เรื่องมีอยู่ว่า ที่บ้านเราได้ทำการกู้ธนาคาร มาใช้ในการหมุนเวียนธุรกิจ ตั้งแต่เมื่อปี 47 กู้มา 1.5 ล้าน สัญญา 7 ปี โดยใช้บ้านไปเป็นหลักประกันไว้

ชำระคืนเดือนละ 25000 24 เดือนแรก หลังจากนั้น จะจ่ายมากกว่าเพื่อให้หมดเร็วๆได้ แต่ที่บ้านก็ชำระ เดือนละ 25000 เรื่อยมา ไม่ขาดเลย จนครบ5 ปี

แล้วธุรกิจเริ่มมีปัญหา จ่ายช้าบ้าง จนเริ่มโดนทวง แล้วจึงเจรจากับทางธนาคาร ขอลดเป็นจ่ายเดือนละ 15000 แทน ธนาคารก็ตกลง แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ จึงขอลดเป็น 10000 ต่อเดือน  แต่ช่วงนั้น มีปัญหามากจริงๆ ติดขัดมาก พ่อเราจึงเริ่ม ไม่จ่าย (ทำผิดมหันต์ ที่ทุกวันนี้ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด)

ธนาคารก็ทวงถามเรื่อยมา พ่อเราก็หลบก็หนี จนธนาคารฟ้อง ผลคือ พิพากษาตามยอม โดยตกลงกันว่า จ่ายเดือนละ 12000 (ภาระหนี้วันที่ฟ้อง กลับมาอยู่ที่ 1,500,000 เพราะ พ่อเราได้มีไปขอ โอดี ด้วย ค่าบ้านจริงๆ เหลือ 5 แสนกว่าแล้ว ดอกเบี้ยอีกเกือบแสน แต่มีโอดีมาด้วย หนี้เลยเพิ่มขึ้น ) ก็จ่ายมาครบ ทุกเดือนไม่ขาด แต่ธนาคาร จะให้จบหนี้ทั้งหมดใน 1 ปี  ซึ่งที่บ้านเราตอนนี้ย่ำแย่มากๆ แถมไม่มีทรัพย์สินอื่นๆที่จะเอามาขายใช้หนี้ได้อีก เลยทำเป็นขอชำระต่อ โดยเพิ่มเป็นเดือนละ  15000 แล้วตอนนี้ ปีที่ 3 แล้ว เพิ่มเป็น 18000 ซึ่งพนักงานธนาคารที่ดูแล เรื่องนี้ ก็แนะนำ ให้เรา รีไฟแนนซ์บ้าน โดยไปติดต่อธนาคารอื่น จะได้มาใช้หนี้ตรงนี้ให้หมด แต่เท่าที่เราศึกษามา ส่วนมาก จะเป็นการกู้บ้านแค่ไม่กี่ปี แล้วอยากลดดอกเบี้ย จึง รีไฟแนนซ์ ซึ่งเราไม่แน่ใจว่า ในกรณีของเรา ที่มีคำพิพากษาติดมาด้วยเนี่ย จะมีธนาคารไหน ยอมให้เรากู้ไม๊ เพราะเราก็ไม่มีทรัพย์สินอื่น ที่จะนำไปเป็นหลักค้ำประกันได้

ตอนนี้เครียดมากๆเลยค่ะ สัญญาจะครบเดือน สิงหานี้แล้ว แต่เราก็ยังไม่มีเงิน ไปใช้หนี้ทั้งหมดอยู่ดี ธุรกิจก็ถอยหลังลงทุกวันๆ หนี้อย่างอื่นก็มี มืดแปดด้านจริงๆค่ะ  กลัวธนาคารจะยึดมากๆเลย ถ้ายึดไปก็ไม่มีที่ทำมาหากิน ไม่มีบ้านอยู่ (บ้านเป็นอาคารพาณิชย์ ชั้นล่างเป็นร้าน ชั้นบนพักอาศัย )

กรณีอย่างเรานี้ควรทำอย่างไรดีค่ะ