บทความจากนิ้วกลม: มนุษย์ป้า!?

หนึ่งคำถาม ล้านคำตอบ

มติชนสุดสัปดาห์ 20-26 มิถุนายน 2557


ทุกวันนี้เราได้ยินคำว่า "มนุษย์ป้า" กันหนาหูขึ้นเรื่อยๆ

มนุษย์ป้า ถูกให้นิยามว่า เป็นคนในวัยประมาณ 40 ปีขึ้นไปที่ไม่ค่อยสนใจกฎกติกาสังคม พฤติกรรมที่พบเห็นกันบ่อยๆ คือ หากมีการต่อแถวเข้าคิวกันอยู่ ป้าแกจะไม่สนใจ สามารถแซงคิวได้หน้าตาเฉย เวลาขึ้นรถเมล์หรือรถไฟฟ้า ที่นั่งข้างๆ ของป้าแทนที่จะให้คนอื่นนั่ง ป้าก็จะนำถุงมาวางไว้โดยไม่สะทกสะท้านต่อสายตาที่จ้องมอง หรือกระทั่งของที่คนอื่นหยิบใส่รถเข็นในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วก็ยังถูกมนุษย์ป้าหยิบไปได้หน้าตาเฉย

กระนั้นก็ใช่ว่ามนุษย์ป้าจะต้องเป็นผู้หญิงวัยนี้เท่านั้น พฤติกรรมเช่นนี้มีอยู่ในคนวัยอื่น และเพศอื่นด้วยเช่นกัน แต่พอดีว่าพบในคนรุ่นป้ามากที่สุดจึงเรียกรวมๆ ว่าอย่างนั้น

มีการวิเคราะห์กันว่า มนุษย์ป้าเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม

คือป้าไม่ได้ผุดขึ้นมาโดดๆ แต่ความเป็นมนุษย์ป้านั้นเกิดขึ้นจากสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเมืองเริ่มเติบใหญ่ ผู้คนในเมืองมากขึ้น จากที่เคยใช้ชีวิตกันแบบสบายๆ ใครใคร่ทำอะไรก็ทำ กลายมาเป็นเมืองที่ต้องมีกฎกติกาของสังคมมากำกับเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นมากขึ้น

พอคนเยอะก็เริ่มต้องการระเบียบ

มนุษย์ป้าส่วนใหญ่เป็นคนที่เกิดและเติบโตมาในยุคที่คนยังไม่เยอะเท่านี้ จึงยังไม่ชินกับกฎกติกาที่คนรุ่นใหม่ใช้ร่วมกัน แกจึงเผลอละเมิดโดยไม่รู้ตัว และไม่รู้สึกว่าเป็นความผิดอะไรนักหนา ก็ป้าเป็นแบบนี้มาตลอดชีวิต ไม่เห็นมีใครว่า

ขณะที่คนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในเมืองที่มีการออกแบบกฎกติการ่วมกัน เคารพสิทธิของคนอื่นในพื้นที่สาธารณะก็ย่อมมองว่ามนุษย์ป้ากำลังละเมิดสิทธิของพวกเขา

เป็นเรื่องของโลกที่เปลี่ยนไปและคนบางวัยเปลี่ยนตามไม่ทัน

ที่แย่ที่สุดคือ ป้าทำผิดในสายตาคนรุ่นใหม่ แต่ป้าไม่รู้สึกผิด จึงคุยกันลำบาก

เมื่อโครงการคืนความสุขให้ประชาชนจัดฉายหนังสมเด็จพระนเรศวรฟรีปรากฏว่าประชาชนก็แห่กันไปรับคืนความสุขแบบมืดฟ้ามัวดิน

เรียกว่าท่วมโรงหนังจนแทบจะต้องขี่คอกันดูซึ่งอันที่จริง ถ้าให้เข้าไปทั้งหมดผมว่าคำว่า "ขี่คอกันดู" อาจไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย

จึงเกิดเหตุการณ์มนุษย์ป้ามนุษย์ลุงขึ้นมากมาย เพราะผู้คนไม่ได้เข้าคิวกันสวยงามไปเสียทั้งหมด แต่มีคนจำนวนหนึ่งที่วิ่งแซงคิวคนอื่น กระทั่งขึ้นบันไดเลื่อนฝั่งที่เลื่อนลงเพื่อจะวิ่งไปให้ได้ตั๋วฟรีก่อนคนอื่น

แซงกันเห็นๆ

และบนบันไดเลื่อนที่กำลังเลื่อนลงแล้วมีคนวิ่งขึ้นนี่เองก็ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งวิ่งแซงขึ้นไป

แซงคนที่กำลังแซงซ้อนไปอีกที

เรียกว่าทำทุกอย่างเพื่อ"ความสุข" ของตัวเอง

หากลองเทียบความโกลาหลที่เกิดขึ้นครั้งนี้กับภาพการเข้าคิวซื้อของหรือรับของแจกที่ญี่ปุ่นในเหตุการณ์วิกฤตหลังสึนามิย่อมชวนให้ตั้งคำถามว่ามีอะไรที่สังคมสองแห่งนี้แตกต่างกันจึงส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่แตกต่างกันเช่นนี้

แน่นอนว่าโดยวัฒนธรรมแล้วญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผู้คนนึกถึงส่วนรวมมากกว่าตัวเอง บางคนถึงกับพูดว่า คนญี่ปุ่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะแสดงออกให้คนอื่นรู้สึกดีเอาไว้ก่อน กระทั่งต้องอึดอัดอยู่ในใจก็ต้องทำ

ญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่ชัดเจนมากว่าผู้คนให้ความสำคัญกับพื้นที่สาธารณะไม่น้อยไปกว่าบ้านเรือนของตัวเองน้อยครั้งที่เราจะเห็นคนญี่ปุ่นกวาดขยะออกมานอกบ้าน หรือทิ้งขยะลงบนถนน ขณะที่ในสังคมไทยนั้นมีคนทั้งสองแบบปะปนกัน คือรับผิดชอบกับส่วนรวม และคิดถึงแต่ตัวเอง

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าแบบไหนมากกว่ากัน

เดือนที่แล้ว ผมเพิ่งไปเที่ยวพม่ามาครับ

สิ่งที่พบเห็นทั่วไปคือคนโทน้ำที่ใส่น้ำตั้งไว้หน้าบ้าน หน้าร้าน หน้าโรงแรม เพื่อให้คนที่ผ่านมาผ่านไปได้ดื่มฟรี คล้ายๆ ในบ้านเราสมัยก่อน เดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว

เหตุผลที่คนโทใส่น้ำแบบนี้หายไปน่าจะเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องโรคติดต่อที่เรามีความรู้มากขึ้น ทั้งเรื่องของน้ำดื่มบรรจุขวดที่วางขายอยู่ทั่วไป แต่ในหลายสาเหตุนั้นน่าจะมีสาเหตุหนึ่งรวมอยู่ด้วย คือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปเป็นสังคมเมืองมากขึ้น

จากที่คนในชุมชนหรือพื้นที่เดียวกันรู้สึกว่าตัวเองเป็นญาติมิตรกันพอสังคมเปลี่ยนไปเป็นสังคมที่พึ่งพาการซื้อขายมากขึ้น ทำให้เราปฏิสัมพันธ์กันผ่านเงินมากกว่าความสัมพันธ์แบบพี่น้อง สถานะของเราต่อกันและกันกลายเป็นผู้ขายและผู้ซื้อ

แน่นอนว่าในเมืองที่ใหญ่มากขึ้น ผู้คนมากขึ้น ไม่มีทางที่เราจะรู้จักกันได้ทั้งหมด เมื่อไม่รู้จักก็ยากที่จะไว้ใจกัน คนโทน้ำจึงค่อยๆ หายไป เพราะต่อให้ตั้งไว้ก็ไม่มีใครตักดื่ม

โดยธรรมชาติของสังคมเมือง คนในเมืองต้องดูแลตัวเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง มากกว่าการพึ่งพิงผู้คนแวดล้อม เราอุ่นอาหารกล่องจากไมโครเวฟกินกันครอบครัวเดียวโดยไม่ควรหวังว่าจะมีคนที่พักอยู่ห้องข้างๆ ในคอนโดฯ มาเคาะประตูแล้วยื่นชามแกงเทโพมาให้

คนเมืองค่อยๆ เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เราห่างจากกันมากขึ้น เป็นคนร่วมสังคมแทนที่จะเป็นคนร่วมชุมชนหรือร่วมครอบครัวใหญ่เดียวกัน ความห่างกันนี้ย่อมทำให้เราชอบอะไรไม่เหมือนกัน มีนิสัยไม่เหมือนกัน มีความคิดไม่เหมือนกัน มีความหลากหลายมากมายไม่รู้จบ

หากใครยังโหยหาความเป็นพี่เป็นน้องแบบในยุคก่อนก็อาจถูกหาว่าเป็นคนโรแมนติกเกินจริงไปได้

ไม่ใช่เรื่องดีหรือเรื่องร้ายสังคมย่อมต้องวิวัฒน์ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เพียงแค่ความเปลี่ยนแปลงของสังคมนั้นอาจก่อให้เกิดโจทย์ใหม่ๆ ให้ผู้คนในสังคมต้องช่วยกันขบคิด

หากในสมัยก่อน ความสัมพันธ์ของคนในสังคมแบบพี่น้องเป็นตัวเชื่อมร้อยพวกเราไว้ด้วยกัน นิสัยถ้อยทีถ้อยอาศัย ให้ผู้ใหญ่ไปก่อน เด็กต้องยอมผู้ใหญ่ ใครผิดก็ไม่เป็นไรให้อภัยกัน เราก็พี่ๆ น้องๆ กัน แต่ทุกวันนี้สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถทำงานได้เหมือนแต่ก่อนแล้ว เราจะใช้สิ่งใดเป็นอุปกรณ์ในการจัดการความสัมพันธ์ของคนในสังคม

ดูเหมือนสังคมไทยกำลังอยู่ในระยะ "กลับไม่ได้ไปไม่ถึง"

คือจะเป็นสังคมสมัยใหม่ที่ทุกคนเคารพในกฎกติการ่วมกันก็ไม่ใช่ หรือจะเป็นสังคมอบอุ่นแบบสมัยก่อนที่ทุกคนดูแลกันแบบญาติมิติ พ่อแม่พี่น้อง ก็ไม่ใช่อีก

เราอาจจะกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน

อยู่ในช่วงที่คนยุคเก่าอาจคิดว่า คงจะดีถ้าสามารถทำให้ทุกคนในสังคมอยู่รวมกันเป็นครอบครัวเดียวกัน รักใคร่สามัคคี เป็นพี่เป็นน้องที่ไม่ต้องถกเถียงกัน มีความสุขด้วยกัน กระทั่งอาจจะเผลอทำตัวเป็นป้าและอ้างว่าสิทธิไม่สำคัญเท่าความอาวุโส หรือฉันรู้ดีกว่าเธอ

แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในโลกอีกใบ โลกที่เต็มไปด้วยคนที่ไม่รู้จัก คนที่แตกต่างหลากหลาย คนที่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์เป็นญาติมิตรในชุมชน สิ่งที่พอจะเป็นอุปกรณ์รักษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนทั้งหลายได้ดีที่สุดน่าจะเป็นการเคารพกฎกติกาที่ตกลงร่วมกัน

เคารพสิทธิของคนทุกคนในสังคมด้วยการไม่ละเมิดกติกา

กระทั่งไม่ฉีกกติกาตามอำเภอใจแล้วหันมายิ้มใส่แล้วบอกว่า "ก็ป้าไม่รู้"

ระหว่างที่เรายังหาทางกลับไปสู่ชุมชมอันอบอุ่นแบบเดิมไม่ได้ การฝึกยอมรับและเคารพสิทธิของผู้คนในสังคมเดียวกันน่าจะเป็นสิ่งที่ "มนุษย์ป้า" (ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่คนรุ่นป้าและผู้หญิงเท่านั้น) ทั้งหลายจำเป็นต้องทำ

ความสุขย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นจากการแย่งความสุขของคนอื่นไป เช่น การแซงคิวเพื่อเข้าห้องน้ำหรือวิ่งไปรับตั๋วหนังฟรีก็ตาม

เพราะต่อให้ไม่พูดออกมาป้าก็ต้องระแวงอยู่ดีว่าคนอื่นเขาจะคิดกับป้ายังไงในใจเขาแอบด่าเราอยู่ไหมนะ

ความสุขแบบนั้นเป็นความสุขส่วนตัวที่ไม่คำนึงถึงความสุขของคนอื่น เป็นความสุขที่ไม่คิดถึงส่วนรวมและสังคม ซึ่งความระแวงนั้นจะวนกลับมาทำให้ป้าเป็นทุกข์

หากมนุษย์ป้าอยากจะคืนความสุขให้สังคม มนุษย์ป้าคงต้องเลิกแซงคิว เลิกละเมิดที่นั่งคนอื่น เลิกหยิบของคนอื่น และเคารพสิทธิของเพื่อนร่วมสังคม

สังคมที่มีความสุขคือสังคมที่คิดถึงเพื่อนร่วมสังคม

และสังคมสมัยใหม่ที่มีความสุขคือสังคมที่ให้ความเคารพในสิทธิของผู้อื่นแม้เราจะไม่ได้เป็นญาติมิตรกัน แม้เราจะไม่ได้รู้จักกัน แม้เราจะคิดเห็นไม่เหมือนกัน

เพราะความสุขของสังคมก็คือความสุขของเรา

เราไม่สามารถมีความสุขอยู่ในสังคมที่คนที่ถูกละเมิดสิทธิไม่มีความสุขได้หรอก

ในแง่นี้ความสุขของสังคมคือการเคารพความสุขของคนอื่น

ถ้าเป็นแบบนั้นป้าก็ไม่ต้องคืนความสุขแต่อย่างใด เพราะทุกคนก็จะมีความสุขจากการเคารพสิทธิของกันและกัน

ป้าเห็นด้วยกับผมไหมครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่