักษ์เอาไว้ การปลูกป่าขึ้นมาใหม่ไม่อาจจะทดแทนป่าเดิมได้ 100% ดังนั้นเราควรจะใช้ศิลปะในการทำให้คนเข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการอนุรักษ์เอาไว้”
ในปัจจุบันอาจารย์ศศิน ยังคงทำงานอนุรักษ์ผ่านศิลปะการเขียน ผ่านงานวรรณกรรมต่าง ๆ (เช่นคอลัมน์ “จากป่าสู่เมือง” ในนิตยสารสารคดี) รวมทั้งการโพสเรื่องราวของการอนุรักษ์ต่าง ๆ ลงในเฟสบุ๊คส์ เพื่อเป็นการส่งข้อมูลหรือสื่อเรื่องราวให้คนในสังคมได้รับทราบ ถือว่าเป็นการใช้ศิลปะการเขียนเพื่อสร้างแรงสะเทือนใจให้แก่คนอื่นได้รับรู้ อีกทั้งเพื่อเป็นการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ศิลปะในการอนุรักษ์นั้น ท่านอาจารย์ศศิน กำลังดำเนินการรวบรวมข้อเขียนที่เป็นทั้งเรื่องราวและคำคมต่าง ๆ รวมทั้งภาพถ่ายต่าง ๆ ในระหว่างการเดินรณรงค์ต่อต้านเขื่อนแม่วงก์ (เดิน 13 วันเพื่อการต่อต้าน) เพื่อนำมาจัดเพื่อเป็นหนังสือซึ่งจะออกมาวางจำหน่ายประมาณในเดือนสิงหาคมหรือกันยายน ปี 2557 นี้ ท่านใดที่เป็นแฟนคลับของอาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ก็เตรียมเก็บเงินคอยหาซื้อหนังสือเล่นนี้ได้เลยครับ
@@@@@@@@@@@@@@@
คำชี้แจงท้ายเรื่อง
บทความนี้ผมเขียนขึ้นจากการที่ผมได้เข้าร่วมฟังงานเสวนาในหัวข้อ “การอนุรักษ์อย่างมีศิลปะ” ซึ่งจัดขึ้นภายในงาน “มหกรรม บางหลวง Fete เปิดหมวกโลกศิลปะ” ที่ห้างสรรพสินค้าริเวอร์ ซิตี้ (River City) เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมา โดยผมตัดเอาเฉพาะส่วนที่อาจารย์ศศิน เฉลิมลาภ ได้พูดในงานเสวนาเพื่อนำเอามาเรียบเรียงเขียนขึ้นเป็นบทความนี้ ด้วยสาเหตุที่เรื่องราวของอาจารย์ศศิน ได้นำเสนอนั้นเป็นเรื่องราวที่คนทั่วไปอาจจะได้รับทราบมาบ้างแล้ว ซึ่งผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับบุคคลที่สนใจในประเด็นดังกล่าวนี้ โดยทั้งหมดในบทความนี้ผมเขียนจากการที่ผมได้ฟังและจดจำตามความเข้าใจของผม ก่อนที่ผมจะนำมาขัดเกลาขึ้นใหม่ในภาษาเขียนของผม ซึ่งอาจจะไม่ถูกต้องตามคำที่อาจารย์ศศิน พูดทุกคำหรือทุกประเด็น แต่ผมพยายามเขียนขึ้นให้ตรงตามประเด็นที่อาจารย์ศศิน ต้องการจะสื่อให้ทราบมากที่สุด ดังนั้นถ้ามีข้อความในส่วนใดส่วนหนึ่งผิดพลาดหรือตกหล่นในประเด็นต่าง ๆ ไปบ้าง ผมต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย