ความรู้เรื่องความเป็นอนัตตาของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้นมี ๓ ระดับ คือ
๑. ฟังจากคนอื่น (เช่น ครูอาจารย์) มา หรืออ่านจากตำรามา แล้วจำได้ว่าเขาว่าไว้อย่างนี้ ซึ่งก็เป็นแค่ความจำเท่านั้น และก็ยังไม่รู้ว่าผิดหรือถูก อาศัยเชื่อเอาไว้ก่อน คือเมื่ออ่านมาหรือฟังมาเขาบอกว่า ร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนอมตะ ก็แค่เพียงจำได้เท่านั้น แต่ยังไม่เข้าใจ
๒. นำเอาสิ่งที่จำไว้นั้นมาคิดพิจารณาหาเหตุผล ถ้าความรู้ที่จำไว้นั้นถูกต้องก็จะเกิดเป็นความเข้าใจอย่างแจ่มชัดจนไม่มีช่องโหว่ให้ใครมาคัดค้านด้วยเหตุผลได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างเช่น ความรู้ว่าร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตาก็หมายถึงว่า ร่างกายและจิตใจของเรานี้มันเป็แค่เพียงสิ่งปรุงแต่งหรือตัวตนชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่อย่างเป็นอมตะเลย (ซึ่งลักษณะของอนัตตานี้ก็คือไม่เที่ยง มีลักษณะที่ตอ้งทนอยู่เสมอ) ดังนั้นจิตใจของเรานี้จึงไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาเป็นตัวเราใหม่ได้อีก เป็นต้น แต่ถ้าบังเอิญความรู้ที่จำเอาไว้นั้นผิด ก็จะไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาอธิบายได้ จะเป็นแค่เพียงความเชื่อเท่านั้น จึงยังไม่จัดว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือาจเรียกว่าเป็นความเข้าใจผิดก็ได้ อย่างเช่นที่ชอบอ้างว่าการที่คนเราเกิดมาสุขสบายก็เพราะเหตุว่าเคยได้ทำบุญเอาไว้เมื่อชาติก่อน หรือการที่คนเราเกิดมาแล้วยากจนก็เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำบุญเอาไว้เมื่อชาติก่อน เป็นต้น ซึ่งนี่ไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นความเชื่อ ซึ่งความเชื่อนั้นจะเอามาเป็นเหตุผลไม่ได้
๓. เมื่อนำเอาความเข้าใจนั้นมาพิสูจน์หรือทดลองปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ก็จะเกิดเป็นความเห็นแจ้งหรือรู้จริงขึ้นมา คือเมื่อนำเอาความเข้าใจเรื่องร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนอมตะ) มาเพ่งดูจากความจริงจากร่างกายและจิตใจของเราเองในปัจจุบัน ที่เราสามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน อย่างตั้งใจและต่อเนื่อง ก็จะพบความจริงว่าร่างกายและจิตใจ (คือทั้งร่างกาย การรับรู้ ความจำ ความรู้สึก และการปรุงแต่งคิดนึกของจิตใจ) ของเรานี้มันไม่เที่ยง คือเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คือเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา และยังมีความรู้สึกทนได้ยากอยู่ด้วย (ลักษณะที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์นี้คือลักษณะของอนัตตา) ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า ร่างกายและจิตใจนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นอัตตาหรือตัวเราได้จริงเลย จะมีก็เพียงตัวเราชั่วคราวตราบเท่าที่ยังมีร่างกายและความทรงจำนี้อยู่ในเนื้อสมองเท่านั้น ซึ่งเมื่อเกิดความเห็นแจ้งดังนี้แล้ว จิตก็จะปลอ่ยวางความยึดถือว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเราลงทันที (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีความยึดถือ มันก็ไม่มีทุกข์ เมื่อไม่มีทุกข์มันก็นิพพาน (สงบเย็น) เมื่อนิพพานปรากฏ ก็จะเห็นธรรม
สรุปได้ว่า ถ้ารู้มาถูก ก็จะเข้าใจถูกและปฏิบัติถูก แล้วนิพพานก็จะปรากฏ และเห็นธรรม (เห็นอริยสัจ ๔) แต่ถ้ารู้มาผิดก็จะเข้าใจผิดและปฏิบัติผิด แล้วนิพพานก็ไม่ปรากฏ และก็จะไม่เห็นธรรม
ความรู้เรื่องอนัตตามี ๓ ระดับ คือ รู้ เข้าใจ เห็นแจ้ง
๑. ฟังจากคนอื่น (เช่น ครูอาจารย์) มา หรืออ่านจากตำรามา แล้วจำได้ว่าเขาว่าไว้อย่างนี้ ซึ่งก็เป็นแค่ความจำเท่านั้น และก็ยังไม่รู้ว่าผิดหรือถูก อาศัยเชื่อเอาไว้ก่อน คือเมื่ออ่านมาหรือฟังมาเขาบอกว่า ร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตนอมตะ ก็แค่เพียงจำได้เท่านั้น แต่ยังไม่เข้าใจ
๒. นำเอาสิ่งที่จำไว้นั้นมาคิดพิจารณาหาเหตุผล ถ้าความรู้ที่จำไว้นั้นถูกต้องก็จะเกิดเป็นความเข้าใจอย่างแจ่มชัดจนไม่มีช่องโหว่ให้ใครมาคัดค้านด้วยเหตุผลได้ อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างเช่น ความรู้ว่าร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตาก็หมายถึงว่า ร่างกายและจิตใจของเรานี้มันเป็แค่เพียงสิ่งปรุงแต่งหรือตัวตนชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่อย่างเป็นอมตะเลย (ซึ่งลักษณะของอนัตตานี้ก็คือไม่เที่ยง มีลักษณะที่ตอ้งทนอยู่เสมอ) ดังนั้นจิตใจของเรานี้จึงไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นมาเป็นตัวเราใหม่ได้อีก เป็นต้น แต่ถ้าบังเอิญความรู้ที่จำเอาไว้นั้นผิด ก็จะไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาอธิบายได้ จะเป็นแค่เพียงความเชื่อเท่านั้น จึงยังไม่จัดว่าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง หรือาจเรียกว่าเป็นความเข้าใจผิดก็ได้ อย่างเช่นที่ชอบอ้างว่าการที่คนเราเกิดมาสุขสบายก็เพราะเหตุว่าเคยได้ทำบุญเอาไว้เมื่อชาติก่อน หรือการที่คนเราเกิดมาแล้วยากจนก็เพราะเหตุว่าไม่ได้ทำบุญเอาไว้เมื่อชาติก่อน เป็นต้น ซึ่งนี่ไม่ใช่เหตุผล แต่เป็นความเชื่อ ซึ่งความเชื่อนั้นจะเอามาเป็นเหตุผลไม่ได้
๓. เมื่อนำเอาความเข้าใจนั้นมาพิสูจน์หรือทดลองปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ก็จะเกิดเป็นความเห็นแจ้งหรือรู้จริงขึ้นมา คือเมื่อนำเอาความเข้าใจเรื่องร่างกายและจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตนอมตะ) มาเพ่งดูจากความจริงจากร่างกายและจิตใจของเราเองในปัจจุบัน ที่เราสามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน อย่างตั้งใจและต่อเนื่อง ก็จะพบความจริงว่าร่างกายและจิตใจ (คือทั้งร่างกาย การรับรู้ ความจำ ความรู้สึก และการปรุงแต่งคิดนึกของจิตใจ) ของเรานี้มันไม่เที่ยง คือเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คือเกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา และยังมีความรู้สึกทนได้ยากอยู่ด้วย (ลักษณะที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์นี้คือลักษณะของอนัตตา) ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า ร่างกายและจิตใจนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นอัตตาหรือตัวเราได้จริงเลย จะมีก็เพียงตัวเราชั่วคราวตราบเท่าที่ยังมีร่างกายและความทรงจำนี้อยู่ในเนื้อสมองเท่านั้น ซึ่งเมื่อเกิดความเห็นแจ้งดังนี้แล้ว จิตก็จะปลอ่ยวางความยึดถือว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเราลงทันที (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีความยึดถือ มันก็ไม่มีทุกข์ เมื่อไม่มีทุกข์มันก็นิพพาน (สงบเย็น) เมื่อนิพพานปรากฏ ก็จะเห็นธรรม
สรุปได้ว่า ถ้ารู้มาถูก ก็จะเข้าใจถูกและปฏิบัติถูก แล้วนิพพานก็จะปรากฏ และเห็นธรรม (เห็นอริยสัจ ๔) แต่ถ้ารู้มาผิดก็จะเข้าใจผิดและปฏิบัติผิด แล้วนิพพานก็ไม่ปรากฏ และก็จะไม่เห็นธรรม