แชร์ประสบการณ์การทำงานครั้งแรก อย่าเพิ่งสิ้นหวังกับการศึกษาไทยนะคะ!!!

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆพันทิป
ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวเองก่อน เราเรียนจบป.ตรีมาปีนึงแล้วค่ะ  
ตอนนี้ทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อยู่ในทีมก่อตั้งโปรแกรมป.ตรีใหม่ชื่อว่า
BA in Global Studies and Social Entrepreneurship (GSSE) (โลกคดีศึกษา และผู้ประกอบการเพื่อสังคม)
ทำมาจะ 8เดือนแล้วคะ และกำลังจะต้องลาออก ร้องไห้ เพื่อไปเรียนต่อด้านEducation Technologies Design ที่อเมริกา ด้วยทุนFulbrightค่ะ
Passionอยู่ในscopeของการศึกษาค่ะ ที่ตั้งกระทู้นี้ก็เพื่อแชร์ประสบการณ์ ความประทับใจคณะที่โดยส่วนตัวคิดว่าเป็นผู้นำ และความหวังใหม่ของการศึกษาระดับอุดมศึกษาในไทยค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติ่ม ตามไปที่เพจนี้ค่ะ
https://www.facebook.com/GSSEThammasat

(ไม่รู้tagห้องถูกหรือเปล่า มือใหม่จริงๆ ช่วยด้วยย อมยิ้ม17)

ตั้งแต่เข้ามหาลัย เราก็มักจะตั้งคำถามกับระบบการศึกษาไทย

ทำไมต้องเลือกสายตั้งแต่จบม.ต้น
ทำไมจะเรียนจบแล้วยังไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากเป็นอะไร
หาpassionตนเองไม่ได้
บางทีเรียนไปก็ท่องๆ สอบเสร็จก็ลืม
ไม่ค่อยรู้เลยว่าจะใช้จริงได้อย่างไร
ห้องเรียนก็ใหญ่จะถามอาจารย์ทีก็ไม่ค่อยกล้ายกมือ เกรงใจเพื่อนๆ ฯลฯ

โชคดีตอนปี3มีโอกาสไปexchangeที่เมกา และทำ project เรื่องการเรียนภาษาอังกฤษของเด็กไทยค่ะ มีโอกาสออกไปเปิดโลกกว้างค่ะ on fieldลงมือทำจริง  เรียนรู้จากคนอื่นๆ เรียนแทบจะตัวต่อตัวกับอาจารย์มหาลัยอันดับต้นๆของโลก ถามและแสดงความคิดเห็นกับอาจารย์ได้ตลอด กลับมาไทยเริ่มรู้และว่าต้องการทำอะไรในชีวิต คิดว่า

อยากปรับปรุงรูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ ให้ผู้เรียนมีความสุข  รู้ว่าต้องการทำอะไรในชีวิต และประกอบอาชีพที่มีความหมายต่อสังคม

คิดว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีมากๆค่ะ ที่ตอนเรียนจบได้รับโอกาสที่แทบจะเรียกได้ว่าดีสุดในชีวิตมาให้ กับการที่มีคณบดีท่านนึงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กำลังตั้งหลักสูตรนานาชาติโปรแกรมใหม่ เกี่ยวกับ Social Entreprise หรือกิจการเพื่อสังคมค่ะ มุ่งผลิต Change Maker นักเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่
ความรู้สึกแรกคือคณะนี่มันช่างขัดกับคำครหาต่างๆที่ว่าวัยรุ่นเห็นแก่ตัว มัวแต่กดมือถือ สังคมเสื่อมโทรม บลาๆๆๆๆ

(ถ้าใครไม่รู้จัก Social Entrepreneurship แนะนำให้ดูวีดีโอของicare ตามlinkค่ะ)
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
GSSE เริ่มจากแนวคิดที่ว่าการศึกษาไทยระดับHigher Education มักจะเน้นผลิตคนเก่งศาสตร์เดี่ยวๆตามคณะ
ในขณะที่บริบทการทำงานจริงมันดูที่ 21st century skill การคิดเป็น มีความเป็นผู้นำ ทำงานเป็น สื่อสารรู้เรื่อง มีความสามารถในการปรับตัว และบูรณาการหลายๆศาสตร์เข้าด้วยกัน ไม่ได้ดูว่าคุณจบอะไรมา อีกทั้งแนวคิดที่ว่าให้การแก้ไขปัญหาสังคมมันเป็นอาชีพได้จริงๆ อย่างยั่งยืน ไม่จำเป็นต้องรูปแบบของNGO สังคมสงเคราะห์เท่านั้น แต่สามารถนำ business modelมาประกอบให้องค์กรมีความยั่งยืน
จะเห็นว่าปัจจุบันนี้มีบริษัทมากมายที่ถูกแบนจากผู้บริโภค (เห็นได้จากกระทู้ต่างๆในพันทิปเลยจ้า) เพราะไม่ได้คิดถึงผลกระทบด้านสังคม เม่าอดีต

1.งานแรกเลยคือ ทำความเข้าใจ เสนอความคิด ให้ feed back หลักสูตร
เรามีโอกาสเรียนรู้ เข้าประชุม ให้ความคิดเห็น กับการออกแบบหลักสูตร กับอาจารย์เก่งๆหลายๆท่าน (คณาจารย์อินเตอร์มาก เล่นมาจาก 4ทวีปทั่วโลกเม่าบัลเล่ต์) ที่มาจากทั้งภาควิชาการ และภาคปฏิบัติ (จาก UN World Bank, World Health Organization) พวกท่านเห็นความสำคัญของการที่ใช้รูปแบบ flipped classroom คือการให้นักเรียนไปอ่านทฤษฎีที่บ้าน การเรียนในห้องจะไม่ได้มีแต่ lecture เม่าเนิร์ด แต่จะเน้นการแสดงความคิดเห็นเชิงวิเคราะห์ ฟังความคิดเห็นคนอื่น พูดคุยกันด้วยเหตุผล ทำกิจกรรม เล่น serious game เพื่อพิสูจน์ว่านักศึกษาเข้าใจบทเรียนมากน้อยขนาดไหน และพร้อม ในการทำงานด้วยการเรียนที่ ตอบโจทย์บริบทการทำงานจริง โดยจะเน้นการลงมือทำ (Hands on)   นักเรียนจะได้คิดค้นวัตกรรม เพื่อมาแก้ไข ปัญหาสังคมจาก Social Innovation Project ที่มีทุกภาคการศึกษาตั้งแต่ ปี1เทอมปลาย (7 ภาคการศึกษา) และทำinternshipจริงๆจังๆ เพื่อหาตนเองตั้งแต่ต้น

อันนี้กำลังร่างแพลนงานไปเสนอค่ะ doodleโง่ๆให้เห็นภาพด้วยค่ะ555


2. ผ่านช่วงทำหลักสูตรมาสักพัก จนเข้าที่โจทย์ของเราต่อไปคือ...
หานักเรียนม.6ที่ชอบลงมือทำ ชอบทำกิจกรรม เด็กที่คิดว่าอยากจะทำอะไรสักอย่าง แก้ไขปัญหาอะไรสักอย่างอย่างจริงจัง เพื่อจะพัฒนาประเทศ (งานนี้หาเด็กแนวจริงๆค่ะ)
หลังจากprocessการrecruit นักศึกษารุ่นแรกการสัมภาษณ์ ต้องขอยอมรับคะว่านักศึกษาที่คณะได้ เป็นกลุ่มที่น่าชื่นชมมทุกคนเลย (เห็นแต่ก็นึกไปถึงตอนตนเองยังเป็นเด็กrandomๆ งงๆ เม่ากิจกรรม)

อันนี้ไปทำworkshop recruit นักคิดจากโรงเรียนต่างๆ

บรรยากาศการสัมภาษณ์ค่ะ มีทั้งเป็นกลุ่มและตัวต่อตัว


Orientationค่ะ นักศึกษาใช้post-itในการถ่ายทอด ideaเต็มไปหมดเลย




3. จบช่วงรับนักศึกษาใหม่ ขั้นตอนต่อไปคือการดูแล และสนับสนุนmindset ของการเป็นนักเปลี่ยนแปลงค่ะ
ตอนนี้จากเด็กจบใหม่ กลายเป็นอาเจ้ มีลูกเพิ่มมา70กว่าคนแล้วค่ะ
ที่น่าตกใจคือนักศึกษากลุ่มนี้ รวมตัวกันมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ตั้งชื่อว่า Change Genesis ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มเรียน ยังไม่แม้แต่เริ่มเรียน Summer!
พวกเขาเริ่มจากแนวคิดที่อยากเป็นตัวแทนวัยรุ่นให้ กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แม้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน โดยใช้สังคม onlineเป็นตัวกลาง
กระทิงเริงร่า
นี่คือกลุ่มน้องๆมาคุยงานที่จะส่งเข้าประกวดเรื่องการสร้างค่านิยมวัยรุ่นไทยให้ใส่ใจอาเซียนคะ มาคุยงานที่ Too fast too sleep เช้ายันค่ำ

พวกนางค่ะ จริงจังค่ะจริงจัง5555555 มีpageด้วยนะ5555

ไปติดตามกันได้ค่ะ
https://www.facebook.com/THECHANGEGENESIS

4. ขั้นตอนต่อไปคือวางแผน และ organize Summer Programค่ะ

Projectนี้เป็น projectแรกเลยที่กินเวลาหลายเดือนแล้วต้องรับผิดชอบหลายๆด้าน advisorคือดีมากค่ะ ให้อิสระในการวางหลักสูตร ค่อยguideตลอด (รวมถึงตามงาน==)
จุดมุ่งหมายคือเตรียมความพร้อมสู่การเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งมันต่างการเรียนม.ปลายมาก ยิ่งเราต้องการสอนแนวใหม่ๆที่นักศึกษาบางคนที่ผ่านระบบไทยมา อาจจะไม่ชิน
ส่วนนึงแน่นอนค่ะ ภาษาอังกฤษค่ะ เพราะพอเข้าไปเรียนจริงๆแล้วมันเป็นหลักสูตรนานาชาติ ทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ  
แต่อีกส่วนที่สำคัญมากๆเลยคือ การมีแนวคิดเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ไอ้เราก็จัดเต็ม
วางแผนทั้ง Inspirational Talks, Debate workshop, Leadership workshop แถมทางโปรแกรมไปชวนProfessor จาก Stanford University (USA) มาสอนทำหนัง Media for Changeอีก

อันนี้กิจกรรมแรกค่ะ ให้เด็กๆมา presentว่าจะสร้างงานให้แก่คนตาบอดได้อย่างไรค่ะ


อันนี้เป็นCreative Writing Workshopค่ะ เขียนภาษาอังกฤษโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์


ส่งจดหมายถึงตัวเองในอีกหนึ่งปีข้างหน้าค่ะ


อันนี้inspirational talkค่ะ เชิญคุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล และ Teach for Thailand มาสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆค่ะ



อันนี้เสื้อนักศึกษาทำเองค่ะ เราแบ่งนักศึกษาออกเป็นหกกลุ่ม แล้วใน seed fundingในการทำธุรกิจอะไรก็ได้ไป 2000ค่ะ หลายกลุ่มทำอะไรสร้างสรรค์มาก เช่น ทำเสื้อ จัดcamp พูดภาษาอังกฤษ ฯลฯ



นี่คิด Debate workshopค่ะให้เด็กมาโต้วาทีภาษาอังกฤษ ฝึกตรรกะ การให้เหตุผล การฟัง และการพูดค่ะ (ในรูปนี่ขนมเต็มเบย)


เดือนนี้ทำงานเป็นเดือนสุดท้ายแล้วค่ะ ยังคิดว่ามันยังมีอะไรที่ต้องทำอีกมากมาย ชักจะไม่อยากไปเรียนต่อและ5555
(กำลังหาคนมาทำแทนอยู่นะ หลังไมค์ได้555)

เล่ามานานมากๆเลย คือเรามาทำงานที่นี่มันชื่นฉ่ำหัวใจอย่างบอกไม่ถูก
เห็นช่วงนี้นักศึกษาจบใหม่รับปริญญากัน เลยอยากจะแนะนำเรื่องการทำงานว่า
นอกจากจะทำในสิ่งที่ตนเองรักแล้ว ยังอยากให้คำนึงถึงคุณค่าอีกด้วย ที่สำคัญคือการเอาตนเองไปอยู่ในกลุ่มคนที่ทำให้เราเกิดการเรียนรู้อะไรใหม่ๆทุกวันค่ะ  เราทำงานนี้ไม่ได้แค่เรียนรู้จากอาจารย์เก่งๆ เพื่อนร่วมการที่ดี แต่นักศึกษาทั้ง 70ชีวิตนี่แหละที่สอนอะไรเราใหม่ๆทุกๆวัน อย่างงี้และถึงมีแรงออกไปทำงาน ^^ เม่าเริงร่า

ขอบคุณมากๆเลยที่อ่านจบมาถึงจุดนี้ได้ ขอคารวะท่านผู้อ่านสามจอกค่ะ เม่าโศก
ใครมีแนวคิดอะไรเรื่องการศึกษาไทย มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะคะ เราอินมาก
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่