ถึงรีวิวครั้งนี้จะยาวม๊ากมากกก แต่ขอบอกว่าเราคัดสรรมาแบบจัดเต็มทุกความสนุกตลอดการเดินทางบนรถไฟเลยค่ะ
ว่ากันว่าการเดินทางมักนำพาเราให้ไปพบกับสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี ผู้คน สายลมหรือแสงแดด
และด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา จึงทำให้เราตัดสินใจเก็บของทั้งหมดใส่เป้...และร่วมออกเดินทางแบบชาวหนีกรุง

การเดินทางของเราในครั้งนี้ไปกันแบบเป็นหมู่คณะในบรรยากาศแสนอบอุ่น ด้วยรถไฟขบวนใหญ่เที่ยวพิเศษ...ขอบอกว่าเค้าพิเศษจริงๆ นะ
งานนี้เราไปกับเพื่อนอีกหนึ่งคน และมาถึงจุดรวมพลที่สถานีรถไฟก่อนเวลานัดนานทีเดียว
แต่เวลากับการรอคอยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราสองคน ด้วยสัญชาตญาณของเด็กเรียนสายท่องเที่ยวผู้รักในการเดินทางเป็นทุน
ไหนๆ มีเวลาก็ขอเดินสำรวจบรรยากาศหัวลำโพงยามเช้าเสียหน่อยเป็นไร

ถึงแม้ยังเช้าอยู่แต่หัวลำโพงไม่เคยหลับไหล ผู้คนมากหน้าหลายตาหลากเชื้อชาติเดินขวักไขว่กันไปมาอย่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร บ้างมาเป็นกลุ่ม บ้างมาเป็นคู่กับคนรู้ใจ แต่เมื่อเดินต่อไปยังชานชลาอีกหน่อยเรากลับเจอคุณตาท่านนี้นั่งโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังพร้อมด้วยกระเป๋าเก่าๆ หนึ่งใบ และเพราะภาพๆ นี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่า บางทีการเดินทางคนเดียวอาจทำให้เราได้เรียนรู้และอยู่กับตัวเองมากขึ้น แต่บางครั้งการเดินทางของคนหนึ่งคนก็น่าจะดีกว่าถ้ามีเพื่อนร่วมทางเดินไปด้วยกัน

การเดินทางในครั้งนี้ของเรามีระยะเวลาอยู่ที่ 2 วัน 1 คืน โดยเริ่มต้นออกเดินทางที่สถานีรถไฟหัวลำโพงในเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่แดนดินถิ่นอีสานเมืองโคราช เมืองที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาและธรรมชาติแสนโรแมนติก

เมื่อขบวนรถไฟค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านแต่ละสถานีไปเรื่อยๆ ด้วยการเคลื่อนตัวเท่าสปีดครึ่งเต่าครึ่งกระต่าย คือช้าบ้างเร็วบ้างสลับกันตามจังหวะ จากภาพทิวทัศน์ตึกสูงท่ามกลางบรรยากาศชีวิตในเมืองใหญ่ก็ค่อยๆ จางหายเปลี่ยนผ่านเข้าสู่บรรยากาศของทุ่งนาเขียวขจี จากบ้านเรือนติดกันอย่างแออัด กลับเริ่มทิ้งระยะห่างจากกันไปทีละหลังตามลักษณะแบบบ้านในชนบท นอกจากธรรมชาติแล้วการเดินทางด้วยรถไฟยังทำให้เราได้เรียนรู้ ได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของแต่ละท้องถิ่นอย่างที่หาไม่ได้ในเมืองที่เราจากมา...และวินาทีนั้นเองที่เรารู้ทันทีว่า ทางรถไฟสายความสุข ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วววว

ระหว่างทางเราจะได้ร่วมกิจกรรมแรลลี่รถไฟกันอย่างตื่นเต้น เรียกว่าง่วงแค่ไหนแต่นาทีนี้ก็ต้องตื่น เพราะทุกสถานีเราต้องถ่ายภาพจุดสังเกตต่างๆ ตามแรลลี่ที่กำหนดไปตลอดทาง
และระหว่างมื้อกลางวันเราก็ได้ลิ้มรสอาหารแสนอร่อยของเมืองโคราชด้วย บอกได้เลยว่ามันเด็ดมากกก

แต่ที่โดนใจสุดๆ เห็นจะเป็นไอติมกับรสล้ำขนาดที่นิตยสารหนีกรุงเค้ามีแจกให้บนรถไฟนี่แหละ

แถมด้วยกาแฟรสเยี่ยมอีกหนึ่ง เพอร์เฟคเลยค่าาา ขอบคุณผู้สนับสนุนใจดีนะค๊า

และมุมนี้เลยที่เราทุกคนต้องวิ่งไล่ตามหาเพื่อถ่ายรูปกับป้ายโปสเตอร์ด้วย เสียดายจังอดได้รางวัล ^^

สถานที่แรกที่เราไปกันคือที่นี่เลยค่าาาา...มูลนิธิสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อโตขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสอีกด้วย

จากนั้นเราก็เข้าไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ด้านในกันค่ะ

เมื่อออกมาด้านนอกเราก็มาเจอเจ้าสองตัวนี้กำลังสวีทกันเลยล่ะ

ตบท้ายด้วยดอกไม้สีหวานอย่างดอกกระเจียว โอ้ววว สดชื่นจริงๆ

ยามบ่ายท่ามกลางแสงแดดอุ่นๆ อย่างนี้ จะไปไหนได้นอกจากร้านกาแฟดีไซน์เจ๋งๆ อย่าง Dragon Coffee ร้านกาแฟที่มีเจ้ามังกรน้อยน่ารักยืนเป็นเจ้าถิ่นคอยต้อนรับผู้มาเยือน ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่ใครเห็นคงต้องร้องว้าวในความแปลก ก็เค้าเล่นยกมังกรหุ่นเหล็กตัวโตไปประจำการอยู่บนร้านขนาดน้านนน

แอบถ่ายม้าเหล็กมาอวดโฉม ขอบอกว่าสูงมากกก ถ้าม้าพยศขึ้นมาคงแย่แน่ งานนี้คงต้องตัวใครตัวมันครับท่าน

จากนั้นเราก็ไปที่พักกันค่ะ ที่นี่เลย The Greenery Resort เพียงแค่ด้านหน้าก็สวยสุดๆ คืนนี้สบายแน่ๆ 555

พอเดินเข้าไปด้านในก็พบกับสวนน้ำสำหรับเด็กๆ ที่เกือบทำให้อดใจไม่ไหว อยากกระโดดลงไปเล่นกับเค้าบ้าง

3
หากใครชอบธรรมชาติล่ะก็ ขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังค่ะ ที่นี่เค้าจัดสวนไว้ได้บรรยากาศธรรมชาติมากๆ แถมมีดอกไม้เล็กๆ น่ารักเต็มไปหมดเลย

นี่คือห้องพักของเราสองคนค่ะ กว้างขวางน่าอยู่จริงๆ

แต่ที่ถูกใจม๊ากมากคงเป็นระเบียงด้านนอกที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาสวยๆ จนอดใจไม่ไหวต้องขอสวมมาดนางแบบจำเป็นซะหน่อย

สำหรับไฮไลท์ของแรลลี่ในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ถ่ายรูปนะคะ เพราะเค้าจัดปาร์ตี้สไตล์คาวบอยไว้ด้วย เลยขอแปลงโฉมเป็นคาวเกิร์ลกับเค้าบ้างน๊า

เช้าวันที่สองเราสองคนก็จัดมื้อเช้ากันแบบเบาๆ (เบาแล้วนะเนี่ย)

เมื่อกองทัพเติมเต็มอิ่ม เราก็พร้อมออกเดินทางไปปาลิโอกันค่ะ

มาถึงปาลิโอ ก็ขอแชะภาพสไตล์สาวอิตาลีบ้างค่ะ

ถ้าใครอยากจะซื้อของที่ระลึก ที่นี่เค้าก็มีให้เลือกเพียบ

แต่เราไม่สนใจอะไรหรอก ขอกินติมดีกว่า อิอิ

ออกจากปาลิโอ ทีมของเราก็ไปที่ Khao Yai Art Museum กันค่ะ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งรวบรวมผลงานศิลปะทั้งประติมากรรม ภาพวาด และงานอาร์ตๆ ไว้ให้ชมเพียบ สำหรับใครที่มีอุดมการณ์ศิลปะในหัวใจ ขอบอกว่าไม่ควรพลาดชม

เรามารับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่ สวนซ่อนศิลป์ ที่ไม่ใช่แค่ได้อิ่มอร่อยกับอาหารเท่านั้น แต่ยังอิ่มใจกับบรรยากาศสวนสวยภายในอีกด้วยล่ะ เรียกว่างานนี้เปลืองพื้นที่เมมโมรี่การ์ดกันสุดชีวิต

แต่ที่เด็ดสุดๆ ของแรลลี่หนีกรุงครั้งที่ 2 นี้ คงเป็นคอนเสิร์ตมันส์ๆ บนรถไฟนี่แหละ ที่ยกพลมาทั้งพี่ว่าน สินเจริญ ยายแหวว และปิดท้ายด้วยวงลิปตา

เมื่อเริ่มออกเดินทางเราสองคนต่างเคลื่อนที่ไปบนเส้ยทางรถไฟสายนี้ และตอนกลับเราสองคนก็กลับมาในเส้นทางเดิม หากแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคงเป็นมิตรภาพดีๆ ที่เราได้กลับมาพร้อมๆ กับความสุขเต็มกระเป๋า คือการได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ได้สัมผัสแลกเปลี่ยนความคิดและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เราว่าสิ่งนี้แหละที่เป็นเสน่ห์ของการเดินทาง เพราะการเดินทางนั้นคือความสวยงามของชีวิตเสมอ
และหากใครอยากร่วมสัมผัสประสบการณ์หนีกรุงแบบเราสองคนล่ะก็ ง่ายๆ เลย แค่มาเป็นชาวหนีกรุงไปด้วยกันค่ะ...แล้วจะรู้ว่าทุกการเดินทางคือ ความสุขที่รอให้เราออกไปค้นหา ด้วยตัวเอง
แล้วพบกับรีวิวใหม่ฉบับหน้าพร้อมความสนุกสนานเช่นเคยนะค๊าาา
[CR] ทางรถไฟสายความสุข...กับหนีกรุงปู๊น ปู๊น
ว่ากันว่าการเดินทางมักนำพาเราให้ไปพบกับสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี ผู้คน สายลมหรือแสงแดด
และด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา จึงทำให้เราตัดสินใจเก็บของทั้งหมดใส่เป้...และร่วมออกเดินทางแบบชาวหนีกรุง
การเดินทางของเราในครั้งนี้ไปกันแบบเป็นหมู่คณะในบรรยากาศแสนอบอุ่น ด้วยรถไฟขบวนใหญ่เที่ยวพิเศษ...ขอบอกว่าเค้าพิเศษจริงๆ นะ
งานนี้เราไปกับเพื่อนอีกหนึ่งคน และมาถึงจุดรวมพลที่สถานีรถไฟก่อนเวลานัดนานทีเดียว
แต่เวลากับการรอคอยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเราสองคน ด้วยสัญชาตญาณของเด็กเรียนสายท่องเที่ยวผู้รักในการเดินทางเป็นทุน
ไหนๆ มีเวลาก็ขอเดินสำรวจบรรยากาศหัวลำโพงยามเช้าเสียหน่อยเป็นไร
ถึงแม้ยังเช้าอยู่แต่หัวลำโพงไม่เคยหลับไหล ผู้คนมากหน้าหลายตาหลากเชื้อชาติเดินขวักไขว่กันไปมาอย่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร บ้างมาเป็นกลุ่ม บ้างมาเป็นคู่กับคนรู้ใจ แต่เมื่อเดินต่อไปยังชานชลาอีกหน่อยเรากลับเจอคุณตาท่านนี้นั่งโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังพร้อมด้วยกระเป๋าเก่าๆ หนึ่งใบ และเพราะภาพๆ นี้เองที่ทำให้เรารู้สึกว่า บางทีการเดินทางคนเดียวอาจทำให้เราได้เรียนรู้และอยู่กับตัวเองมากขึ้น แต่บางครั้งการเดินทางของคนหนึ่งคนก็น่าจะดีกว่าถ้ามีเพื่อนร่วมทางเดินไปด้วยกัน
การเดินทางในครั้งนี้ของเรามีระยะเวลาอยู่ที่ 2 วัน 1 คืน โดยเริ่มต้นออกเดินทางที่สถานีรถไฟหัวลำโพงในเวลาประมาณ 7 โมงเช้า ซึ่งมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่แดนดินถิ่นอีสานเมืองโคราช เมืองที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาและธรรมชาติแสนโรแมนติก
เมื่อขบวนรถไฟค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านแต่ละสถานีไปเรื่อยๆ ด้วยการเคลื่อนตัวเท่าสปีดครึ่งเต่าครึ่งกระต่าย คือช้าบ้างเร็วบ้างสลับกันตามจังหวะ จากภาพทิวทัศน์ตึกสูงท่ามกลางบรรยากาศชีวิตในเมืองใหญ่ก็ค่อยๆ จางหายเปลี่ยนผ่านเข้าสู่บรรยากาศของทุ่งนาเขียวขจี จากบ้านเรือนติดกันอย่างแออัด กลับเริ่มทิ้งระยะห่างจากกันไปทีละหลังตามลักษณะแบบบ้านในชนบท นอกจากธรรมชาติแล้วการเดินทางด้วยรถไฟยังทำให้เราได้เรียนรู้ ได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของแต่ละท้องถิ่นอย่างที่หาไม่ได้ในเมืองที่เราจากมา...และวินาทีนั้นเองที่เรารู้ทันทีว่า ทางรถไฟสายความสุข ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วววว
ระหว่างทางเราจะได้ร่วมกิจกรรมแรลลี่รถไฟกันอย่างตื่นเต้น เรียกว่าง่วงแค่ไหนแต่นาทีนี้ก็ต้องตื่น เพราะทุกสถานีเราต้องถ่ายภาพจุดสังเกตต่างๆ ตามแรลลี่ที่กำหนดไปตลอดทาง
และระหว่างมื้อกลางวันเราก็ได้ลิ้มรสอาหารแสนอร่อยของเมืองโคราชด้วย บอกได้เลยว่ามันเด็ดมากกก
แต่ที่โดนใจสุดๆ เห็นจะเป็นไอติมกับรสล้ำขนาดที่นิตยสารหนีกรุงเค้ามีแจกให้บนรถไฟนี่แหละ
แถมด้วยกาแฟรสเยี่ยมอีกหนึ่ง เพอร์เฟคเลยค่าาา ขอบคุณผู้สนับสนุนใจดีนะค๊า
และมุมนี้เลยที่เราทุกคนต้องวิ่งไล่ตามหาเพื่อถ่ายรูปกับป้ายโปสเตอร์ด้วย เสียดายจังอดได้รางวัล ^^
สถานที่แรกที่เราไปกันคือที่นี่เลยค่าาาา...มูลนิธิสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อโตขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสอีกด้วย
จากนั้นเราก็เข้าไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ที่ด้านในกันค่ะ
เมื่อออกมาด้านนอกเราก็มาเจอเจ้าสองตัวนี้กำลังสวีทกันเลยล่ะ
ตบท้ายด้วยดอกไม้สีหวานอย่างดอกกระเจียว โอ้ววว สดชื่นจริงๆ
ยามบ่ายท่ามกลางแสงแดดอุ่นๆ อย่างนี้ จะไปไหนได้นอกจากร้านกาแฟดีไซน์เจ๋งๆ อย่าง Dragon Coffee ร้านกาแฟที่มีเจ้ามังกรน้อยน่ารักยืนเป็นเจ้าถิ่นคอยต้อนรับผู้มาเยือน ซึ่งเป็นร้านกาแฟที่ใครเห็นคงต้องร้องว้าวในความแปลก ก็เค้าเล่นยกมังกรหุ่นเหล็กตัวโตไปประจำการอยู่บนร้านขนาดน้านนน
แอบถ่ายม้าเหล็กมาอวดโฉม ขอบอกว่าสูงมากกก ถ้าม้าพยศขึ้นมาคงแย่แน่ งานนี้คงต้องตัวใครตัวมันครับท่าน
จากนั้นเราก็ไปที่พักกันค่ะ ที่นี่เลย The Greenery Resort เพียงแค่ด้านหน้าก็สวยสุดๆ คืนนี้สบายแน่ๆ 555
พอเดินเข้าไปด้านในก็พบกับสวนน้ำสำหรับเด็กๆ ที่เกือบทำให้อดใจไม่ไหว อยากกระโดดลงไปเล่นกับเค้าบ้าง
หากใครชอบธรรมชาติล่ะก็ ขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังค่ะ ที่นี่เค้าจัดสวนไว้ได้บรรยากาศธรรมชาติมากๆ แถมมีดอกไม้เล็กๆ น่ารักเต็มไปหมดเลย
นี่คือห้องพักของเราสองคนค่ะ กว้างขวางน่าอยู่จริงๆ
แต่ที่ถูกใจม๊ากมากคงเป็นระเบียงด้านนอกที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาสวยๆ จนอดใจไม่ไหวต้องขอสวมมาดนางแบบจำเป็นซะหน่อย
สำหรับไฮไลท์ของแรลลี่ในครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ถ่ายรูปนะคะ เพราะเค้าจัดปาร์ตี้สไตล์คาวบอยไว้ด้วย เลยขอแปลงโฉมเป็นคาวเกิร์ลกับเค้าบ้างน๊า
เช้าวันที่สองเราสองคนก็จัดมื้อเช้ากันแบบเบาๆ (เบาแล้วนะเนี่ย)
เมื่อกองทัพเติมเต็มอิ่ม เราก็พร้อมออกเดินทางไปปาลิโอกันค่ะ
มาถึงปาลิโอ ก็ขอแชะภาพสไตล์สาวอิตาลีบ้างค่ะ
ถ้าใครอยากจะซื้อของที่ระลึก ที่นี่เค้าก็มีให้เลือกเพียบ
แต่เราไม่สนใจอะไรหรอก ขอกินติมดีกว่า อิอิ
ออกจากปาลิโอ ทีมของเราก็ไปที่ Khao Yai Art Museum กันค่ะ ที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งรวบรวมผลงานศิลปะทั้งประติมากรรม ภาพวาด และงานอาร์ตๆ ไว้ให้ชมเพียบ สำหรับใครที่มีอุดมการณ์ศิลปะในหัวใจ ขอบอกว่าไม่ควรพลาดชม
เรามารับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่ สวนซ่อนศิลป์ ที่ไม่ใช่แค่ได้อิ่มอร่อยกับอาหารเท่านั้น แต่ยังอิ่มใจกับบรรยากาศสวนสวยภายในอีกด้วยล่ะ เรียกว่างานนี้เปลืองพื้นที่เมมโมรี่การ์ดกันสุดชีวิต
แต่ที่เด็ดสุดๆ ของแรลลี่หนีกรุงครั้งที่ 2 นี้ คงเป็นคอนเสิร์ตมันส์ๆ บนรถไฟนี่แหละ ที่ยกพลมาทั้งพี่ว่าน สินเจริญ ยายแหวว และปิดท้ายด้วยวงลิปตา
เมื่อเริ่มออกเดินทางเราสองคนต่างเคลื่อนที่ไปบนเส้ยทางรถไฟสายนี้ และตอนกลับเราสองคนก็กลับมาในเส้นทางเดิม หากแต่ที่ไม่เหมือนเดิมคงเป็นมิตรภาพดีๆ ที่เราได้กลับมาพร้อมๆ กับความสุขเต็มกระเป๋า คือการได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ได้สัมผัสแลกเปลี่ยนความคิดและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เราว่าสิ่งนี้แหละที่เป็นเสน่ห์ของการเดินทาง เพราะการเดินทางนั้นคือความสวยงามของชีวิตเสมอ
และหากใครอยากร่วมสัมผัสประสบการณ์หนีกรุงแบบเราสองคนล่ะก็ ง่ายๆ เลย แค่มาเป็นชาวหนีกรุงไปด้วยกันค่ะ...แล้วจะรู้ว่าทุกการเดินทางคือ ความสุขที่รอให้เราออกไปค้นหา ด้วยตัวเอง
แล้วพบกับรีวิวใหม่ฉบับหน้าพร้อมความสนุกสนานเช่นเคยนะค๊าาา