ลุ้นคสช.ถอดสลัก'ยาง'ก๊อกสองดับไฟใต้
ลุ้นคสช.ถอดสลัก'ยาง' ก๊อกสองดับไฟใต้ : สุพิชฌาย์ รัตนะรายงาน
การเข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในห้วงระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าประจักษ์ผลเชิงบวกในแง่การเปลี่ยนแปลงการทำงานในหลายพื้นที่และหลายระดับ
เช่นเดียวกับจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีการเข้ามาวางกรอบโครงสร้าง และ "ล็อกเป้า" การทำงานชนิดจับต้องได้ใน 2 แง่มุมหลักด้วยกัน
เรื่องแรกที่น่าสนใจคือ โครงสร้างการบริหารจัดการปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับนโยบายมีหัวหน้า คสช.เป็นประธาน ทำงานร่วมกับ สมช., ระดับแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติและระดับปฏิบัติการในพื้นที่ โดยมี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเป็นหน่วยนำ
ส่วนเรื่องที่สอง คือการวางกรอบกลไกการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐที่มีส่วนร่วมของทุกกลุ่มเป็นรูปธรรมขึ้น
ทว่า เมื่อโฟกัสไปยังประชาชนในพื้นที่กลับพบว่า ปฏิกิริยาต่อการปรับโครงสร้างการแก้ไขปัญหาดูเหมือนไม่ได้สร้างความแปลกใจ หรือตื่นเต้นกับการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ของ "อำนาจทหาร" เท่าไหร่นัก ด้วยเพราะคุ้นชินกับการร่วมงานกับทหารตลอดกว่า 10 ปีที่เกิดปัญหาความไม่สงบขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ถี่บ่อย
แต่ท้ายสุดทุกอย่างยังคงต้องรอแสงสว่างปลายอุโมงค์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด..?
เมื่อเทียบกับความหวังและความต้องการของประชาชน ยามนี้สิ่งที่สำคัญและอยากให้ "คสช." ใช้อำนาจ "ทหาร" ที่มีอยู่ช่วยคลี่คลายปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาปากท้องของชาวบ้านโดยตรงอย่างเร็วที่สุด โดยเฉพาะปัญหาราคายางพาราตกต่ำมานานแรมปี ซึ่งในระดับรากหญ้าปัญหานี้ถือเป็นกลไกสำหรับทำให้ความเป็นอยู่เข้าสู่โหมดความเดือดร้อนไม่ต่างไปจากการเผชิญปัญหาความไม่ปลอดภัยอันเกิดจากความรุนแรง
"วีระ วิรุณสาร" แม่ค้าขายข้าวแกงย่านเทศบาลเมืองปัตตานี กล่าวว่า สังคมชายแดนภาคใต้เดือดร้อนอย่างหนักทั้งจากเศรษฐกิจที่แย่ โดยเฉพาะปัญหาราคายางพาราตกต่ำและต้องมาเจอกับปัญหาความไม่สงบชายแดนภาคใต้อีก ดังนั้น การเข้ามาของคสช. โดยผู้นำคือทหารทำให้มีความหวังมากขึ้นว่าจะเข้ามาช่วยเหลือความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้บ้าง
อย่างน้อยเชื่อว่าทหารย่อมรู้และเข้าใจดีว่าที่ผ่านมาชาวบ้านเดือดร้อนอะไรบ้าง จึงอยากให้เร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนใน 2 เรื่องหลักเพื่อให้ชาวบ้านได้ลืมตาอ้าปากต่อไป
เรื่องแรกคือปัญหาปากท้องของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจที่แย่ ทั้งข้าวของราคาแพง สินค้าปรับขึ้นราคา และที่สำคัญยางพาราที่สร้างรายได้หลักให้แก่ชาวบ้านกลับราคาตกต่ำจากกิโลกรัมละ 100 บาทเหลือ 56-58 บาท ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก
ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องความเดือดร้อนเดิมๆ คือเหตุการณ์ความไม่สงบที่อยากให้เร่งหาทางยุติโดยเร็ว
"อยากให้แก้ไขปรับราคายางให้ดีขึ้นและหยุดความรุนแรงโดยเฉพาะระเบิดให้ได้ เพราะสองสิ่งนี้ทำให้เดือดร้อน ชีวิตแม่ค้าทุกวันนี้เสี่ยงกับความไม่ปลอดภัยเวลาเดินทางไปซื้อของหรือแม้แต่ขายของในร้านก็ต้องระวังภัย ยิ่งวันใดมีระเบิดทุกอย่างเงียบหมดลูกค้าหายเกลี้ยง แถมต้องเจอปัญหายางราคาตกอีกแต่ละวันแทบไม่มีลูกค้าอุดหนุน แกงที่ทำเหลือก็ต้องเททิ้งขาดทุนย่อยยับ" วีระ ระบายความในใจ
เสียงสะท้อนเหล่านี้ไม่ต่างจาก "ละอองวรรณ วรรณสมาน" เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลปัตตานี ที่ระบุว่า การแก้ไขปัญหาความไม่สงบเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเพราะมันมีความซับซ้อนในหลายประเด็นที่ต้องทำใจรอ แต่สิ่งที่รอไม่ได้และอยากให้แก้ไขให้ทันทีคือเรื่องเศรษฐกิจที่มีผลโดยตรงกับชาวบ้านในพื้นที่ โดยเฉพาะราคายางพาราที่ถูกมากเป็นประวัติการณ์จนท้อใจจะขยับทำอะไรแทบหมดหวังเพราะรายได้ของชาวบ้านส่วนใหญ่มาจากยางพารา ช่วงไหนยางราคาดีเศรษฐกิจการจับจ่ายซื้อของจะดีมากแตกต่างจากช่วงยางราคาถูกทุกอย่างเงียบเหงา
"เราไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก ยางไม่ต้องกิโลกรัมละ 100 บาท ขอแค่ 80-90 บาทก็ได้เพราะถือว่าชาวบ้านพออยู่ได้ไม่เดือดร้อนมากและวิธีนี้ถือเป็นการช่วยชาวบ้านโดยตรงไม่ต้องอ้างเรื่องโครงสร้างและนโยบายให้ยุ่งยาก" ละอองวรรณ บอก
ไม่เพียงเท่านี้ "นุสรา ยูโซะ" ชาวบ้านอีกรายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้สะท้อนมุมมองต่อการเข้ามาของคสช.ว่า มีความหวังมากขึ้นว่าจะเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาความไม่สงบของบ้านเมืองให้ก้าวผ่านไปได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะแผนการสร้างความปรองดองหรือ "แผนปรองดอง" ที่คสช.หมายมั่นปั้นมือให้เป็นกลไกในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในทุกตารางนิ้วของประเทศ ซึ่งหากแผนนี้สำเร็จสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามไปด้วยและอานิสงส์เหล่านี้จะทำให้มีผลต่อนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ในทุกมิติดีขึ้นเช่นกัน
ดูเหมือนว่าการเข้ามาของคสช. ชาวบ้านในพื้นที่คาดหวังให้มาคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งหมายรวมถึงการแก้ไขวิกฤติค่าครองชีพที่สูงจนเป็นปัญหาปากท้องที่ต้องการการดูแลมากกว่าการคาดหวังในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รอคอยมาอย่างยาวนาน
.....................................
(หมายเหตุ : ลุ้นคสช.ถอดสลัก'ยาง' ก๊อกสองดับไฟใต้ : สุพิชฌาย์ รัตนะรายงาน)
คนอ่าน 4,787 คน
ลิงค์
http://www.komchadluek.net/detail/20140701/187384.html
"เราไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก ยางไม่ต้องกิโลกรัมละ100บาท ขอแค่ 80-90บาทก็ได้เพราะถือว่าชาวบ้านพออยู่ได้ไม่เดือดร้อนมาก.." ?
ลุ้นคสช.ถอดสลัก'ยาง' ก๊อกสองดับไฟใต้ : สุพิชฌาย์ รัตนะรายงาน
การเข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในห้วงระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าประจักษ์ผลเชิงบวกในแง่การเปลี่ยนแปลงการทำงานในหลายพื้นที่และหลายระดับ
เช่นเดียวกับจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งมีการเข้ามาวางกรอบโครงสร้าง และ "ล็อกเป้า" การทำงานชนิดจับต้องได้ใน 2 แง่มุมหลักด้วยกัน
เรื่องแรกที่น่าสนใจคือ โครงสร้างการบริหารจัดการปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับนโยบายมีหัวหน้า คสช.เป็นประธาน ทำงานร่วมกับ สมช., ระดับแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติและระดับปฏิบัติการในพื้นที่ โดยมี กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าเป็นหน่วยนำ
ส่วนเรื่องที่สอง คือการวางกรอบกลไกการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐที่มีส่วนร่วมของทุกกลุ่มเป็นรูปธรรมขึ้น
ทว่า เมื่อโฟกัสไปยังประชาชนในพื้นที่กลับพบว่า ปฏิกิริยาต่อการปรับโครงสร้างการแก้ไขปัญหาดูเหมือนไม่ได้สร้างความแปลกใจ หรือตื่นเต้นกับการเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ของ "อำนาจทหาร" เท่าไหร่นัก ด้วยเพราะคุ้นชินกับการร่วมงานกับทหารตลอดกว่า 10 ปีที่เกิดปัญหาความไม่สงบขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ถี่บ่อย
แต่ท้ายสุดทุกอย่างยังคงต้องรอแสงสว่างปลายอุโมงค์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด..?
เมื่อเทียบกับความหวังและความต้องการของประชาชน ยามนี้สิ่งที่สำคัญและอยากให้ "คสช." ใช้อำนาจ "ทหาร" ที่มีอยู่ช่วยคลี่คลายปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาปากท้องของชาวบ้านโดยตรงอย่างเร็วที่สุด โดยเฉพาะปัญหาราคายางพาราตกต่ำมานานแรมปี ซึ่งในระดับรากหญ้าปัญหานี้ถือเป็นกลไกสำหรับทำให้ความเป็นอยู่เข้าสู่โหมดความเดือดร้อนไม่ต่างไปจากการเผชิญปัญหาความไม่ปลอดภัยอันเกิดจากความรุนแรง
"วีระ วิรุณสาร" แม่ค้าขายข้าวแกงย่านเทศบาลเมืองปัตตานี กล่าวว่า สังคมชายแดนภาคใต้เดือดร้อนอย่างหนักทั้งจากเศรษฐกิจที่แย่ โดยเฉพาะปัญหาราคายางพาราตกต่ำและต้องมาเจอกับปัญหาความไม่สงบชายแดนภาคใต้อีก ดังนั้น การเข้ามาของคสช. โดยผู้นำคือทหารทำให้มีความหวังมากขึ้นว่าจะเข้ามาช่วยเหลือความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้บ้าง
อย่างน้อยเชื่อว่าทหารย่อมรู้และเข้าใจดีว่าที่ผ่านมาชาวบ้านเดือดร้อนอะไรบ้าง จึงอยากให้เร่งแก้ไขปัญหาเร่งด่วนใน 2 เรื่องหลักเพื่อให้ชาวบ้านได้ลืมตาอ้าปากต่อไป
เรื่องแรกคือปัญหาปากท้องของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจที่แย่ ทั้งข้าวของราคาแพง สินค้าปรับขึ้นราคา และที่สำคัญยางพาราที่สร้างรายได้หลักให้แก่ชาวบ้านกลับราคาตกต่ำจากกิโลกรัมละ 100 บาทเหลือ 56-58 บาท ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนหนัก
ส่วนเรื่องที่สองเป็นเรื่องความเดือดร้อนเดิมๆ คือเหตุการณ์ความไม่สงบที่อยากให้เร่งหาทางยุติโดยเร็ว
"อยากให้แก้ไขปรับราคายางให้ดีขึ้นและหยุดความรุนแรงโดยเฉพาะระเบิดให้ได้ เพราะสองสิ่งนี้ทำให้เดือดร้อน ชีวิตแม่ค้าทุกวันนี้เสี่ยงกับความไม่ปลอดภัยเวลาเดินทางไปซื้อของหรือแม้แต่ขายของในร้านก็ต้องระวังภัย ยิ่งวันใดมีระเบิดทุกอย่างเงียบหมดลูกค้าหายเกลี้ยง แถมต้องเจอปัญหายางราคาตกอีกแต่ละวันแทบไม่มีลูกค้าอุดหนุน แกงที่ทำเหลือก็ต้องเททิ้งขาดทุนย่อยยับ" วีระ ระบายความในใจ
เสียงสะท้อนเหล่านี้ไม่ต่างจาก "ละอองวรรณ วรรณสมาน" เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลปัตตานี ที่ระบุว่า การแก้ไขปัญหาความไม่สงบเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาเพราะมันมีความซับซ้อนในหลายประเด็นที่ต้องทำใจรอ แต่สิ่งที่รอไม่ได้และอยากให้แก้ไขให้ทันทีคือเรื่องเศรษฐกิจที่มีผลโดยตรงกับชาวบ้านในพื้นที่ โดยเฉพาะราคายางพาราที่ถูกมากเป็นประวัติการณ์จนท้อใจจะขยับทำอะไรแทบหมดหวังเพราะรายได้ของชาวบ้านส่วนใหญ่มาจากยางพารา ช่วงไหนยางราคาดีเศรษฐกิจการจับจ่ายซื้อของจะดีมากแตกต่างจากช่วงยางราคาถูกทุกอย่างเงียบเหงา
"เราไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก ยางไม่ต้องกิโลกรัมละ 100 บาท ขอแค่ 80-90 บาทก็ได้เพราะถือว่าชาวบ้านพออยู่ได้ไม่เดือดร้อนมากและวิธีนี้ถือเป็นการช่วยชาวบ้านโดยตรงไม่ต้องอ้างเรื่องโครงสร้างและนโยบายให้ยุ่งยาก" ละอองวรรณ บอก
ไม่เพียงเท่านี้ "นุสรา ยูโซะ" ชาวบ้านอีกรายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้สะท้อนมุมมองต่อการเข้ามาของคสช.ว่า มีความหวังมากขึ้นว่าจะเข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาความไม่สงบของบ้านเมืองให้ก้าวผ่านไปได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะแผนการสร้างความปรองดองหรือ "แผนปรองดอง" ที่คสช.หมายมั่นปั้นมือให้เป็นกลไกในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในทุกตารางนิ้วของประเทศ ซึ่งหากแผนนี้สำเร็จสถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้นจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามไปด้วยและอานิสงส์เหล่านี้จะทำให้มีผลต่อนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ในทุกมิติดีขึ้นเช่นกัน
ดูเหมือนว่าการเข้ามาของคสช. ชาวบ้านในพื้นที่คาดหวังให้มาคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งหมายรวมถึงการแก้ไขวิกฤติค่าครองชีพที่สูงจนเป็นปัญหาปากท้องที่ต้องการการดูแลมากกว่าการคาดหวังในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่รอคอยมาอย่างยาวนาน
.....................................
(หมายเหตุ : ลุ้นคสช.ถอดสลัก'ยาง' ก๊อกสองดับไฟใต้ : สุพิชฌาย์ รัตนะรายงาน)
คนอ่าน 4,787 คน
ลิงค์ http://www.komchadluek.net/detail/20140701/187384.html