[CR] รีวิวตะลุยเดี่ยวเที่ยวกัมพูชา พนมเปญ-นครวัด 5 วัน 4 คืน ง่ายๆ สบายๆ ตอนที่ 1 ( แบบละเอียด )

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะครับ  ผมเป็นนักศึกษาปริญญาโท ช่วงหยุดยาวก่อนสอบมีเวลาเกือบ 20 วัน จึงหาโอกาสไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านดูครับ เลือกมา 1 ประเทศคือ กัมพูชาโดยมีจุดมุ่งหมายคือการไปดูสถานที่จริงจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ยุคเขมรแดงและการไปชมนครวัด-นครธมครับ

เห็นมีหลายกระทู้ที่ได้มารีวิวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว  ผมเองก็อาศัยอ่านจากหลายๆคน ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกกัมพูชา  ดังนั้นหวังว่ากระทู้ของผมจะเป็นประโยชน์ต่อหลายๆท่านที่มีความคิดอยากจะลองเดินทางไปสัมผัสกับประเทศเพื่อนบ้านของเราแห่งนี้ด้วยตัวของท่านเองแบบไม่ต้องพึ่งพาไกด์นะครับ

มาเริ่มกันเลยดีกว่า  ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองด้วยสายการบินแอร์เอเชียครับ  ใช้เวลาในการเดินทางทั้งสิ้น 1 ชั่วโมงโดยประมาณ เดินทางจากกรุงเทพไปถึงกรุงพนมเปญครับ  ก่อนหน้าที่เราจะเดินทาง เราก็ทำการแลกเงินดอลลาร์ให้เรียบร้อยที่สนามบินดอนเมืองเพราะที่กัมพูชาเขาใช้เงินดอลลาร์กันเป็นปกติครับ แม้ว่าจะมีสกุลเงินเรียลเป็นของตนเองก็ตาม แต่ราคาสินค้าส่วนใหญ่มักจะขายกันเป็นดอลลาร์ครับ  ในช่วงที่ผมเดินทาง ( ต้นเดือนพฤษภาคม 2557 ) อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ดอลลาร์ต่อ 4,000 เรียลครับ  จริงๆถ้าเราไม่เดินทางโดยเครื่องบิน จะเดินทางโดยรถบัสก็ได้นะครับ แต่ผมไม่ค่อยแนะนำนะครับเพราะถนนระหว่างเสียมเรียบไปพนมเปญยังกันดารอยู่มากและระยะทางค่อนข้างไกลครับ  

พอมาถึงสนามบิน จะมีเจ้าหน้าที่คอยถามเราว่า " Thailand? " ซึ่งเราก็สามารถเดินเข้าไปในช่องตรวจได้เลย ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องวีซ่าแบบพวกฝรั่งครับ  พอเดินออกมาที่หน้าสนามบิน ก็จะเจอกับบรรดาคนขับแท็กซี่และตุ๊กๆซึ่งมีจำนวนเยอะมาก ราคาก็แล้วแต่จะต่อรองกันครับ แต่แน่นอนว่าแพงกว่าด้านนอกสนามบินอยู่แล้ว ของผมโดนไป 7 ดอลลาร์ให้ตุ๊กๆ เข้ามาส่งในเมืองครับ  ( จริงๆแนะนำว่า ถ้ามีเวลามากก็อาจจะใช้วิธีเดินหนีได้เหมือนกันนะครับ ต่อราคาไปเรื่อยๆ แล้วเดินหนี เดี๋ยวก็จะได้ราคาถูกเอง )



พอเราขึ้นตุ๊กๆมา ทุกคันก็จะมีโบชัวร์ไว้แนะนำนักท่องเที่ยวแบบนี้นะครับ ส่วนใหญ่แล้วเขาจะหวังจับนักท่องเที่ยวจากสนามบินเนี่ยแหละ คือไปส่งแล้ว ก็จะพยายามพูดเกลี่ยกล่อมให้นักท่องเที่ยวใช้บริการเขาต่อเลยในวันถัดๆไป เราก็ลองต่อราคาดูได้ครับ จะเห็นได้ว่ามีสถานที่น่าสนใจเยอะพอสมควร แต่ต้องลองศึกษาเส้นทางกันดีๆนะครับเพราะบางสถานที่มันจะไกลกันมากๆ เช่น พระราชวังกับ Udong Hill ห่างกัน 30 กว่ากิโลเลยนะครับ  ผมเลือกที่จะเก็บสถานที่สำคัญๆในเมืองให้ครบครับ เลยไม่ได้ออกไปตามรอบนอก  สนนราคาอยู่ที่ 20 ดอลลาร์ต่อวันครับ ผมจะไม่ต่อราคาจนเขี้ยวนะครับเพราะผมถือว่ายอมจ่ายแพงหน่อย แต่ขอให้เขาบริการเราให้ดีก็พอ ส่วนใหญ่แล้วผมจะเลี้ยงข้าวกลางวันคนขับรถด้วยนะครับ จ่ายแพงขึ้นอีกหน่อย แต่รับรองว่าคุ้มครับ  ทั้งได้รับบริการที่ดี แถมพี่คนขับยังเล่านู้นเล่านี้เกี่ยวกับบ้านเมืองเขาให้ฟังเยอะมากครับ รวมถึงเรื่องการเมืองบ้านเราด้วย...อุ๊บ !




ที่พนมเปญนี่การจราจรเกือบจะเรียกว่าเป็นการจราจลได้เลยนะครับ  รถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์เยอะมาก ไอ้เยอะนะไม่เท่าไร  แต่ที่น่ากลัวสำหรับคนไทยก็คือ ที่นี่ไม่มีสะพานลอยครับ  ไฟแดงก็มีน้อยมาก เขาใช้วิธีต่างคนต่างขับไปครับ บีบแตรให้สัญญาณกันให้ดีก็แล้วกัน  ถึงแม้ว่ารถที่นี่จะขับอย่างไร้ระเบียบ สังเกตจากภาพดูนะครับ การขับย้อนเลนเป็นเรื่องปกติมากที่นี่



การข้ามถนนเป็นสิ่งที่ท้าทายมากครับ ถนน 4 เลน รถแล่นสวนกันไปมาอย่างรวดเร็ว  ที่สำคัญไม่มีสะพานลอยครับ  วิธีข้ามก็คือ ทำใจนิ่งๆ กะระยะดีๆ ( แต่เอาเข้าจริงก็กะไม่ค่อยจะได้หรอกครับ รถมาไวมาก ) จากนั้นก้าวขาเดินออกไป  รักษาจังหวะให้ดี อย่าเดินเร็วหรือช้ากว่าจังหวะที่เดินในช่วงแรกครับเพราะรถที่นี่เขาจะกะระยะในใจว่าเราจะเดินเร็วแค่ไหน แล้วเขาจะคำนวณการหลบเราอยู่แล้วครับ  แต่กระนั้นก็ต้องระวังให้มากๆครับ ข้ามถนนที่นี่เสียวจริงๆครับ ข้ามถนนที่นี่ได้ กลับมากทม. ข้ามสบายเลยครับ เหมือนจบปริญญาเอกการข้ามถนนมาแล้ว  ลองดูจากในภาพนะครับ เป็นแบบนี้จริงๆเลย

ตอนที่ผมไปถึงก็เป็นช่วงเย็นๆแล้วครับ เช็คอินโรงแรมเรียบร้อยก็ออกเดินชมเมืองสักหน่อย โรงแรมผมตั้งอยู่บริเวณกลางใจเมือง เรื่องโรงแรมเดี๋ยวค่อยแนะนำก็แล้วกันครับ โรงแรมที่ผมไปพักดีมาก แถมราคาถูกด้วย  ออกจากโรงแรม เดินมาเรื่อยๆราวๆ 10 นาทีก็มาถึงสถานที่สำคัญแห่งแรกคือ วิมานเอกราชครับ เป็นอนุสาวรีย์ที่รำลึกถึงการได้เอกราชจากฝรั่งเศส สร้างขึ้นในปี 1958 หลังจากได้รับเอกราชราวๆ 5 ปีครับ แนะนำให้มาเดินชมยามค่ำคืนจะสวยงามมาก



เดินต่อจากวิมานเอกราชมาอีกนิดเดียวก็จะเป็นพระบรมราชนุสาวรีย์ของสมเด็จพระนโรดม สีหนุครับ  



บริเวณรอบๆพระบรมราชานุสาวรีย์ก็จะเป็นลานสาธารณะ จะมีทั้งวัยรุ่นและผู้สูงอายุมาออกกำลังกายครับ  ส่วนใหญ่จะเต้นแอโรบิคกัน การเต้นของที่นี่จะไม่ได้เต้นกันแบบบ้านเรานะครับ  เขาจะมายืนเข้าแถวกันและเดินซ้าย เดินขวาเป็นระเบียบพร้อมเพียงกัน คล้ายๆบัดสลบของลาวครับ



บริเวณนั้นก็จะมีน้ำพุเต้นระบำด้วย วัยรุ่นหนุ่มสาวนิยมมานั่งพลอดรักกันครับ



ตอนเดินกลับโรงแรม บังเอิญอยู่ในเหตุการณ์ที่รถชนกันพอดีครับ  เป็นมอเตอร์ไซค์มีข้าวของพะลุงพะลัง โดนรถยนต์ชนเข้าอย่างจัง แต่เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเป็นอะไร  ผมก็ขอเป็นไทยมุงยืนดูเหตุการณ์ด้วย  แต่แปลกครับ  คือถ้าเป็นบ้านเราเนี่ย คงต้องไปโรงพักกันเพราะรถมอเตอร์ไซค์กระจกข้างแตกด้วย แถมข้าวของกระจุยกระจายหมดเลย  ปรากฏว่าตำรวจมาถึงก็พยุงสาวเจ้าของมอเตอร์ไซค์ขึ้นมา ถามว่าเจ็บตรงไหนไหม พอบอกไม่เจ็บ ต่างคนก็ต่างแยกย้าย งงเลยสิครับ เศษกระจกข้างยังเกลื่อนเต็มถนน แยกย้ายกันเฉยเลย



ก่อนกลับเข้าโรงแรมก็แวะซื้ออะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อสักหน่อย  ที่นี่ไม่มี 7-11 นะครับ เป็นร้านสะดวกซื้อที่ตั้งกันเอง  แทบจะทุกร้านจะมีลักษณะเหมือนกัน คือจะขายของทั่วๆไป แล้วยังขายอาหารด้วย หิวก็เดินเข้าไปสั่งกินในร้านได้เลยครับ พนักงานที่นี่บริการดีครับ ผมซื้อมาม่าเป็นถ้วย จ่ายเงินเสร็จ เขาถามว่าทานเลยไหม แล้วเขาก็จัดการให้ทุกอย่างให้เสร็จสรรพ แกะซองเครื่องปรุง เทน้ำร้อน บริการให้ฟรีครับ



ได้ของเสร็จก็สามารถมานั่งสบายๆ ทานในร้านได้เลย นั่งนานแค่ไหนก็ไม่มีไล่ครับ ผมไปนั่งชมวิวมาแล้ว ตากแอร์ สบายดี  เก้าอี้บาร์แบบนี้มีกันเกือบทุกร้านครับ



เช้าวันที่ 2 ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทางครับ นัดคนขับรถไว้ 7.30 น. ออกมายืนรอหน้าโรงแรม ปรากฏว่ามีตุ๊กๆ แท็กซี่มารอกันเต็มเลยครับ บางคันก็จอดนอนที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน เสี่ยงโชคว่าวันนี้จะได้แขกไหม  ตุ๊กๆที่ผมนัดไว้ยังไม่มา ก็เลยลองเดินออกไปหาอะไรกินข้างทางสักหน่อย ก็ไปเจอลุงขายน้ำเข้า ดูน่ากินดี แต่แกพูดอังกฤษไม่ได้ครับ  เวลาสั่งชี้อย่างเดียว ดีที่ผมสั่งแค่โอวันตินเย็น เลยไม่ยุ่งยากมาก ถ้าอยากกินอะไรพิสดารหน่อยคงลำบากแย่  รสชาติดีครับ ราคาแค่แก้วละ 15 บาทเท่านั้น ลุงชงเสร็จก็บอกราคาเป็นภาษาเขมรมา เราก็มีหน้าที่ยื่นตังให้อย่างเดียวเพราะฟังไม่รู้เรื่องสักนิด



สถานที่แรกที่เราจะไปกันก็คือ พระบรมมหาราชวังครับ เสียค่าเข้าชม 25,000 เรียลหรือประมาณ 6.25 ดอลลาร์ครับ  ลักษณะสถาปัตยกรรมจะคล้ายคลึงกับพระราชวังบ้านเรา เราจะสามารถเข้าชมได้แค่ส่วนจัดแสดงบริเวณพระราชฐานด้านนอก  จะมีอาคารอยู่หลายหลังครับ รวมถึงท้องพระโรงด้วย  บางอาคารสามารถเข้าชมได้ แต่ห้ามถ่ายภาพครับ จะมีเจ้าหน้าที่คอยเตือนอยู่  



ช่วงที่ผมไปเป็นช่วงตอนกำลังมีการซ้อมพระราชพิธีเฉลิมฉลองวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนโรดม สีหมุนีพอดีครับ เลยได้เห็นรูปแบบพิธีอย่างใกล้ชิด ถือเป็นบุญจริงๆครับ



ในพระราชพิธีจริง สมเด็จพระนโรดมก็จะทรงประทับบนพระเสลี่ยงนี้แหละครับ



ภายในพระบรมมหาราชวังจะมีส่วนจัดแสดงอยู่หลายอาคารครับ ทั้งจัดแสดงวัตถุโบราณที่เป็นสมบัติประจำชาติและจัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ ดังเช่นรูปนี้ครับ เป็นของจริงที่ถูกใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก



ด้านในอาคารก็จะมีการจำลองขบวนเสด็จในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกด้วย



หลังจากชมพระบรมมหาราชวังเสร็จ พี่คนขับก็พาผมเดินทางออกนอกตัวเมืองไปราวๆ 10 กว่ากิโลเพื่อไปยังสถานที่ที่มีชื่อว่า เจืองเอ็ก ( Choeung Ek ) ซึ่งบ้านเรารู้จักกันดีในนามว่า ทุ่งสังหารครับ จริงๆแล้วทุ่งสังหารไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว หากแต่มีอยู่ทั่วประเทศนับรวมได้กว่า 300 แห่ง ในช่วงที่เขมรแดงเรืองอำนาจนั้น เพียงแค่ชั่วระยะเวลาประมาณ 3 ปี มีชาวเขมรถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปกว่า 2 ล้านคน  จากประชากรทั่วประเทศราวๆ 8 ล้านคนในขณะนั้น  ลองจินตนาการถึงความเหี้ยมโหดชวนสยองของเหตุการณ์นี้ดูสิครับ ครอบครัวเรา เพื่อนเรา คนที่เรารู้จัก 1 ใน 4 ต้องตายไปจากเหตุการณ์นี้ มันคงเศร้าสลดจนบอกไม่ถูกนะครับ  นี่คือภาพด้านหน้าทางเข้าครับ



ค่าเช้าชม 6 ดอลลาร์ จะมีหูฟังให้เป็นส่วนตัวนะครับ ภาษาไทยก็มี เชิญหยิบได้ฟรีครับ  สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่รำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ดังนั้นควรให้เกียรติแก่สถานที่ด้วยการเข้าชมอย่างสงบครับ  



เมื่อสวมหูฟังแล้ว เราก็กดหมายเลขไล่เรียงไปตามแผนที่ฉบับย่อยที่เจ้าหน้าที่ให้มาหรืออาจจะดูตามป้ายข้างทางที่จะมีตัวเลขกำกับไว้ เราสามารถกดฟังเหตุการณ์ตามตัวเลขนั้นได้ว่า ณ จุดนี้มีความสำคัญอย่างไร เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ดังภาพที่เห็นนี้เป็นต้นครับ



บรรยากาศของสถานที่ชวนหดหู่มากครับ ยิ่งได้รับฟังการบรรยายจากเครื่องเล่นด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเศร้าใจมากแค่ไหน เหตุไฉนคนเขมรด้วยกันถึงฆ่ากันได้ลงคอ โดยเฉพาะที่เจืองเอ็กแห่งนี้ ว่ากันว่ามีผู้คนหลายพันคนถูกสังหารที่นี่ครับ วิธีการสังหารก็แตกต่างกันออกไป เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังนะครับ  ลองดูภาพต้นตาลต้นนี้สิครับ มันก็เหมือนต้นตาลธรรมดา แต่มันคืออาวุธสังหารที่ทหารเขมรแดงนิยมใช้ในขณะนั้นครับ  กระสุนมันเปลือง เลยต้องหารวิธีสังหารรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงการใช้ใบตาลที่คมๆ ปาดคอหอยนักโทษผู้บริสุทธิ์ ตาลต้นนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตาลสังหารครับ



นอกจากต้นตาลสังหารแล้ว เราก็มีต้นไม้สังหารด้วย ทหารเขมรแดงจะจับเด็กๆ ฟาดเข้ากับต้นไม้ครับ ประหยัดกระสุนดี



เดี๋ยวมีต่อนะครับ
ชื่อสินค้า:   กัมพูชา
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่