ใครจะเชื่อว่าฉันพกรูปมนุษย์ต่างดาวไว้ในกระเป๋าสตางค์
นั่นสิ!ใครเชื่อก็บ้าแล้ว...โลกใบนี้ มันมีมนุษย์ต่างดาวที่ไหนกัน
.............................
“ตอง! แกโอเคใช่ไหม”
น้ำเสียงห่วงใยที่ดังมาจากเพื่อนร่วมงานคนสนิท ทำให้ฉันละสายตาจากพื้นทางเดินขึ้นมาสบตาเพื่อน รอยยิ้มให้กำลังใจตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเพียงเล็กน้อย “อืม เราไม่เป็นไรหรอก” ฉันตอบเพื่อนก่อนจะมาทรุดตัวนั่งหลับตาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง
“งั้นฉันไปกินข้าวก่อนนะ แกจะเอาไรเปล่าเดี๋ยวซื้อมาฝาก” เสียงถามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและความห่วงใยดังมาอีกระรอก ฉันจึงสั่นหน้าพร้อมกับตอบปฏิเสธ เพื่อนสนิทของฉันพยักหน้ารับอย่างรู้กันก่อนจะเดินหายออกไปจากห้องทำงาน โชคดีที่ตอนนี้คนในออฟฟิศทยอยกันออกไปกินข้าวกันหมดแล้ว ทั้งห้องกว้างๆเหลือฉันแค่เพียงคนเดียว ไม่มีสายตาสอดรู้ ไม่มีสายตาสมเพช ไม่มีสายตาเห็นใจส่งมาให้รบกวนความรู้สึกในยามนี้อีก
การโดนหัวหน้าตักเตือนด้วยอารมณ์มันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้น้อยเมื่อทำงานผิดพลาด แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความผิดโดยตรงก็ตาม ลองว่ามีส่วนร่วมในความผิดนั้นๆด้วยแล้วละก็ไม่รอดแน่ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้ฉันโดนมรสุมบ่อยเหลือเกิน บ่อยจนอดท้อไม่ได้ บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณบอกกล่าวว่าฉันควรจะมองหางานใหม่ได้แล้วก็เป็นได้ ฉันหลับตาลงอีกครั้งและปล่อยให้น้ำตาค่อยรินช้าๆที่ปลายหางตา ความรู้สึกเหนื่อย อ่อนแรง และอ่อนล้าทำให้ฉันรู้สึกอยากหายตัวไปจากที่แห่งนี้ อยากออกเดินทางไปในโลกกว้างๆ เหมือนที่ใครบางคนเคยบอกกับฉันไว้
...ใครคนนั้นที่จากฉันไปแสนไกล...
ความคิดของฉันก็เริ่มล่องลอยไปไกล ย้อนหวนกลับไปยังอดีตในวันที่ได้พบกับใครคนนั้นเป็นครั้งแรก ในวันเวลาที่ผ่านมานั้นเขาอาจจะไม่ได้เปลี่ยนโลกของฉันไปทั้งใบ แต่เขาก็ได้ปรับบางอย่างให้โลกเล็กๆของฉันไม่ได้แคบอย่างที่เคยเป็น
.........................................................
ความรู้สึกเหมือนมีใครสักคนมานั่งอยู่ข้างๆ ดึงฉันออกจากโลกส่วนตัวได้ทันที สำหรับคนที่ชอบความสันโดษอย่างฉันนั้นไม่ใคร่จะชอบนักยามที่มีใครมารุกล้ำโลกอีกใบที่ตัวเองสร้างขึ้น ฉันจึงหยุดดินสอในมือลงอย่างหงุดหงิดก่อนจะปรายตาหันไปมอง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่ว่างด้านข้างของฉันมีคนเสียมารยาทลงมานั่งร่วมโต๊ะโดยไม่ได้ขออนุญาต แม้ว่าตรงนี้มันจะเป็นที่สาธารณะก็เถอะ เขาก็น่าจะขอก่อนหรือไม่ก็บอกกล่าวกันบ้างใช่ไหมไม่ใช่ว่าจู่ๆนึกจะนั่งลงก็นั่งเลยแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจกับคำพูดที่ส่งผ่านสายตาหรืออาจจะมีหูทิพย์ได้ยินความคิดของฉัน เพราะทันทีที่หันมาสบตากันเขาก็เอ่ยขอโทษพร้อมทั้งอธิบายให้ฉันฟังทันที “ขอโทษครับที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน เห็นคุณกำลังมีสมาธิเลยไม่อยากกวน”
“ค่ะ” ฉันรับคำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะขอโทษแล้วแต่มันก็ไม่ช่วยให้ฉันหายหงุดหงิดได้ในทันทีหรอก “พอดีผมเห็นตรงนี้มันว่างอยู่ที่เดียว เลยจะขอมานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่รบกวนคุณหรอกครับ” เขาอธิบายต่อราวกับอ่านใจฉันออก ทำให้ฉันต้องหันไปมองรอบตัว แล้วก็อย่างที่เขาบอกจริงๆ เก้าอี้ม้านั่งตรงนี้มันว่างอยู่แค่ที่เดียว
“ค่ะ ตามสบายเลยค่ะ ขอโทษด้วยเหมือนกันนะคะที่ไม่ทันมองว่าที่อื่นมันเต็มหมด” ฉันเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบรับสั้นๆ
“อ่อค่ะ” ฉันรับแล้วก็เลิกใส่ใจที่จะสนทนากับคนแปลกหน้าต่อ อาจเพราะต่อมมนุษย์สัมพันธ์ของฉันมันตายด้านกระมัง เลยไม่คิดจะวิสาสะกับใครก็ตามที่บังเอิญเฉียดผ่านมาใกล้โลกส่วนตัว ด้วยเพราะรู้ว่าเดี๋ยวคนพวกนั้นก็เดินจากไปเอง จึงไม่จำเป็นแม้แต่น้อยที่จะต้องคอยสนทนาให้เสียเวลา ฉันเริ่มจมลงสู่โลกใบแคบๆของตนเองอีกครั้งโดยมีสายลมแผ่วพัดผ่านมาพร้อมกับเสียงเปิดหนังสือที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ
เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งแสงของวันเหลือน้อยต้องใช้แสงจากไฟประดิษฐ์ของมนุษย์มาช่วย ฉันจึงค่อยๆขยับตัวด้วยความเมื่อยขบ คงได้เวลาเก็บของกลับบ้านเสียทีหลังจากที่นั่งทำงานมากว่าค่อนวัน หลังจากเก็บของไปได้สักพักฉันเพิ่งจะฉุกใจคิดถึงเสียงเปิดหนังสือที่เงียบหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้และเมื่อคิดได้ดังนั้นสายตาของฉันจึงกวาดไปยังที่นั่งข้างๆทันที แล้วก็ต้องพบว่าชายหนุ่มเจ้าของหนังสือกำลังนั่งหลับในท่ากอดหนังสือไว้แนบอก ใบหน้าที่ก้มเล็กน้อยนั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะหลับสบายได้แต่ทว่าเขาก็ยังคงหลับสนิท จนกระทั่งเก็บของเสร็จแล้วคนนอนหลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเสียที ฉันจึงนั่งลงอีกครั้งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี เสียงหนึ่งในหัวบอกว่าให้ปล่อยเขาไปเดี๋ยวเขาก็ตื่นและกลับบ้านไปเอง แต่อีกเสียงหนึ่งกลับค้านอย่างห่วงใยในความปลอดภัยของเขาเพราะหากมีคนคิดร้ายในเวลาที่เขาหลับสนิทแบบนี้ฉันคงต้องรู้สึกผิดไปทั้งชีวิตเป็นแน่ความคิดในหัวของฉันต่อสู้กันอยู่นานจนเจ้าของร่างสูงเริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้นมาก่อนจะหันมามองหน้าฉันอย่างงงๆ ถ้าให้เดาโดยเอาตัวเองเป็นมาตรฐานนะ ช่วงนี้เขาคงกำลังลำดับความคิดอยู่กระมังว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและฉันเป็นใคร
“เอ่อ จะกลับแล้วเหรอครับ” เขาถามฉันหลังจากที่ใช้เวลาตั้งสติไปเล็กน้อย
“อ่อค่ะ กำลังจะกลับ” ฉันพยักหน้ารับ โดยที่ไม่อธิบายต่อว่า...ถ้าไม่ติดเขาที่นอนหลับเป็นตายอยู่ข้างๆ คงเดินกลับถึงบ้านไปนานแล้ว
“ขอบคุณนะครับ”จู่ๆเขาก็เอ่ยชอบคุณขึ้นมา
“เอ๋!” ฉันจึงหันไปมองหน้าเขาอย่างงๆ
“ขอบคุณที่นั่งรอผมตื่น ต้องขอโทษด้วยนะครับที่หลับลึกไปหน่อย” เขายิ้มแหยอย่างอายๆ และนั่นก็มากพอที่จะทำให้ฉันหัวเราะท่าทางของเขาน่าขำจริงๆ ก่อนจะบอกเขาโดยเลี่ยงความจริงไปเล็กน้อย “อ่อไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็เพิ่งเก็บของเสร็จพอดี”
“แล้วกลับบ้านยังไงครับ มันมืดแบบนี้”
คำถามของเขาทำให้ฉันต้องมองไปรอบๆ ตัว ยามนี้มีเพียงแสงไฟจากหลอดนีออนเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง สวนสาธารณะไม่ได้ร้างผู้คนเสียทีเดียวแต่ก็ห่างไกลกับความว่าพลุกพล่านราวกับคนละโลก
“เดินกลับค่ะ ฉันพักอยู่แถวๆนี้เอง” ฉันบอกเขาง่ายๆ และพยายามทำน้ำเสียงให้เขาจับไม่ได้ว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างไร อันที่จริงก็ต้องยอมรับล่ะว่าต่อมความกังวลทำงานอยู่บ้าง ฉันไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่กับการเดินคนเดียวท่ามกลางความมืดและสถานที่เปลี่ยวๆ แต่ว่าก็แค่เพียงสิบห้านาทีเท่านั้นที่ฉันกลั้นใจเดินผ่านไปมันก็สั้นจะตายไปในความคิดแล้วเรื่องอะไรจะต้องแสดงให้เขารู้ล่ะว่าฉันไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ในการกลับบ้านคนเดียวแบบนี้
“งั้นผมขี่จักรยานไปส่งแล้วกัน เดินกลับคนเดียวมันอันตราย” ฉันมองคนเสนอตัวอย่างงงๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ อืม...เป็นข้อเสนอที่ดีนะ แต่ว่าฉันเดินกลับคนเดียวน่าจะดีกว่า การนั่งด้วยกันทั้งวันไม่ได้หมายความว่าเขาน่าไว้ใจเพราะโจรสมัยนี้มันมาเหนือชั้นจะตายไปแล้วอีกประการหนึ่งฉันเองก็ชินกับการทำอะไรๆด้วยตัวคนเดียว แม้จะมีความกลัวปะปนอยู่บ่อยๆ แต่ฉันก็ทำมันได้โดยไม่ต้องพึ่งใครมาตลอดคราวนี้ก็เช่นกัน ที่ฉันเอ่ยปากปฏิเสธความช่วยเหลือไปอย่างไม่ลังเล
“ไม่เป็นไรค่ะฉันกลับได้ ขอบคุณนะคะที่จะไปส่งแต่ไม่รบกวนดีกว่า”ฉันหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือขาตั้งรูปเอาไว้ก่อนจะหันมาบอกลาเขา “บ๊ายบายค่ะ” ฉันหันหลังเดินจากมาเงียบๆ จบไปอีกหนึ่งวันธรรมดาๆ สำหรับคนโสดแบบฉัน
...........................
“...ผมอยากได้งานสีน้ำของคุณมาตกแต่งในห้องทำงาน...”
ไม่ว่านั่นจะเป็นความต้องการที่ทำให้ฉันลำบากใจหรือเปล่าแต่ฉันก็รับงานจากลูกค้านักธุรกิจใหญ่ที่เป็นลูกค้าคนสำคัญของฉันและบริษัทมาแล้ว วันนี้ฉันจึงต้องมาหามุมสงบเพื่อทำงานอีกเหมือนเคย หลังจากกวาดสายตามองหาที่นั่งอยู่นานแต่ก็ยังไม่พบว่าจะมีตรงไหนว่างพอที่จะให้นั่งทำงานได้สักจุด ดูเหมือนว่าวันนี้ทุกคนจะพร้อมใจกันมาที่นี่ทั้งนั้น ฉันเดินไล่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเก้าอี้ตัวประจำที่วันนี้มันไม่ว่างเสียแล้ว ฉันแอบเสียดายวันนี้คงจะต้องหอบงานกลับไปทำที่ห้องพักเสียแล้ว
“สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วนะครับ” ฉันขมวดคิ้วกับคำทักทายกะทันหัน ออกจะงงๆเล็กน้อยว่าเขาเป็นใคร
“จำผมไม่ได้สินะครับ เราพบกันเมื่อวันก่อนตรงนี้ คุณมาวาดรูป” เขาชี้มาที่ถุงอุปกรณ์ใบใหญ่ของฉันก่อนจะชูหนังสือที่อยู่ในมือและอธิบายต่อ “ส่วนผมมาอ่านหนังสือ”
คำอธิบายของเขาทำให้ฉันถึงกับร้องอ๋อในใจ ฉันจำเขาได้แล้วละแต่รู้สึกว่าเขาจะอธิบายตกไปเล็กน้อยก็ตรงที่เขามาอ่านหนังสืออย่างเดียวเสียเมื่อไหร่เห็นมานอนหลับด้วยชัดๆ
“อ่อสวัสดีค่ะวันนี้คนที่นี่เยอะ วุ่นวายจังเลยนะคะ” ฉันทักเขาก่อนจะอดบ่นเล็กๆตามประสาไม่ได้ อารมณ์ไม่ได้ดังใจทำให้ฉันหาที่ระบายกับใครสักคน โชคร้ายหน่อยที่คนๆนั้นดันเป็นเขาพอดี
“ครับถ้าไม่รังเกียจนั่งกับผมก็ได้นะ” เขาเสนออย่างใจดี แต่ฉันกลับรีบปฏิเสธทันควัน
“โอ๊ะ!ไม่ดีกว่าค่ะ เกรงใจ ไม่อยากรบกวนคุณอ่านหนังสือ”
“ไม่หรอกครับนั่งได้ คุณไม่ได้วาดรูปไปตะโกนไปนี่ครับถึงจะได้ว่ารบกวนการอ่านหนังสือของผม” เขาพูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ จนฉันอดนึกขันตามไม่ได้เพราะในสมองกำลังคิดภาพตัวเองวาดภาพไปร้องตะโกนไปด้วย ฉันมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตาอีกครั้ง จะว่าไปเขาก็ดูอัธยาศัยดีไม่น้อยและจากที่เคยนั่งด้วยกันเมื่อคราวก่อนฉันก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะที่ดี ความเกรงใจจึงถูกกำจัดไปในทันทีอย่างไม่ลังเลอีก “ค่ะขอบคุณนะคะ”
เพียงเท่านั้นเราทั้งคู่ต่างก็จมลงสู่โลกของตัวเองอีกครั้งไม่มีบทสนทนาใดใด จนกระทั่งฉันร่างรูปเสร็จจึงหันมามองหน้าคนข้างๆนั่นแหละจึงได้รู้ว่าถูกเขามองอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของเขาคู่นั้นจ้องมองมาตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ดูคุณวาดรูปเก่งจังนะครับ คุณเป็นจิตรกรเหรอ?” เขาถาม
“เปล่าค่ะ นี่แค่จ๊อบพิเศษเท่านั้น จริงๆแล้วฉันเป็นสถาปนิกน่ะค่ะ”
“เก่งจังนะครับ ผมสิวาดรูปไม่เอาไหนเลย” เขาพูดพลางลูบหัวตัวเองเขินๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครสักคนมาคุยกับฉันแล้วบอกว่าตนเองวาดรูปไม่เป็นหรือวาดไม่เก่ง เพราะฉันเองก็เจอแบบนี้บ่อยจนชิน คนเรามันมีความใช่ในตัวเองไม่เหมือนกันหรอกถ้าเขาบอกฉันว่าเป็นจิตรกรชื่อดังระดับโลกสิฉันคงเสียจริตซะเอง
“แล้วคุณอ่านหนังสืออะไรเหรอคะ? หน้าปกสวยจัง” ฉันไล่สายตาไปยังหนังสือปกแข็งสีน้ำตาลเข้มในมือของเขาด้วยความสนใจ คุ้นตาอยู่เหมือนกันว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“หนังสือเรื่องปีกหักของคาลิล ยิบรานครับ” ชื่อหนังสือที่เขาบอกทำให้ฉันร้องอ๋อเพราะเคยเห็นเพื่อนสนิทอ่านอยู่เหมือนกันแถมยังมาแนะนำให้ฉันอ่านด้วยแต่ก็นั่นแหละยังไม่มีเวลาอ่านเสียที สงสัยว่าต้องไปอ่านบ้างแล้วขนาดผู้ชายคนข้างๆยังอ่านเลยแสดงว่ามันต้องน่าสนใจจริงๆ
“ท่าทางคุณจะชอบอ่านหนังสือนะคะ คราวที่แล้วก็เจอคุณกับหนังสือ” ฉันอดแซวเขาไม่ได้
“ครับ...มันเป็นงานอดิเรกที่ผมรักที่สุดแล้วล่ะครับ สำหรับคนบางคนเขาก็มีโอกาสได้สัมผัสโลกกว้างจากตัวอักษรเท่านั้นล่ะครับ”
“คนบางคนที่ว่านั่นหมายถึงคุณหรือคะดูไม่น่าจะใช่”ฉันตั้งข้อสังเกตเพราะดูจากท่าทาง แววตาและคำพูดที่ดูกร้านโลกพอสมควรแล้ว เขาไม่ใช่คนจำพวกที่เขาเอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อย
“ผมกำลังจะเป็น ‘คนบางคน’ แบบที่ว่านั่นแหละครับ”
คำบอกเล่าของเขาให้ฉันต้องขมวดคิ้วน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ และก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ อาจจะดูเหมือนละลาบละล้วงไปมากแต่ช่วยไม่ได้นี่ฉันสงสัยจริงๆว่าอะไรที่ทำให้เขาคิดว่ากำลังจะเป็นแบบนั้น“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ ฉันว่าคุณไม่น่าจะต้องรู้จักโลกจากตัวหนังสือเลย ในเมื่อตัวของคุณยังพร้อมที่จะออกไปดูโลกด้วยตัวเอง”
“อาจเป็นเพราะเวลาสำหรับการท่องโลกของผมมันหมดลงแล้วน่ะสิครับ” เขาตอบพลางยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่อ่านยาก ยากเสียจนฉันรู้สึกว่าความนัยที่ส่งมาด้วยนั้นลึกลงไปสุดใจเกินหยั่งถึง
“ฉันไม่เห็นจะเข้าใจ ดูคุณเข้าใจยากเหมือนพวกติสท์เลย” ฉันวางพู่กันแล้วหันไปพูดกับเขาด้วยท่าทางจริงจัง จะว่าก็ว่าเถอะฉันยังรู้สึกถึงความเป็นศิลปินในตัวเองน้อยกว่าคนที่สนทนาอยู่ด้วยเลย อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเป็นสถาปนิกไม่ได้เป็นศิลปินนี่นา แค่ชอบวาดรูปเป็นงานอดิเรกเฉยๆ แล้วบังเอิญว่ามันขายได้ก็เท่านั้น
ชายหนุ่มจาก...ดาวอังคาร
นั่นสิ!ใครเชื่อก็บ้าแล้ว...โลกใบนี้ มันมีมนุษย์ต่างดาวที่ไหนกัน
.............................
“ตอง! แกโอเคใช่ไหม”
น้ำเสียงห่วงใยที่ดังมาจากเพื่อนร่วมงานคนสนิท ทำให้ฉันละสายตาจากพื้นทางเดินขึ้นมาสบตาเพื่อน รอยยิ้มให้กำลังใจตรงหน้าทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเพียงเล็กน้อย “อืม เราไม่เป็นไรหรอก” ฉันตอบเพื่อนก่อนจะมาทรุดตัวนั่งหลับตาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง
“งั้นฉันไปกินข้าวก่อนนะ แกจะเอาไรเปล่าเดี๋ยวซื้อมาฝาก” เสียงถามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจและความห่วงใยดังมาอีกระรอก ฉันจึงสั่นหน้าพร้อมกับตอบปฏิเสธ เพื่อนสนิทของฉันพยักหน้ารับอย่างรู้กันก่อนจะเดินหายออกไปจากห้องทำงาน โชคดีที่ตอนนี้คนในออฟฟิศทยอยกันออกไปกินข้าวกันหมดแล้ว ทั้งห้องกว้างๆเหลือฉันแค่เพียงคนเดียว ไม่มีสายตาสอดรู้ ไม่มีสายตาสมเพช ไม่มีสายตาเห็นใจส่งมาให้รบกวนความรู้สึกในยามนี้อีก
การโดนหัวหน้าตักเตือนด้วยอารมณ์มันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้น้อยเมื่อทำงานผิดพลาด แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความผิดโดยตรงก็ตาม ลองว่ามีส่วนร่วมในความผิดนั้นๆด้วยแล้วละก็ไม่รอดแน่ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้ฉันโดนมรสุมบ่อยเหลือเกิน บ่อยจนอดท้อไม่ได้ บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณบอกกล่าวว่าฉันควรจะมองหางานใหม่ได้แล้วก็เป็นได้ ฉันหลับตาลงอีกครั้งและปล่อยให้น้ำตาค่อยรินช้าๆที่ปลายหางตา ความรู้สึกเหนื่อย อ่อนแรง และอ่อนล้าทำให้ฉันรู้สึกอยากหายตัวไปจากที่แห่งนี้ อยากออกเดินทางไปในโลกกว้างๆ เหมือนที่ใครบางคนเคยบอกกับฉันไว้
...ใครคนนั้นที่จากฉันไปแสนไกล...
ความคิดของฉันก็เริ่มล่องลอยไปไกล ย้อนหวนกลับไปยังอดีตในวันที่ได้พบกับใครคนนั้นเป็นครั้งแรก ในวันเวลาที่ผ่านมานั้นเขาอาจจะไม่ได้เปลี่ยนโลกของฉันไปทั้งใบ แต่เขาก็ได้ปรับบางอย่างให้โลกเล็กๆของฉันไม่ได้แคบอย่างที่เคยเป็น
.........................................................
ความรู้สึกเหมือนมีใครสักคนมานั่งอยู่ข้างๆ ดึงฉันออกจากโลกส่วนตัวได้ทันที สำหรับคนที่ชอบความสันโดษอย่างฉันนั้นไม่ใคร่จะชอบนักยามที่มีใครมารุกล้ำโลกอีกใบที่ตัวเองสร้างขึ้น ฉันจึงหยุดดินสอในมือลงอย่างหงุดหงิดก่อนจะปรายตาหันไปมอง แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่ว่างด้านข้างของฉันมีคนเสียมารยาทลงมานั่งร่วมโต๊ะโดยไม่ได้ขออนุญาต แม้ว่าตรงนี้มันจะเป็นที่สาธารณะก็เถอะ เขาก็น่าจะขอก่อนหรือไม่ก็บอกกล่าวกันบ้างใช่ไหมไม่ใช่ว่าจู่ๆนึกจะนั่งลงก็นั่งเลยแบบนี้ ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจกับคำพูดที่ส่งผ่านสายตาหรืออาจจะมีหูทิพย์ได้ยินความคิดของฉัน เพราะทันทีที่หันมาสบตากันเขาก็เอ่ยขอโทษพร้อมทั้งอธิบายให้ฉันฟังทันที “ขอโทษครับที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อน เห็นคุณกำลังมีสมาธิเลยไม่อยากกวน”
“ค่ะ” ฉันรับคำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะขอโทษแล้วแต่มันก็ไม่ช่วยให้ฉันหายหงุดหงิดได้ในทันทีหรอก “พอดีผมเห็นตรงนี้มันว่างอยู่ที่เดียว เลยจะขอมานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่รบกวนคุณหรอกครับ” เขาอธิบายต่อราวกับอ่านใจฉันออก ทำให้ฉันต้องหันไปมองรอบตัว แล้วก็อย่างที่เขาบอกจริงๆ เก้าอี้ม้านั่งตรงนี้มันว่างอยู่แค่ที่เดียว
“ค่ะ ตามสบายเลยค่ะ ขอโทษด้วยเหมือนกันนะคะที่ไม่ทันมองว่าที่อื่นมันเต็มหมด” ฉันเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบรับสั้นๆ
“อ่อค่ะ” ฉันรับแล้วก็เลิกใส่ใจที่จะสนทนากับคนแปลกหน้าต่อ อาจเพราะต่อมมนุษย์สัมพันธ์ของฉันมันตายด้านกระมัง เลยไม่คิดจะวิสาสะกับใครก็ตามที่บังเอิญเฉียดผ่านมาใกล้โลกส่วนตัว ด้วยเพราะรู้ว่าเดี๋ยวคนพวกนั้นก็เดินจากไปเอง จึงไม่จำเป็นแม้แต่น้อยที่จะต้องคอยสนทนาให้เสียเวลา ฉันเริ่มจมลงสู่โลกใบแคบๆของตนเองอีกครั้งโดยมีสายลมแผ่วพัดผ่านมาพร้อมกับเสียงเปิดหนังสือที่ดังขึ้นเป็นระยะๆ
เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งแสงของวันเหลือน้อยต้องใช้แสงจากไฟประดิษฐ์ของมนุษย์มาช่วย ฉันจึงค่อยๆขยับตัวด้วยความเมื่อยขบ คงได้เวลาเก็บของกลับบ้านเสียทีหลังจากที่นั่งทำงานมากว่าค่อนวัน หลังจากเก็บของไปได้สักพักฉันเพิ่งจะฉุกใจคิดถึงเสียงเปิดหนังสือที่เงียบหายไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้และเมื่อคิดได้ดังนั้นสายตาของฉันจึงกวาดไปยังที่นั่งข้างๆทันที แล้วก็ต้องพบว่าชายหนุ่มเจ้าของหนังสือกำลังนั่งหลับในท่ากอดหนังสือไว้แนบอก ใบหน้าที่ก้มเล็กน้อยนั้นดูยังไงก็ไม่น่าจะหลับสบายได้แต่ทว่าเขาก็ยังคงหลับสนิท จนกระทั่งเก็บของเสร็จแล้วคนนอนหลับก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเสียที ฉันจึงนั่งลงอีกครั้งอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี เสียงหนึ่งในหัวบอกว่าให้ปล่อยเขาไปเดี๋ยวเขาก็ตื่นและกลับบ้านไปเอง แต่อีกเสียงหนึ่งกลับค้านอย่างห่วงใยในความปลอดภัยของเขาเพราะหากมีคนคิดร้ายในเวลาที่เขาหลับสนิทแบบนี้ฉันคงต้องรู้สึกผิดไปทั้งชีวิตเป็นแน่ความคิดในหัวของฉันต่อสู้กันอยู่นานจนเจ้าของร่างสูงเริ่มขยับตัวและลืมตาขึ้นมาก่อนจะหันมามองหน้าฉันอย่างงงๆ ถ้าให้เดาโดยเอาตัวเองเป็นมาตรฐานนะ ช่วงนี้เขาคงกำลังลำดับความคิดอยู่กระมังว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและฉันเป็นใคร
“เอ่อ จะกลับแล้วเหรอครับ” เขาถามฉันหลังจากที่ใช้เวลาตั้งสติไปเล็กน้อย
“อ่อค่ะ กำลังจะกลับ” ฉันพยักหน้ารับ โดยที่ไม่อธิบายต่อว่า...ถ้าไม่ติดเขาที่นอนหลับเป็นตายอยู่ข้างๆ คงเดินกลับถึงบ้านไปนานแล้ว
“ขอบคุณนะครับ”จู่ๆเขาก็เอ่ยชอบคุณขึ้นมา
“เอ๋!” ฉันจึงหันไปมองหน้าเขาอย่างงๆ
“ขอบคุณที่นั่งรอผมตื่น ต้องขอโทษด้วยนะครับที่หลับลึกไปหน่อย” เขายิ้มแหยอย่างอายๆ และนั่นก็มากพอที่จะทำให้ฉันหัวเราะท่าทางของเขาน่าขำจริงๆ ก่อนจะบอกเขาโดยเลี่ยงความจริงไปเล็กน้อย “อ่อไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็เพิ่งเก็บของเสร็จพอดี”
“แล้วกลับบ้านยังไงครับ มันมืดแบบนี้”
คำถามของเขาทำให้ฉันต้องมองไปรอบๆ ตัว ยามนี้มีเพียงแสงไฟจากหลอดนีออนเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง สวนสาธารณะไม่ได้ร้างผู้คนเสียทีเดียวแต่ก็ห่างไกลกับความว่าพลุกพล่านราวกับคนละโลก
“เดินกลับค่ะ ฉันพักอยู่แถวๆนี้เอง” ฉันบอกเขาง่ายๆ และพยายามทำน้ำเสียงให้เขาจับไม่ได้ว่าฉันกำลังรู้สึกอย่างไร อันที่จริงก็ต้องยอมรับล่ะว่าต่อมความกังวลทำงานอยู่บ้าง ฉันไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่กับการเดินคนเดียวท่ามกลางความมืดและสถานที่เปลี่ยวๆ แต่ว่าก็แค่เพียงสิบห้านาทีเท่านั้นที่ฉันกลั้นใจเดินผ่านไปมันก็สั้นจะตายไปในความคิดแล้วเรื่องอะไรจะต้องแสดงให้เขารู้ล่ะว่าฉันไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ในการกลับบ้านคนเดียวแบบนี้
“งั้นผมขี่จักรยานไปส่งแล้วกัน เดินกลับคนเดียวมันอันตราย” ฉันมองคนเสนอตัวอย่างงงๆ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ อืม...เป็นข้อเสนอที่ดีนะ แต่ว่าฉันเดินกลับคนเดียวน่าจะดีกว่า การนั่งด้วยกันทั้งวันไม่ได้หมายความว่าเขาน่าไว้ใจเพราะโจรสมัยนี้มันมาเหนือชั้นจะตายไปแล้วอีกประการหนึ่งฉันเองก็ชินกับการทำอะไรๆด้วยตัวคนเดียว แม้จะมีความกลัวปะปนอยู่บ่อยๆ แต่ฉันก็ทำมันได้โดยไม่ต้องพึ่งใครมาตลอดคราวนี้ก็เช่นกัน ที่ฉันเอ่ยปากปฏิเสธความช่วยเหลือไปอย่างไม่ลังเล
“ไม่เป็นไรค่ะฉันกลับได้ ขอบคุณนะคะที่จะไปส่งแต่ไม่รบกวนดีกว่า”ฉันหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ถือขาตั้งรูปเอาไว้ก่อนจะหันมาบอกลาเขา “บ๊ายบายค่ะ” ฉันหันหลังเดินจากมาเงียบๆ จบไปอีกหนึ่งวันธรรมดาๆ สำหรับคนโสดแบบฉัน
...........................
“...ผมอยากได้งานสีน้ำของคุณมาตกแต่งในห้องทำงาน...”
ไม่ว่านั่นจะเป็นความต้องการที่ทำให้ฉันลำบากใจหรือเปล่าแต่ฉันก็รับงานจากลูกค้านักธุรกิจใหญ่ที่เป็นลูกค้าคนสำคัญของฉันและบริษัทมาแล้ว วันนี้ฉันจึงต้องมาหามุมสงบเพื่อทำงานอีกเหมือนเคย หลังจากกวาดสายตามองหาที่นั่งอยู่นานแต่ก็ยังไม่พบว่าจะมีตรงไหนว่างพอที่จะให้นั่งทำงานได้สักจุด ดูเหมือนว่าวันนี้ทุกคนจะพร้อมใจกันมาที่นี่ทั้งนั้น ฉันเดินไล่ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเก้าอี้ตัวประจำที่วันนี้มันไม่ว่างเสียแล้ว ฉันแอบเสียดายวันนี้คงจะต้องหอบงานกลับไปทำที่ห้องพักเสียแล้ว
“สวัสดีครับ พบกันอีกแล้วนะครับ” ฉันขมวดคิ้วกับคำทักทายกะทันหัน ออกจะงงๆเล็กน้อยว่าเขาเป็นใคร
“จำผมไม่ได้สินะครับ เราพบกันเมื่อวันก่อนตรงนี้ คุณมาวาดรูป” เขาชี้มาที่ถุงอุปกรณ์ใบใหญ่ของฉันก่อนจะชูหนังสือที่อยู่ในมือและอธิบายต่อ “ส่วนผมมาอ่านหนังสือ”
คำอธิบายของเขาทำให้ฉันถึงกับร้องอ๋อในใจ ฉันจำเขาได้แล้วละแต่รู้สึกว่าเขาจะอธิบายตกไปเล็กน้อยก็ตรงที่เขามาอ่านหนังสืออย่างเดียวเสียเมื่อไหร่เห็นมานอนหลับด้วยชัดๆ
“อ่อสวัสดีค่ะวันนี้คนที่นี่เยอะ วุ่นวายจังเลยนะคะ” ฉันทักเขาก่อนจะอดบ่นเล็กๆตามประสาไม่ได้ อารมณ์ไม่ได้ดังใจทำให้ฉันหาที่ระบายกับใครสักคน โชคร้ายหน่อยที่คนๆนั้นดันเป็นเขาพอดี
“ครับถ้าไม่รังเกียจนั่งกับผมก็ได้นะ” เขาเสนออย่างใจดี แต่ฉันกลับรีบปฏิเสธทันควัน
“โอ๊ะ!ไม่ดีกว่าค่ะ เกรงใจ ไม่อยากรบกวนคุณอ่านหนังสือ”
“ไม่หรอกครับนั่งได้ คุณไม่ได้วาดรูปไปตะโกนไปนี่ครับถึงจะได้ว่ารบกวนการอ่านหนังสือของผม” เขาพูดแล้วก็หัวเราะเบาๆ จนฉันอดนึกขันตามไม่ได้เพราะในสมองกำลังคิดภาพตัวเองวาดภาพไปร้องตะโกนไปด้วย ฉันมองคนตรงหน้าอย่างเต็มตาอีกครั้ง จะว่าไปเขาก็ดูอัธยาศัยดีไม่น้อยและจากที่เคยนั่งด้วยกันเมื่อคราวก่อนฉันก็สัมผัสได้ว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะที่ดี ความเกรงใจจึงถูกกำจัดไปในทันทีอย่างไม่ลังเลอีก “ค่ะขอบคุณนะคะ”
เพียงเท่านั้นเราทั้งคู่ต่างก็จมลงสู่โลกของตัวเองอีกครั้งไม่มีบทสนทนาใดใด จนกระทั่งฉันร่างรูปเสร็จจึงหันมามองหน้าคนข้างๆนั่นแหละจึงได้รู้ว่าถูกเขามองอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาของเขาคู่นั้นจ้องมองมาตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ดูคุณวาดรูปเก่งจังนะครับ คุณเป็นจิตรกรเหรอ?” เขาถาม
“เปล่าค่ะ นี่แค่จ๊อบพิเศษเท่านั้น จริงๆแล้วฉันเป็นสถาปนิกน่ะค่ะ”
“เก่งจังนะครับ ผมสิวาดรูปไม่เอาไหนเลย” เขาพูดพลางลูบหัวตัวเองเขินๆ มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครสักคนมาคุยกับฉันแล้วบอกว่าตนเองวาดรูปไม่เป็นหรือวาดไม่เก่ง เพราะฉันเองก็เจอแบบนี้บ่อยจนชิน คนเรามันมีความใช่ในตัวเองไม่เหมือนกันหรอกถ้าเขาบอกฉันว่าเป็นจิตรกรชื่อดังระดับโลกสิฉันคงเสียจริตซะเอง
“แล้วคุณอ่านหนังสืออะไรเหรอคะ? หน้าปกสวยจัง” ฉันไล่สายตาไปยังหนังสือปกแข็งสีน้ำตาลเข้มในมือของเขาด้วยความสนใจ คุ้นตาอยู่เหมือนกันว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“หนังสือเรื่องปีกหักของคาลิล ยิบรานครับ” ชื่อหนังสือที่เขาบอกทำให้ฉันร้องอ๋อเพราะเคยเห็นเพื่อนสนิทอ่านอยู่เหมือนกันแถมยังมาแนะนำให้ฉันอ่านด้วยแต่ก็นั่นแหละยังไม่มีเวลาอ่านเสียที สงสัยว่าต้องไปอ่านบ้างแล้วขนาดผู้ชายคนข้างๆยังอ่านเลยแสดงว่ามันต้องน่าสนใจจริงๆ
“ท่าทางคุณจะชอบอ่านหนังสือนะคะ คราวที่แล้วก็เจอคุณกับหนังสือ” ฉันอดแซวเขาไม่ได้
“ครับ...มันเป็นงานอดิเรกที่ผมรักที่สุดแล้วล่ะครับ สำหรับคนบางคนเขาก็มีโอกาสได้สัมผัสโลกกว้างจากตัวอักษรเท่านั้นล่ะครับ”
“คนบางคนที่ว่านั่นหมายถึงคุณหรือคะดูไม่น่าจะใช่”ฉันตั้งข้อสังเกตเพราะดูจากท่าทาง แววตาและคำพูดที่ดูกร้านโลกพอสมควรแล้ว เขาไม่ใช่คนจำพวกที่เขาเอ่ยถึงเลยแม้แต่น้อย
“ผมกำลังจะเป็น ‘คนบางคน’ แบบที่ว่านั่นแหละครับ”
คำบอกเล่าของเขาให้ฉันต้องขมวดคิ้วน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ และก็อดไม่ได้ที่จะถามต่อ อาจจะดูเหมือนละลาบละล้วงไปมากแต่ช่วยไม่ได้นี่ฉันสงสัยจริงๆว่าอะไรที่ทำให้เขาคิดว่ากำลังจะเป็นแบบนั้น“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ ฉันว่าคุณไม่น่าจะต้องรู้จักโลกจากตัวหนังสือเลย ในเมื่อตัวของคุณยังพร้อมที่จะออกไปดูโลกด้วยตัวเอง”
“อาจเป็นเพราะเวลาสำหรับการท่องโลกของผมมันหมดลงแล้วน่ะสิครับ” เขาตอบพลางยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มที่อ่านยาก ยากเสียจนฉันรู้สึกว่าความนัยที่ส่งมาด้วยนั้นลึกลงไปสุดใจเกินหยั่งถึง
“ฉันไม่เห็นจะเข้าใจ ดูคุณเข้าใจยากเหมือนพวกติสท์เลย” ฉันวางพู่กันแล้วหันไปพูดกับเขาด้วยท่าทางจริงจัง จะว่าก็ว่าเถอะฉันยังรู้สึกถึงความเป็นศิลปินในตัวเองน้อยกว่าคนที่สนทนาอยู่ด้วยเลย อาจจะเป็นเพราะว่าฉันเป็นสถาปนิกไม่ได้เป็นศิลปินนี่นา แค่ชอบวาดรูปเป็นงานอดิเรกเฉยๆ แล้วบังเอิญว่ามันขายได้ก็เท่านั้น