สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
เริ่มตั้งแต่วิธีการเลี้ยงดูในครอบครัวค่ะ
จำได้ตอนลูกอายุสองขวบ พาลูกไปเล่นที่เพลย์กราวด์ ตัวเราจะคอยดูลูกจะไม่ให้ปีนไปที่เสี่ยง ๆ คอยบอกลูกตลอดว่า "อย่าปีนตรงนั้นมันสูงไป ระวัง ระวัง" คือห่วงลูกเกิน แต่มีครอบครัวฝรั่งอีกครอบครัวพาลูกมาเล่นเหมือนกัน แต่พวกเค้าบอกลูกว่า "ปีนเลย ลองดู ลูกทำได้" คือนี่แค่เรื่องเด็กเล็ก ๆ นะ ในสไตล์ฝรั่งเค้าจะสนับสนุนให้ลูกกล้า กล้าเสี่ยง แต่ของเรา(ตอนนั้น)กลายเป็นกระตุ้นให้ลูกเกิดความกลัวแทนที่จะเกิดความกล้า แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ตอนนี้จะเลี้ยงแบบพยายามกระตุ้นลูกให้กล้ามากขึ้น ให้กำลังใจเค้าว่าเค้าทำได้ ไม่ต้องกลัวแต่แค่ระวังบ้าง
ส่วนระดับโรงเรียน ทางคุณครูเค้าจะกระตุ้นให้เด็ก ๆ กล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าแสดงความเห็นกันตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เด็กคนไหนที่ออกเงียบ ๆ เค้าจะถือว่าเหมือนเด็กมีปัญหา จะต้องไปพบที่ปรึกษาแล้ว เค้าจะหาทางช่วยให้เด็กกล้าแสดงความเห็นแล้ว แต่ในขณะที่ทางฝั่งตะวันออกเราจะมองว่าเด็กเงียบ ๆ ขี้อายนั้นเป็นเด็กเรียบร้อยและเป็นเด็กดี ยิ่งเด็กคนไหนที่ไม่ชอบโต้ตอบกลับก็ยิ่งถูกใจครู(หรือผู้ใหญ่)ถือว่าปกครองง่าย แต่ฝรั่งเค้าไม่ใช่ ยิ่งเงียบยิ่งกลายเป็นน่าเป็นห่วง น่ากังวล เค้าจะคอยกระตุ้นให้เด็กโต้ตอบ แสดงความคิดเห็นร่วมกับคุณครู
จำได้ตอนลูกอายุสองขวบ พาลูกไปเล่นที่เพลย์กราวด์ ตัวเราจะคอยดูลูกจะไม่ให้ปีนไปที่เสี่ยง ๆ คอยบอกลูกตลอดว่า "อย่าปีนตรงนั้นมันสูงไป ระวัง ระวัง" คือห่วงลูกเกิน แต่มีครอบครัวฝรั่งอีกครอบครัวพาลูกมาเล่นเหมือนกัน แต่พวกเค้าบอกลูกว่า "ปีนเลย ลองดู ลูกทำได้" คือนี่แค่เรื่องเด็กเล็ก ๆ นะ ในสไตล์ฝรั่งเค้าจะสนับสนุนให้ลูกกล้า กล้าเสี่ยง แต่ของเรา(ตอนนั้น)กลายเป็นกระตุ้นให้ลูกเกิดความกลัวแทนที่จะเกิดความกล้า แต่ตอนนี้ไม่แล้ว ตอนนี้จะเลี้ยงแบบพยายามกระตุ้นลูกให้กล้ามากขึ้น ให้กำลังใจเค้าว่าเค้าทำได้ ไม่ต้องกลัวแต่แค่ระวังบ้าง
ส่วนระดับโรงเรียน ทางคุณครูเค้าจะกระตุ้นให้เด็ก ๆ กล้าคิด กล้าแสดงออก กล้าแสดงความเห็นกันตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เด็กคนไหนที่ออกเงียบ ๆ เค้าจะถือว่าเหมือนเด็กมีปัญหา จะต้องไปพบที่ปรึกษาแล้ว เค้าจะหาทางช่วยให้เด็กกล้าแสดงความเห็นแล้ว แต่ในขณะที่ทางฝั่งตะวันออกเราจะมองว่าเด็กเงียบ ๆ ขี้อายนั้นเป็นเด็กเรียบร้อยและเป็นเด็กดี ยิ่งเด็กคนไหนที่ไม่ชอบโต้ตอบกลับก็ยิ่งถูกใจครู(หรือผู้ใหญ่)ถือว่าปกครองง่าย แต่ฝรั่งเค้าไม่ใช่ ยิ่งเงียบยิ่งกลายเป็นน่าเป็นห่วง น่ากังวล เค้าจะคอยกระตุ้นให้เด็กโต้ตอบ แสดงความคิดเห็นร่วมกับคุณครู
ความคิดเห็นที่ 14
วัฒนธรรมการศึกษาของฝรั่งเขาสอนเด็กยังไงกันบ้างหรอครับ โตมาถึงมีความมั่นใจ กล้าตัดสินใจ เชื่อมันตัวเองสูง
http://pantip.com/topic/31934130/comment19
ความคิดเห็นที่ 11
คนไทยเมื่อเด็กๆ ไม่ได้รับการฝึกฝนสั่งสอนให้รู้จักออกความคิดเห็น เพราะโดนบังคับให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์นี่ ใครออกความคิดเห็นแตกต่างไม่ได้เป็นอันขาดนะ หาว่าเถียง จะโดนดุด่าลงโทษ โตขึ้นมาก็เลยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แถมไม่พอ ไม่รู้จักให้เกียรติให้ความเคารพนับถือผู้อื่น ไม่ยอมรับความเห็นแตกต่างของผู้อื่น ชอบเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ ยิ่งถ้าอายุมากกว่ายิ่งถือว่ามีอาวุโสกมากว่า ใครมีความเห็นแตกต่างจะมีคนไง่ให้ไปอยู่ประเทศอื่นทันที หมุนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป


ป้าเลี้ยงลูกอย่างระมัดระวังที่สุดตั้งแต่ก่อนคลอดด้วยซ้ำ
เริ่มด้วยตัวเองค่ะ ระมัดระวังทั้งความประพฤติ กิริยามารยาท ทั้งคำพูดกับลูก และกับทุกๆคนรอบข้าง ไม่พูดจาส่อเสียดกระแนะกระแหน ไม่วิพากย์วิจารณ์ใครในแง่ร้าย
ถ้าเห็นใครทำอะไรก็เอามาเป็นหัวข้อสนทนากับลูก ถามว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ จะมีผลแก่ตัวและผู้อื่นอย่างไร อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองไหม แล้วให้ลูกตัดสินใจเอาเองว่าจะเลือกทำเลือกประพฤติอย่างไร
เวลาลูกถามอะไร ต้องการอะไร ป้าก็จะถกกับลูกแบบเดียวกัน แล้วให้เขาตัดสินใจเอาเองเช่นกัน


ป้าไม่เคยดุด่าลูกเลย ถ้าเขาทำอะไรที่ป้าไม่ชอบป้าจะบอกว่าป้าไม่ชอบการกระทำแบบนั้น ทำไมป้าถึงอยากให้ทำแบบนี้ พูดด้วยเหตุผลทุกแง่ทุกประการ
ป้าจะระมัดระวังไม่ดิเดียนตัวลูก จะไม่พูดว่าแม่ไม่ชอบหนูไม่รักหนู มีอยู่หนหนึ่งที่หลุดปากไปว่า I hate you. แต่ป้าขอโทษลูกทันที แล้วบอกลูกว่าแม่ไม่ได้เกลียดลูกหรอกนะ เกลียดการกระทำอย่างนั้นต่างหาก
เวลาป้าทำอะไรที่ไม่น่าภาคภูมืใจกับลูก หรือพูดอะไรไม่สมควรกับลูกป้าจะขอโทษลูกทันที แล้วจะไม่ทำอย่างนั้นอีก


ที่โรงเรียนเขาก็ระมัดระวังกับเด็กมากค่ะ ส่งเสริมให้ยกมือออกความคิดเห็น ลูกต้องลุกขึ้นเสนอรายงานหน้าชั้นเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลเลยนะคะ ที่โรงเรียนนั้นเขาปลูกฝังเด็กๆ ดีมาก
ยกตัวอย่างเช่นเวลาถึงวันเกิดใคร คุณครูจะให้เด็กคนอื่นทุกคนวาดรูป แล้วเขียนถึงความดีของเด็กคนนั้น เสร็จแล้วคุณครูจะเย็บรูปรวมเล่ม ให้ทุกคนนั่งล้อมเด็กเจ้าของวันเกิด แล้วทุกคนจะร้องเพลงอวยพรวันเกิดและให้สมุดภาพนั้นเป็นของขวัญ และให้เจ้าตัวอ่านสิ่งดีๆที่เพื่อนเขียนเกี่ยวกับตัวเอง
ป้าว่าเป็นวิธีเสริมสร้างมิตรภาพและความมั่นใจของเด็กได้ดีมากเลยค่ะ
เขาจะฝึกเด็กแบบนั้นตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน ไปจนถึงเข้ามหาวิทยาลัย


นี่คือการฝึกเด็กของคนอเมริกันค่ะ คนอเมริกันถึงได้มีความมั่นใจในตัวเองสูง
ลูกชายของป้าก็เป็นแบบนั้นค่ะ มีความมั่นใจ มีความคิดเป็นของคัวเองดี แต่ความที่ป้าคอยสอนไม่ให้หยิ่งทรนง ไม่ยกตัวข่มผู้อื่น สอนให้ยอมรับความสามารถของผู้อื่น เพราะทุกคนต่างมีความสามารถเฉพาะตน เขาจึงเปิดหูเปิดตาเปิดใจรับฟังความเห็นของผู้อื่น ไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร เป็นคนที่น่ารักมากค่ะ
http://pantip.com/topic/31934130/comment19
ความคิดเห็นที่ 11
คนไทยเมื่อเด็กๆ ไม่ได้รับการฝึกฝนสั่งสอนให้รู้จักออกความคิดเห็น เพราะโดนบังคับให้เชื่อฟังผู้ใหญ่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์นี่ ใครออกความคิดเห็นแตกต่างไม่ได้เป็นอันขาดนะ หาว่าเถียง จะโดนดุด่าลงโทษ โตขึ้นมาก็เลยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แถมไม่พอ ไม่รู้จักให้เกียรติให้ความเคารพนับถือผู้อื่น ไม่ยอมรับความเห็นแตกต่างของผู้อื่น ชอบเอาความเห็นของตนเป็นใหญ่ ยิ่งถ้าอายุมากกว่ายิ่งถือว่ามีอาวุโสกมากว่า ใครมีความเห็นแตกต่างจะมีคนไง่ให้ไปอยู่ประเทศอื่นทันที หมุนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป


ป้าเลี้ยงลูกอย่างระมัดระวังที่สุดตั้งแต่ก่อนคลอดด้วยซ้ำ
เริ่มด้วยตัวเองค่ะ ระมัดระวังทั้งความประพฤติ กิริยามารยาท ทั้งคำพูดกับลูก และกับทุกๆคนรอบข้าง ไม่พูดจาส่อเสียดกระแนะกระแหน ไม่วิพากย์วิจารณ์ใครในแง่ร้าย
ถ้าเห็นใครทำอะไรก็เอามาเป็นหัวข้อสนทนากับลูก ถามว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ จะมีผลแก่ตัวและผู้อื่นอย่างไร อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองไหม แล้วให้ลูกตัดสินใจเอาเองว่าจะเลือกทำเลือกประพฤติอย่างไร
เวลาลูกถามอะไร ต้องการอะไร ป้าก็จะถกกับลูกแบบเดียวกัน แล้วให้เขาตัดสินใจเอาเองเช่นกัน


ป้าไม่เคยดุด่าลูกเลย ถ้าเขาทำอะไรที่ป้าไม่ชอบป้าจะบอกว่าป้าไม่ชอบการกระทำแบบนั้น ทำไมป้าถึงอยากให้ทำแบบนี้ พูดด้วยเหตุผลทุกแง่ทุกประการ
ป้าจะระมัดระวังไม่ดิเดียนตัวลูก จะไม่พูดว่าแม่ไม่ชอบหนูไม่รักหนู มีอยู่หนหนึ่งที่หลุดปากไปว่า I hate you. แต่ป้าขอโทษลูกทันที แล้วบอกลูกว่าแม่ไม่ได้เกลียดลูกหรอกนะ เกลียดการกระทำอย่างนั้นต่างหาก
เวลาป้าทำอะไรที่ไม่น่าภาคภูมืใจกับลูก หรือพูดอะไรไม่สมควรกับลูกป้าจะขอโทษลูกทันที แล้วจะไม่ทำอย่างนั้นอีก


ที่โรงเรียนเขาก็ระมัดระวังกับเด็กมากค่ะ ส่งเสริมให้ยกมือออกความคิดเห็น ลูกต้องลุกขึ้นเสนอรายงานหน้าชั้นเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลเลยนะคะ ที่โรงเรียนนั้นเขาปลูกฝังเด็กๆ ดีมาก
ยกตัวอย่างเช่นเวลาถึงวันเกิดใคร คุณครูจะให้เด็กคนอื่นทุกคนวาดรูป แล้วเขียนถึงความดีของเด็กคนนั้น เสร็จแล้วคุณครูจะเย็บรูปรวมเล่ม ให้ทุกคนนั่งล้อมเด็กเจ้าของวันเกิด แล้วทุกคนจะร้องเพลงอวยพรวันเกิดและให้สมุดภาพนั้นเป็นของขวัญ และให้เจ้าตัวอ่านสิ่งดีๆที่เพื่อนเขียนเกี่ยวกับตัวเอง
ป้าว่าเป็นวิธีเสริมสร้างมิตรภาพและความมั่นใจของเด็กได้ดีมากเลยค่ะ
เขาจะฝึกเด็กแบบนั้นตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน ไปจนถึงเข้ามหาวิทยาลัย


นี่คือการฝึกเด็กของคนอเมริกันค่ะ คนอเมริกันถึงได้มีความมั่นใจในตัวเองสูง
ลูกชายของป้าก็เป็นแบบนั้นค่ะ มีความมั่นใจ มีความคิดเป็นของคัวเองดี แต่ความที่ป้าคอยสอนไม่ให้หยิ่งทรนง ไม่ยกตัวข่มผู้อื่น สอนให้ยอมรับความสามารถของผู้อื่น เพราะทุกคนต่างมีความสามารถเฉพาะตน เขาจึงเปิดหูเปิดตาเปิดใจรับฟังความเห็นของผู้อื่น ไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร เป็นคนที่น่ารักมากค่ะ
ความคิดเห็นที่ 20
สังคมไทยมีความพยายามทำลาย อัตลักษณ์ของบุคคลให้เหลือน้อยที่สุด
วิธีการเหล่านี้เพื่อสร้างความแตกต่างให้น้อยที่สุด และง่ายในการปกครอง
หลักฐานอันหลงเหลืออยู่ของวิธีการทำลายอัตลักษณ์ได้แก่
1. ทรงผม การตัดผมทรงเดียวกันจะทำลายอัตลักษณ์ของบุคคลลงได้
2. เครื่องแบบ เครื่องแบบที่เหมือนกัน
ตัวอย่างเหล่านี้วิธีการทำลายอัตลักษณ์ที่ใช้ในทาง ทหารซึ่งนำมาใช้ในโรงเรียนสมัย 50 ปีก่อนที่ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีเพื่อสร้างชาตินิยมและความเป็นหนึ่งเดียวไม่แตกแยก
ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ได้จางหลายไปตามกาลเวลา ในหลายประเทศเช่นญี่ปุ่น ทรงผมยกเลิกไป เครื่องแบบกลายเป็นแฟชั่นไปซะแล้วในแต่ละโรงเรียนมากกว่าจะมีเพื่อจุดมุ่งหมายเดิม จะเว้นก็แต่สังคมไทย
วิธีการเหล่านี้เพื่อสร้างความแตกต่างให้น้อยที่สุด และง่ายในการปกครอง
หลักฐานอันหลงเหลืออยู่ของวิธีการทำลายอัตลักษณ์ได้แก่
1. ทรงผม การตัดผมทรงเดียวกันจะทำลายอัตลักษณ์ของบุคคลลงได้
2. เครื่องแบบ เครื่องแบบที่เหมือนกัน
ตัวอย่างเหล่านี้วิธีการทำลายอัตลักษณ์ที่ใช้ในทาง ทหารซึ่งนำมาใช้ในโรงเรียนสมัย 50 ปีก่อนที่ประเทศญี่ปุ่น เกาหลีเพื่อสร้างชาตินิยมและความเป็นหนึ่งเดียวไม่แตกแยก
ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ได้จางหลายไปตามกาลเวลา ในหลายประเทศเช่นญี่ปุ่น ทรงผมยกเลิกไป เครื่องแบบกลายเป็นแฟชั่นไปซะแล้วในแต่ละโรงเรียนมากกว่าจะมีเพื่อจุดมุ่งหมายเดิม จะเว้นก็แต่สังคมไทย
ความคิดเห็นที่ 18
เราเคยสอนศิลปะเด็ก ระดับอนุบาล-ประถม
แล้วได้เข้าไปสอนในชั่วโมงกิจกรรมทั้งโรงเรียนเด็กไทยและโรงเรียนนานาชาติ
บอกได้เลยว่ามีความแตกต่างทางความคิดของเด็กๆอย่างสิ้นเชิง
เรื่องความเป็นตัวของตัวเอง
เด็กไทย : 90% ของเด็กไทยจะรอผู้สอน จะไม่ค่อยตั้งคำถาม ถนัดที่จะทำตาม
และซีเรียสมากกลัวกับการที่จะทำอะไรผิดหรือแตกต่างไปจากที่สอน
จะไม่ค่อยแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ถ้าผิดคือคิดว่าผิดเลยไม่หาหนทางแก้ไขแบบสร้างสรรค์
เช่นว่า ถ้าวาดรูปผิดไปจากที่ผู้สอนวาด เด็กจะร้องหาขอกระดาษแผ่นใหม่ทันที
และอีกค่านิยมคือ ชอบล้อเลียนความแตกต่างของคนอื่น
เช่นถ้ามีเพื่อนสักคน(อาจเป็นเด็กกลุ่ม10%ที่เหลือที่มีความคิดแตกต่าง)วาดรูปต่างไปจากผู้สอน
หรือทำอะไรแตกต่าง จะถูกเด็กส่วนใหญ่(เปรียบได้กับสังคมขนาดย่อมๆในห้องเรียน)มองด้วยความรู้สึกเป็นลบ
ล้อเลียนว่าวาดรูปไม่สวย ถากถาง และชอบที่จะซ้ำเติมกันมากๆ
แต่ถ้ามีเด็กคนไหนมีผลงานโด่ดเด่นมากๆ เด็กส่วนใหญ่จะพยายามที่จะทำตาม(อันนี้ถือว่าดี)
จะมีการกระตุ้นกันโดยร่วมแบบอุปทานหมู่ขึ้นมา จะทำให้วันนี้เด็กๆตั้งใจเรียนเพื่อสร้างผลงาน
ค่านิยมหนึ่งคือ ยิ่งวาดเหมือนคือ...ยิ่งสวย
แต่ในความเป็นจริงของการประเมิณผลเรา เราต้องการความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการลอกเลียน
ก็เป็นหน้าที่ ที่ต้องกระตุ้นให้เด็กๆพยายามคิดต่าง ทำให้เห็นว่า วาดไม่เหมือนไม่เป็นไร
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าเป็นเด็กโรงเรียนนานาชาติ : ความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก และไม่สนใจว่าผลงานจะเหมือนต้นฉบับหรือไม่
แข่งขันที่จะสร้างความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์แบบขั้นสุด ยิ่งต่างยิ่งเป็นที่ชื่นชม
เพื่อนๆกล้าที่จะพูดถึงผลงานของกันและกันอย่างตรงไปตรงมา
อันไหนดีก็ชมว่าดี อันไหนยังไม่ลงตัวต้องแก้ไขก็มีการเปิดใจรับฟัง
แล้วเมื่อถึงคลาสต่อไป เด็กเกิดการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด นำสิ่งที่ถูกคอมเม้นมาแก้ไข้ปรับปรุง
กับการอยู่กับเด็กนานาชาติ จะพบว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง เด็กจะเริ่มมีแนวทางเป็นของตัวเอง
ผลงานเป็นเอกลักษณ์ เรียกว่าเห็นงานปั๊บก็รู้เลยว่าเป็นผลงานของใคร
คือพวกเค้า เข้าใจคำว่าพัฒนาปรับปรุงแก้ไขดีพอสมควร
การถูกคอมเม้น คือการติเพื่อก่อจริงๆ จะต่างจากเด็กไทยส่วนใหญ่มาก
เด็กไทยที่เจอคือ ติปั๊บ น้อยใจงอนหมดแรงทำงานทันที
แล้วได้เข้าไปสอนในชั่วโมงกิจกรรมทั้งโรงเรียนเด็กไทยและโรงเรียนนานาชาติ
บอกได้เลยว่ามีความแตกต่างทางความคิดของเด็กๆอย่างสิ้นเชิง
เรื่องความเป็นตัวของตัวเอง
เด็กไทย : 90% ของเด็กไทยจะรอผู้สอน จะไม่ค่อยตั้งคำถาม ถนัดที่จะทำตาม
และซีเรียสมากกลัวกับการที่จะทำอะไรผิดหรือแตกต่างไปจากที่สอน
จะไม่ค่อยแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง ถ้าผิดคือคิดว่าผิดเลยไม่หาหนทางแก้ไขแบบสร้างสรรค์
เช่นว่า ถ้าวาดรูปผิดไปจากที่ผู้สอนวาด เด็กจะร้องหาขอกระดาษแผ่นใหม่ทันที
และอีกค่านิยมคือ ชอบล้อเลียนความแตกต่างของคนอื่น
เช่นถ้ามีเพื่อนสักคน(อาจเป็นเด็กกลุ่ม10%ที่เหลือที่มีความคิดแตกต่าง)วาดรูปต่างไปจากผู้สอน
หรือทำอะไรแตกต่าง จะถูกเด็กส่วนใหญ่(เปรียบได้กับสังคมขนาดย่อมๆในห้องเรียน)มองด้วยความรู้สึกเป็นลบ
ล้อเลียนว่าวาดรูปไม่สวย ถากถาง และชอบที่จะซ้ำเติมกันมากๆ
แต่ถ้ามีเด็กคนไหนมีผลงานโด่ดเด่นมากๆ เด็กส่วนใหญ่จะพยายามที่จะทำตาม(อันนี้ถือว่าดี)
จะมีการกระตุ้นกันโดยร่วมแบบอุปทานหมู่ขึ้นมา จะทำให้วันนี้เด็กๆตั้งใจเรียนเพื่อสร้างผลงาน
ค่านิยมหนึ่งคือ ยิ่งวาดเหมือนคือ...ยิ่งสวย
แต่ในความเป็นจริงของการประเมิณผลเรา เราต้องการความคิดสร้างสรรค์มากกว่าการลอกเลียน
ก็เป็นหน้าที่ ที่ต้องกระตุ้นให้เด็กๆพยายามคิดต่าง ทำให้เห็นว่า วาดไม่เหมือนไม่เป็นไร
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าเป็นเด็กโรงเรียนนานาชาติ : ความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก และไม่สนใจว่าผลงานจะเหมือนต้นฉบับหรือไม่
แข่งขันที่จะสร้างความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์แบบขั้นสุด ยิ่งต่างยิ่งเป็นที่ชื่นชม
เพื่อนๆกล้าที่จะพูดถึงผลงานของกันและกันอย่างตรงไปตรงมา
อันไหนดีก็ชมว่าดี อันไหนยังไม่ลงตัวต้องแก้ไขก็มีการเปิดใจรับฟัง
แล้วเมื่อถึงคลาสต่อไป เด็กเกิดการพัฒนาอย่างเห็นได้ชัด นำสิ่งที่ถูกคอมเม้นมาแก้ไข้ปรับปรุง
กับการอยู่กับเด็กนานาชาติ จะพบว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง เด็กจะเริ่มมีแนวทางเป็นของตัวเอง
ผลงานเป็นเอกลักษณ์ เรียกว่าเห็นงานปั๊บก็รู้เลยว่าเป็นผลงานของใคร
คือพวกเค้า เข้าใจคำว่าพัฒนาปรับปรุงแก้ไขดีพอสมควร
การถูกคอมเม้น คือการติเพื่อก่อจริงๆ จะต่างจากเด็กไทยส่วนใหญ่มาก
เด็กไทยที่เจอคือ ติปั๊บ น้อยใจงอนหมดแรงทำงานทันที
แสดงความคิดเห็น
ทำไมฝรั่งถึงมีความเป็นตัวของตัวเองสูงครับ
วัฒนธรรม การเลี้ยงดูของพ่อแม่ หรือยังไง