ช่วงนี้มีแต่คนพูดถึง เรื่องสินสอดในการแต่งงานมาก
ผมนั่งอ่านและรวบรวมจากหลายๆความเห็นและหลายๆคำตอบ
จากกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/32256922/comment460-1
และขอสรุปตามแบบความเห็นส่วนตัวของผมแล้วกัน ^^
ก่อนอื่นขอเท้าความถึงที่มาของ ที่มาของประเพณีสินสอดกันซักเล็กน้อย จากหลายๆบรรทึกและคำบอกเล่ากันมา
แต่เดิมเรารับอิทธิพลนี้มาจากพาหรม์อินเดียแต่เขาทำเพื่อแบ่งชนชั้นวรรณะกัน แน่นอนการเรียกสินสอดในการแต่ง
ก็เป็นการแบ่งเกรดตามความสามารถของวรรณะไปตัว แต่ก่อนในไทยวัฒนธรรมนี้ก็มีแต่ในเจ้าขุนมูลนาย เพื่อเป็นหน้าเป็นตา
และแสดงการให้เกรียรติกันระหว่างเจ้าขุนมูลนายด้วยกัน เราเรียกว่าของกำนัลหรือสินสอดก็ว่ากันไป
และเป็นการป้องกัน ลูกสาวไปรักกับทาสหรือไพร่สามัญธรรมดาด้วยครับ ต่อมาคนจีนได้อพยพเข้ามาอยู่ในไทยมากขึ้น
วัฒนธรรมของจีนแน่นอนอยู่แล้วเรื่องสินสอด ถึงจะเป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญก็ต้องมีครับจะมากน้อยก็ว่ากันไป
เพราะเมื่อก่อน ผู้หญิงออกเรือน ไม่ต้องทำงานครับทำงานบ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว ผู้หญิงมีศักดิ์ที่ต่ำกว่า
พูดง่ายๆคือหือไม่ได้ครับ เพราะเมื่อก่อนอาชีพการงานสำหรับผู้หญิงที่ทำได้แทบไม่มีเลย ถ้าไม่ยอมผู้ชาย ก็อดไงล่ะครับ
และฝ่ายชายเป็นคนหาเลี้ยง แน่นอนล่ะว่าจะต้องมีการเรียกสินสอดเพื่อเป็นหลักประกัน !!
ทั้งนี้ไม่ได้เป็นหลักประกันทางความรัก แต่เป็นหลักประกันทางชีวิต หากแยกทางกันไป..
วัฒนธรรมนี้จึงแพร่หลายมากขึ้นสำหรับคนทุกชนชั้น !! สังเกตว่าศาสนาก็มีอิทธิพลครับ
ส่วนใหญ่ทางพุทธ พาหรม์ อิสลามจะมี ส่วนทางคริสต์จะไม่เน้น เอาสั้นๆเท่านี้แหละครับ
(ถูกผิดประการใดต้องขออภัยหากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือจะแก้ไข เชิญได้ครับ)
แต่ปัจจุบันเรามีกฏหมายคุ้มครองสิทธิต่างๆ ไม่ว่าชายหญิงและโอกาสทางสังคม การงาน แถบจะเท่าเทียมกันหมด
จะต่างก็เพียงสรีสะร่างกายและเครื่องทางเพศเท่านั้นที่บอกว่าคนไหนชายหรือหญิง
(แต่ปัจจุนี้ไม่แน่แล้ว ผู้ชายสวยกว่าผู้หญิง ผู้หญิงหล่อกว่าผู้ชาย มีเยอะมาก บางคนแทบจะแยกไม่ออกจริงๆ ^^)
เพราะฉะนั้นคำว่า
"หลักประกันทางการเงิน"ที่หลายๆคนพูดและยกมาเป็นประเด็นเหตุผลในการสนับสนุน เรื่องสินสอด
ในความคิดผมน่าจะตกไป เพราะหากอย่าร้างกันไปแน่นอนตามกฏหมายทรัพย์สินต้องแบ่งกันแน่นอน
และตัวผู้หญิงเองก็สามารถทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้ด้วย(หลายคนเก่งกว่าผู้ชาย) เว้นซะจากผู้หญิงที่แต่งงานด้วย
จะไม่มีความสามารถในการงานเลยจึงต้องการสินสอดที่แพงเป็นหลักประกันไว้ตอนอย่างร้างกัน(เพราะไม่มีสามีเลี้ยงดูแล้ว)
แต่หลักประกันที่ผมยอมได้คือ ''ค่าเสียโอกาสทางความรักครับ'' แน่นอนผู้หญิงยิ่งแก่ตัวไปยิ่งหาคู่ยาก
ถ้าไม่สวยและดูแลตัวเองดีๆเหมือนอย่างพวกดารา ยิ่งถ้ามีลูกติดยิ่งคิดหนักสำหรับคนที่จะเข้ามาหากไม่เจอคนที่เข้าใจจริงๆ
ส่วนใหญ่เราจะเห็นแม่หม้ายเยอะกว่าพ่อหม้ายครับ อันนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินนะครับ แต่พูดถึงคนดูแลที่จะเข้ามาใหม่
แม่หม้ายลูกติดส่วนใหญ่มักจะอยู่คนเดียวครับ อันนี้น่าสงสารมาก ถ้ามองจุดนี้แล้วสินสอดที่ให้ไปมากตามคำเรียก
น่าจะเป็นหลักประกันระดับนึง ย้ำว่าระดับนึงนะครับ !! ไม่ทั้งหมด
แล้วลองมาดูในมุมของผู้ชายกันบ้าง ผู้หญิงมีหลักประกัน !! แล้วฝ่ายชายล่ะครับ มีหลักประกันอะไรมั้ย?
ถ้าเกิดแยกทางอย่าร้างกันไป? เพราะแน่นอนว่าผู้ชายส่วนใหญ่จะต้องเป็นผู้หาสินสอดเอง ไม่ก็เงินพ่อแม่
บางคนอาจจะต้องเอาเงินเก็บทั้งหมดมาแต่งงาน !! ถ้าเลิกกันไปล่ะครับ ผู้ชายจะเหลืออะไร?
โชคดีหน่อยเขาอาจยกให้มาทำทุน หรือใส่เพิ่มให้ทั้งพ่อแม่2ฝ่าย
แต่ 50:50หรือ60:40 พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะรับสินสอดทั้งหมดไว้ แล้วบอกว่าเป็นหลักประกันและค่าน้ำนมเพราะเขาเลี้ยงลูกมาอย่างดี !!
ด้วยเหตุผลที่ตามมาคือผู้หญิงต้องออกเรือนไปอยู่บ้านสามี ไปดูแลครอบครัวทางสามี ไม่ได้อยู่ดูแลทางครอบครัวฝ่ายหญิง
นี้จึงเป็นที่มาของคำว่าค่าน้ำนมค่าเลี้ยงดู ใช่ !! มันใช่ครับ นี้คือความเชื่อแต่เดิมที่ผมได้เท้าความไปแต่ด้านบน
ถ้าหากเรายังอยู่ในยุคนั้นผมไม่เถียง แต่ดูในยุคของปัจจุบันซิครับ ชายหญิงส่วนใหญ่ต่างคนต่างทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว
เวลาเลี้ยงลูกยังไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ยังเอาลูกไปฝากเนิสซรี่ ฝากโรงเรียน หรือฝากให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงเลยครับ
ถามหน่อยแล้วจะเอาเวลาไหนไปดูแลครอบครัวฝ่ายชาย? มันไม่ได้เป็นครอบครัวใหญ่เหมือนแต่ก่อนที่มีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้ากันตลอด
แต่ถ้าเป็นครอบครัวคนที่มีฐานะ มีธุรกิจมีกิจการอันนี้ยกเว้นครับ แต่ส่วนใหญ่หนุ่มสาวออฟฟิศ คนจบใหม่
ก็มาหาทำงานต่างจังหวัดในเมืองใหญ่ๆกันหมด มาใช่ชีวิตกันเอง กว่าจะกลับไปอยู่บ้านเก่าก็คงเกษียณ ไม่ก็ตั้งรกรากใหม่
ที่ต่างจังหวัดที่ทำงาน นานๆจะได้กลับไปเจอพ่อแม่ซักที ถ้าไม่กลับไปอยู่กับพ่อแม่หรือไม่เอาพ่อแม่มาอยู่ด้วยนะครับ
หรือเจออีกทีก็คือไปเยี่ยมที่รพ. จริงมั้ยครับ? นี้ผมเอาความจริงมาพูดเลย
เห็นมั้ยครับว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่เห็นด้วยที่จะเอาสินสอด ไปโยงเป็นค่าน้ำนมค่าเลี้ยงดูอะไรนั้น...
เพราะไม่ว่าชายหรือหญิง ต่างก็มีต้นทุนด้วยกันทั้งคู่...
สำหรับผม ผมเห็นด้วยเรื่องสินสอด ผมไม่ได้มองถึงเรื่องการแต่งงานอย่างเดียว แต่ผมมองไปไกลกว่านั้น
คือเรื่องการใช่ชีวิตร่วมกันระหว่างครอบครัวครับ สินสอดมันแสดงให้เห็นอะไรๆได้เยอะครับ โดยเฉพาะสิทธิในตัวภรรยาของผม
เพราะถ้าผมสามารถทำตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว ดังนั้นในบางเรื่องพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะมาก้าวก่ายครอบครัวของผมไม่ได้
เพราะฝ่ายหญิงได้เป็นส่วนนึงของครอบครัวผมไปแล้ว ดังนั้นก่อนแต่งผมควรจะต้องพยายามทำให้ได้ตามกำลังและความสามารถของผม
นั้นคือค่าสินสอด มันแสดงถึงความพร้อมของผมด้วย หากผมไม่พร้อมผมก็ยังไม่แต่งครับ นั้นคือผมไม่สามารถแก้โจทย์ที่เขาตั้งไว้ได้
ที่ผมพูดมานี้ บางครอบครัวมักจะมีปัญหาเรื่องพ่อตาแม่ยายครับที่มักจะเอาเรื่องเงินมาเป็นประเด็น เข้ามาวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการ
หรือบางทีล้ำเส้นจนเกินไป จนทำให้ครอบครัวแตกแยกกันไปก็มีเยอะ ดังนั้นการให้สินสอดตามเงื่อนไข(ถ้าทำได้)จะเป็นเรื่องดีครับ
มันแสดงให้เห็นถึงความสามารถเรา และพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ควรจะเกรงใจเรา อย่าให้ขาดตกบกพร่องครับ จะได้ไม่มีข้ออ้างได้
แต่งงานกับคนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปทั้งชีวิตมันมีแค่ครั้งเดียวนะครับ ทำให้ดีที่สุดครับ...
หากคุณคิดจะเป็นผู้นำครอบครัว(ยังเป็นค่านิยมที่มีความคาดหวังในตัผู้ชาย) ควรมองให้ขาดครับ...
การจะสร้างบ้านให้แข็งแรงและอยู่ยาวนาน ต้องเริ่มจากฐานที่มั่นคงก่อนครับ อย่ามองข้ามรายละเอียดไป...
สรุป สินสอดนั้นจำเป็นมั้ย? ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ล่ะครอบครัวไปครับ จะเรียกมากหรือน้อย หรือไม่เรียกอยู่ที่พูดคุยตกลงกันครับ
หากมันเป็นธรรมเนียมวัฒนธรรมที่สังคมหรือครอบครัวนั้นๆปฏิบัติมา เราก็ควรทำตามครับหากเราคิดจะใช่ชีวิตร่วมกับคนๆนั้น ตลอดไป
โดยไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ติฉินนินทาจากชาวบ้านมันเรื่องที่เซนซิทิฟครับสำหรับผู้ใหญ่(คนไทย)
เหมือนคนที่จะแต่งงานกับคนอิสลาม ก็ต้องย้ายศาสนาไปเป็นอิสลามด้วย ก็แบบนี้แหละครับ ถ้าเรารับไม่ได้ก้ถอยออกมาแค่นั้นเอง
การจะไปเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมหรือวัฒนธรรมค้อนข้างทำได้ยากครับ ของแบบนี้ต้องใช่เวลา เปลี่ยนตัวเราเองง่ายที่สุดครับ ^^
ปล.อยากจะบอกว่าสินสอดที่มากไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักและเลี้ยงดูฝ่ายหญิงได้ตลอดไป
หากแต่เป็นความรัก การกระทำที่เขาแสดงออกให้คุณและครอบครัวคุณเห็นและมั่นใจในตัวผู้ชายเองมากกว่าครับ
สิ่งนี้ต่างหากที่ควรจะมองมากกว่านะครับ สุดท้ายขอให้ทุกคนเจอคนที่ใช่ ในแบบที่ชอบนะครับ ^^
ปล.ผมเองก็ยังไม่มีแฟนแต่ก็วางแผนในอนาคตคร่าวๆไว้แล้ว ที่เล่ามาทั้งหมดก็จากประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมาหน่ะครับ ^^
ที่เขียนอาจจะดูขัดแย้งกัน แต่ผมตอบในหลายๆมุมมองหน่ะครับ จากความเห็นของคนส่วนใหญ่ที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ใจจริงอยากจะเขียนให้ละเอียดกว่านี้ ยังมีอีกหลายแง่มุมที่ผมมองต่างออกไป แต่ตอนนี้ผมง่วงมาก ขอเท่านี้ก่อนแล้วกัน...
ใครมีข้อคิดเห็น ติชม แนะนำอย่างไรเชิญได้เลยนะครับ ^^
สินสอด!! หลักประกันของชีวิต?
ผมนั่งอ่านและรวบรวมจากหลายๆความเห็นและหลายๆคำตอบ
จากกระทู้นี้ http://pantip.com/topic/32256922/comment460-1
และขอสรุปตามแบบความเห็นส่วนตัวของผมแล้วกัน ^^
ก่อนอื่นขอเท้าความถึงที่มาของ ที่มาของประเพณีสินสอดกันซักเล็กน้อย จากหลายๆบรรทึกและคำบอกเล่ากันมา
แต่เดิมเรารับอิทธิพลนี้มาจากพาหรม์อินเดียแต่เขาทำเพื่อแบ่งชนชั้นวรรณะกัน แน่นอนการเรียกสินสอดในการแต่ง
ก็เป็นการแบ่งเกรดตามความสามารถของวรรณะไปตัว แต่ก่อนในไทยวัฒนธรรมนี้ก็มีแต่ในเจ้าขุนมูลนาย เพื่อเป็นหน้าเป็นตา
และแสดงการให้เกรียรติกันระหว่างเจ้าขุนมูลนายด้วยกัน เราเรียกว่าของกำนัลหรือสินสอดก็ว่ากันไป
และเป็นการป้องกัน ลูกสาวไปรักกับทาสหรือไพร่สามัญธรรมดาด้วยครับ ต่อมาคนจีนได้อพยพเข้ามาอยู่ในไทยมากขึ้น
วัฒนธรรมของจีนแน่นอนอยู่แล้วเรื่องสินสอด ถึงจะเป็นชาวบ้านธรรมดาสามัญก็ต้องมีครับจะมากน้อยก็ว่ากันไป
เพราะเมื่อก่อน ผู้หญิงออกเรือน ไม่ต้องทำงานครับทำงานบ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว ผู้หญิงมีศักดิ์ที่ต่ำกว่า
พูดง่ายๆคือหือไม่ได้ครับ เพราะเมื่อก่อนอาชีพการงานสำหรับผู้หญิงที่ทำได้แทบไม่มีเลย ถ้าไม่ยอมผู้ชาย ก็อดไงล่ะครับ
และฝ่ายชายเป็นคนหาเลี้ยง แน่นอนล่ะว่าจะต้องมีการเรียกสินสอดเพื่อเป็นหลักประกัน !!
ทั้งนี้ไม่ได้เป็นหลักประกันทางความรัก แต่เป็นหลักประกันทางชีวิต หากแยกทางกันไป..
วัฒนธรรมนี้จึงแพร่หลายมากขึ้นสำหรับคนทุกชนชั้น !! สังเกตว่าศาสนาก็มีอิทธิพลครับ
ส่วนใหญ่ทางพุทธ พาหรม์ อิสลามจะมี ส่วนทางคริสต์จะไม่เน้น เอาสั้นๆเท่านี้แหละครับ
(ถูกผิดประการใดต้องขออภัยหากใครมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือจะแก้ไข เชิญได้ครับ)
แต่ปัจจุบันเรามีกฏหมายคุ้มครองสิทธิต่างๆ ไม่ว่าชายหญิงและโอกาสทางสังคม การงาน แถบจะเท่าเทียมกันหมด
จะต่างก็เพียงสรีสะร่างกายและเครื่องทางเพศเท่านั้นที่บอกว่าคนไหนชายหรือหญิง
(แต่ปัจจุนี้ไม่แน่แล้ว ผู้ชายสวยกว่าผู้หญิง ผู้หญิงหล่อกว่าผู้ชาย มีเยอะมาก บางคนแทบจะแยกไม่ออกจริงๆ ^^)
เพราะฉะนั้นคำว่า"หลักประกันทางการเงิน"ที่หลายๆคนพูดและยกมาเป็นประเด็นเหตุผลในการสนับสนุน เรื่องสินสอด
ในความคิดผมน่าจะตกไป เพราะหากอย่าร้างกันไปแน่นอนตามกฏหมายทรัพย์สินต้องแบ่งกันแน่นอน
และตัวผู้หญิงเองก็สามารถทำงานเลี้ยงดูตัวเองได้ด้วย(หลายคนเก่งกว่าผู้ชาย) เว้นซะจากผู้หญิงที่แต่งงานด้วย
จะไม่มีความสามารถในการงานเลยจึงต้องการสินสอดที่แพงเป็นหลักประกันไว้ตอนอย่างร้างกัน(เพราะไม่มีสามีเลี้ยงดูแล้ว)
แต่หลักประกันที่ผมยอมได้คือ ''ค่าเสียโอกาสทางความรักครับ'' แน่นอนผู้หญิงยิ่งแก่ตัวไปยิ่งหาคู่ยาก
ถ้าไม่สวยและดูแลตัวเองดีๆเหมือนอย่างพวกดารา ยิ่งถ้ามีลูกติดยิ่งคิดหนักสำหรับคนที่จะเข้ามาหากไม่เจอคนที่เข้าใจจริงๆ
ส่วนใหญ่เราจะเห็นแม่หม้ายเยอะกว่าพ่อหม้ายครับ อันนี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินนะครับ แต่พูดถึงคนดูแลที่จะเข้ามาใหม่
แม่หม้ายลูกติดส่วนใหญ่มักจะอยู่คนเดียวครับ อันนี้น่าสงสารมาก ถ้ามองจุดนี้แล้วสินสอดที่ให้ไปมากตามคำเรียก
น่าจะเป็นหลักประกันระดับนึง ย้ำว่าระดับนึงนะครับ !! ไม่ทั้งหมด
แล้วลองมาดูในมุมของผู้ชายกันบ้าง ผู้หญิงมีหลักประกัน !! แล้วฝ่ายชายล่ะครับ มีหลักประกันอะไรมั้ย?
ถ้าเกิดแยกทางอย่าร้างกันไป? เพราะแน่นอนว่าผู้ชายส่วนใหญ่จะต้องเป็นผู้หาสินสอดเอง ไม่ก็เงินพ่อแม่
บางคนอาจจะต้องเอาเงินเก็บทั้งหมดมาแต่งงาน !! ถ้าเลิกกันไปล่ะครับ ผู้ชายจะเหลืออะไร?
โชคดีหน่อยเขาอาจยกให้มาทำทุน หรือใส่เพิ่มให้ทั้งพ่อแม่2ฝ่าย
แต่ 50:50หรือ60:40 พ่อแม่ฝ่ายหญิงจะรับสินสอดทั้งหมดไว้ แล้วบอกว่าเป็นหลักประกันและค่าน้ำนมเพราะเขาเลี้ยงลูกมาอย่างดี !!
ด้วยเหตุผลที่ตามมาคือผู้หญิงต้องออกเรือนไปอยู่บ้านสามี ไปดูแลครอบครัวทางสามี ไม่ได้อยู่ดูแลทางครอบครัวฝ่ายหญิง
นี้จึงเป็นที่มาของคำว่าค่าน้ำนมค่าเลี้ยงดู ใช่ !! มันใช่ครับ นี้คือความเชื่อแต่เดิมที่ผมได้เท้าความไปแต่ด้านบน
ถ้าหากเรายังอยู่ในยุคนั้นผมไม่เถียง แต่ดูในยุคของปัจจุบันซิครับ ชายหญิงส่วนใหญ่ต่างคนต่างทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัว
เวลาเลี้ยงลูกยังไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ยังเอาลูกไปฝากเนิสซรี่ ฝากโรงเรียน หรือฝากให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงเลยครับ
ถามหน่อยแล้วจะเอาเวลาไหนไปดูแลครอบครัวฝ่ายชาย? มันไม่ได้เป็นครอบครัวใหญ่เหมือนแต่ก่อนที่มีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้ากันตลอด
แต่ถ้าเป็นครอบครัวคนที่มีฐานะ มีธุรกิจมีกิจการอันนี้ยกเว้นครับ แต่ส่วนใหญ่หนุ่มสาวออฟฟิศ คนจบใหม่
ก็มาหาทำงานต่างจังหวัดในเมืองใหญ่ๆกันหมด มาใช่ชีวิตกันเอง กว่าจะกลับไปอยู่บ้านเก่าก็คงเกษียณ ไม่ก็ตั้งรกรากใหม่
ที่ต่างจังหวัดที่ทำงาน นานๆจะได้กลับไปเจอพ่อแม่ซักที ถ้าไม่กลับไปอยู่กับพ่อแม่หรือไม่เอาพ่อแม่มาอยู่ด้วยนะครับ
หรือเจออีกทีก็คือไปเยี่ยมที่รพ. จริงมั้ยครับ? นี้ผมเอาความจริงมาพูดเลย
เห็นมั้ยครับว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นผมจึงไม่เห็นด้วยที่จะเอาสินสอด ไปโยงเป็นค่าน้ำนมค่าเลี้ยงดูอะไรนั้น...
เพราะไม่ว่าชายหรือหญิง ต่างก็มีต้นทุนด้วยกันทั้งคู่...
สำหรับผม ผมเห็นด้วยเรื่องสินสอด ผมไม่ได้มองถึงเรื่องการแต่งงานอย่างเดียว แต่ผมมองไปไกลกว่านั้น
คือเรื่องการใช่ชีวิตร่วมกันระหว่างครอบครัวครับ สินสอดมันแสดงให้เห็นอะไรๆได้เยอะครับ โดยเฉพาะสิทธิในตัวภรรยาของผม
เพราะถ้าผมสามารถทำตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว ดังนั้นในบางเรื่องพ่อแม่ฝ่ายหญิงจะมาก้าวก่ายครอบครัวของผมไม่ได้
เพราะฝ่ายหญิงได้เป็นส่วนนึงของครอบครัวผมไปแล้ว ดังนั้นก่อนแต่งผมควรจะต้องพยายามทำให้ได้ตามกำลังและความสามารถของผม
นั้นคือค่าสินสอด มันแสดงถึงความพร้อมของผมด้วย หากผมไม่พร้อมผมก็ยังไม่แต่งครับ นั้นคือผมไม่สามารถแก้โจทย์ที่เขาตั้งไว้ได้
ที่ผมพูดมานี้ บางครอบครัวมักจะมีปัญหาเรื่องพ่อตาแม่ยายครับที่มักจะเอาเรื่องเงินมาเป็นประเด็น เข้ามาวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการ
หรือบางทีล้ำเส้นจนเกินไป จนทำให้ครอบครัวแตกแยกกันไปก็มีเยอะ ดังนั้นการให้สินสอดตามเงื่อนไข(ถ้าทำได้)จะเป็นเรื่องดีครับ
มันแสดงให้เห็นถึงความสามารถเรา และพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็ควรจะเกรงใจเรา อย่าให้ขาดตกบกพร่องครับ จะได้ไม่มีข้ออ้างได้
แต่งงานกับคนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปทั้งชีวิตมันมีแค่ครั้งเดียวนะครับ ทำให้ดีที่สุดครับ...
หากคุณคิดจะเป็นผู้นำครอบครัว(ยังเป็นค่านิยมที่มีความคาดหวังในตัผู้ชาย) ควรมองให้ขาดครับ...
การจะสร้างบ้านให้แข็งแรงและอยู่ยาวนาน ต้องเริ่มจากฐานที่มั่นคงก่อนครับ อย่ามองข้ามรายละเอียดไป...
สรุป สินสอดนั้นจำเป็นมั้ย? ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ล่ะครอบครัวไปครับ จะเรียกมากหรือน้อย หรือไม่เรียกอยู่ที่พูดคุยตกลงกันครับ
หากมันเป็นธรรมเนียมวัฒนธรรมที่สังคมหรือครอบครัวนั้นๆปฏิบัติมา เราก็ควรทำตามครับหากเราคิดจะใช่ชีวิตร่วมกับคนๆนั้น ตลอดไป
โดยไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ติฉินนินทาจากชาวบ้านมันเรื่องที่เซนซิทิฟครับสำหรับผู้ใหญ่(คนไทย)
เหมือนคนที่จะแต่งงานกับคนอิสลาม ก็ต้องย้ายศาสนาไปเป็นอิสลามด้วย ก็แบบนี้แหละครับ ถ้าเรารับไม่ได้ก้ถอยออกมาแค่นั้นเอง
การจะไปเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมหรือวัฒนธรรมค้อนข้างทำได้ยากครับ ของแบบนี้ต้องใช่เวลา เปลี่ยนตัวเราเองง่ายที่สุดครับ ^^
ปล.อยากจะบอกว่าสินสอดที่มากไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักและเลี้ยงดูฝ่ายหญิงได้ตลอดไป
หากแต่เป็นความรัก การกระทำที่เขาแสดงออกให้คุณและครอบครัวคุณเห็นและมั่นใจในตัวผู้ชายเองมากกว่าครับ
สิ่งนี้ต่างหากที่ควรจะมองมากกว่านะครับ สุดท้ายขอให้ทุกคนเจอคนที่ใช่ ในแบบที่ชอบนะครับ ^^
ปล.ผมเองก็ยังไม่มีแฟนแต่ก็วางแผนในอนาคตคร่าวๆไว้แล้ว ที่เล่ามาทั้งหมดก็จากประสบการณ์ที่ได้พบเห็นมาหน่ะครับ ^^
ที่เขียนอาจจะดูขัดแย้งกัน แต่ผมตอบในหลายๆมุมมองหน่ะครับ จากความเห็นของคนส่วนใหญ่ที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ใจจริงอยากจะเขียนให้ละเอียดกว่านี้ ยังมีอีกหลายแง่มุมที่ผมมองต่างออกไป แต่ตอนนี้ผมง่วงมาก ขอเท่านี้ก่อนแล้วกัน...
ใครมีข้อคิดเห็น ติชม แนะนำอย่างไรเชิญได้เลยนะครับ ^^