หมายเหตุ : ต่างคน ต่างมีรสนิยมความชอบและไม่ชอบที่ต่างกันไปนะครับ ^ ^
ฉะนั้นหากเห็นต่างจากผมก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าใช้ความเห็นที่ดูรุนแรงก็พอ
ผมเป็นคนเซ้นซิทีฟนะเออ (ฮาา)
สืบเนื่องมาจากกระทู้สี่ผู้กำกับหนังแฮร์รี่ฯของผมเมื่อครั้งที่แล้วนะครับ
http://pantip.com/topic/32233308
ตอนแรกผมก็คิดว่ามีผมอยู่คนเดียวหรือเปล่า ที่ชอบหนังแฮร์รี่ฯ สไตส์ เดวิด เยทส์ (ฮาาา) เพราะเสียง
ส่วนใหญ่ที่ผมได้ยินเกี่ยวกับหนังภาคที่เขากำกับคือ
"ไม่สนุก" "ดราม่า" "น่าเบื่อ" "ไม่เหมือนนิยาย"
"ดูไม่รู้เรื่อง" หนักเข้าก็ออกแนวคำด่าอย่าง
"ห่วยแตก" "เลิกกำกับหนังเถอะ" "เสียเวลาดู" "ทำแฮร์รี่ฯเสียหมด"
...อะไรก็ว่ากันไป ผมเลยนึกถึงที่คุณหมอ
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" บอกว่า คนที่ชอบหนังแฮร์รี่ฯสไตส์
"เยทส์ๆ" นั่น
เป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่คนดูหนังชาวไทย (ที่ส่วนใหญ่ดูหนังเน้นบันเทิง ..อันนี้ไม่ได้ตั้งใจว่าใครอะไรนะครับ
แต่พูดถึงคนดูหนังขาจรส่วนมากเฉยๆ ที่ส่วนจะเป็น
"มีอะไรมาตูก็ดูหมดและ" อะไรอย่างนี้ ...แบบนี้คนดูหนัง
ที่เขาดูเนื้อในจริงๆก็เลยมีน้อยเท่าฝาชาเชียว และมีปากเสียงอะไรได้ไม่ค่อยมาก แหะๆ ^ ^'' ก็เขาไม่ชอบจริงๆจะให้ทำยังไง)
ผมเลยขอพื้นที่ให้ตัวเองด้วย และเพื่อนๆหลายคนด้วยซักหนึ่งกระทู้นะครับ ในการมาบรรยาย
กึ่งๆรีวิวว่า ทำไมผมถึงชอบหนังแฮร์รี่ฯแบบเดวิด เยทส์ ทั้ง 4 ภาคนี้นักเอ่ย?
เดวิด เยทส์ เป็นผู้กำกับที่ก้าวเข้ามาทำหนังแฮร์รี่ฯในยุคที่ฮอลลีวูดชอบลองของพอดี
"ลองของ"
ในที่นี้หมายถึง ไม่ค่อยจะเลือกใช้ผู้กำกับมีชื่อที่ผ่านการทำหนังใหญ่ๆมาก่อนมากแล้ว (เพราะผู้กำกับ
ใหญ่ก็จะสรรหาโปรเจคต์มาทำได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วล่ะ) แต่จะเลือกใช้ผู้กำกับที่ไม่มีชื่อเสียงในระดับ
แมส หรือทำแต่งานเล็กๆไม่กี่อย่าง มาคุมหนังสเกลระดับอภิมหาใหญ่ ..ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็นเรื่อง
ปกติไปแล้ว แต่สมัยก่อนถือว่าน่าเป็นห่วงครับ
เพราะ 1.ผู้กำกับชื่อเล็กไม่สามารถฝากความหวังอะไรไว้ได้นัก เพราะประวัติในอดีตที่ไม่ได้บอกว่าเขา
เคยทำเงินกับหนังฟอร์มยักษ์มาก่อน การฝากหนังที่เคยสร้างมาแล้วถึง 4 ภาค ถือเป็นความเสี่ยงมากๆ
2.และหนังก็ไม่ได้เพิ่งเริ่มแฟรนไชส์อย่างที่บอก มันเคยมีมาแล้ว 4 ภาค แล้วที่สำคัญภาคที่แล้วเพิ่งทำ
ได้อย่างอลังการงานสร้าง และ 3.มันอาจมีผลกับคนดูและรายได้ด้วย ถ้าหนังทำได้ไม่ถึงพอ คนดูและ
ค่าตั๋วก็ลดลง (แต่ในกรณีแฮร์รี่ผมว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะด้วยชื่อเสียงของแบรนด์มันเอง หลับตาฟัน
ธงก็รู้แล้วว่าต่อให้หนังไม่ถูกใจคนดู มันก็ทำเงินมหาศาลอยู่ดี)
จนกระทั่งได้ดูหนังภาค 5
"Harry Potter and the Order of the Phoenix" ก้าวแรกในงานกำกับ
แฮร์รี่ฯของเยทส์จริงๆ ก็พบกับเซอร์ไพรส์สองอย่างครับ คือพบสิ่งที่เกินความคาดหวัง กับ สิ่งที่
รู้สึกว่าตัวเองคาดหวังมากไป
คือหนังของเยทส์ออกมาในโทนที่ไม่แปลกใหม่อะไรครับ เหมือนเป็นการเอาโทนเดิมจากภาคก่อน
มาปรับในสไตส์แบบเขา คือเน้นดราม่า ถ่ายทอดอารมณ์ของฉากและตัวละครผ่านงานภาพและบท
สนทนา เป็นหลัก แต่นอกนั้นก็เป็นอารมณ์ในแบบที่เราเคยเห็นมาแล้วจากภาคก่อนๆ หนังภาค 5 เลย
มีลักษณะเอาภาค 2 ถึง 4 มาเล่าในสไตส์ เดวิด เยทส์ เฉยๆ (แต่เยทส์ก็แม่นเรื่องานภาพมากครับ
เขาใช้ภาพโทน เขียว-น้ำเงิน ได้สวยดูดีทั้งเรื่อง)
แต่ที่ผมรู้สึกชอบในวิธีการนำเสนอของเยทส์คือ ในฉากเปิดเรื่องครับ ที่เปิดเรื่องอย่างเรียบๆไม่หวือหวา
ทำเหมือนกับว่านี่เป็นหนังแฮร์รี่ฯภาคแรกยังไงยังงั้น ให้ความรู้สึกถึง
"ครั้งแรก" เหมือนกับที่เขาเพิ่งจะ
ทำหนังภาคนี้เป็นภาคแรกนี่เอง ...มันทำให้ผมรู้สึกว่าเยทส์ไม่ได้คิดทำตัวอหังการ ว่าเขาจะต้องทำอะไร
ให้มันยิ่งใหญ่พอๆกับผู้กำกับคนก่อนๆ แค่เล่าเรื่องในแบบที่มันสมควรจะเป็นก็พอ
แต่ที่เซอร์ไพรส์สุดๆเลยคือวิธีการทำงานของเขาที่เสี่ยงต่อการโดนแฟนหนังสือด่ามาก คือเยทส์เป็น
ผู้กำกับที่ไม่ห่วงเลยว่า ถ้าตัดฉากนี้ไป แฟนๆจะรับได้มั๊ย หรือถ้าเอาฉากนี้อยู่ แฟนๆจะชอบมั๊ย ...คิดจะ
ตัดอะไรก็ตัดเลยในแบบที่ตัวเองพอใจ และเยทส์ก็ไม่เดินเรื่องเสร็จสรรพตามหนังสือ แต่เล่าในวิธีของ
ตัวเอง ...สรุปก็คือหนังภาคนี้กลายเป็นหนังภาคที่สั้นที่สุด ทั้งที่มันสร้างมากจากหนังสือเล่มที่หนาที่สุด
(แต่ส่วนตัวผมว่าหนังสือเล่ม 5 หนาก็จริง แต่ประเด็นน้ำๆเยอะนะครับ เลยคิดว่าถ้าเอาประเด็นเนื้อๆใน
หนังสือแยกออกมาเป็นอีกเล่ม หนังสือคงไม่หนาไปกว่าเล่ม 3 แน่ๆ)
ที่ผมชอบในภาค 5 อีกอย่างคือการดึงความเป็นแฟนตาซีลงมาให้ดูจับต้องได้มากขึ้นด้วย และด้วยปัญหา
ทางการเมืองในภาคนี้ การเล่าเรื่องมันเลยต้องรวดเร็วฉับไวในการบอกเล่าข้อมูล การชิงอำนาจของโดโลเรส
การเข้ามาแทรกแซงโรงเรียนของกระทรวง โดยใช้การเล่าเรื่องผ่านเดลี่พรอเฟ็ต ที่ทำได้เท่ห์สุดๆ
การดูหนังภาค 5 ทำให้ผมยังไม่ฟันธงนะครับว่าเยทส์จะเป็นผู้กำกับที่ใช่จริงๆ เพราะมันมีทั้งส่วนที่
ชอบและไม่ชอบในหนัง แต่มันก็กลมกลืนพอจะให้เยทส์รอดตัวไปได้ จนเมื่อเขามากำกับภาค 6
"Harry Potter and the Half-Blood Prince" นี่แหละ ผมเลยปักใจเชื่อซะทีว่าเยทส์คือคนที่ใช่สำหรับ
หนังแฮร์รี่ฯเล่มหลังๆจริงๆ เพราะหนังภาคนี้เป็นภาคที่ผมค่อนข้างชอบ เป็นอันดับต้นๆเลยครับ
(เพื่อนๆกำลังขมวดคิ้วกันอยู่แน่ๆ เมื่ออ่านถึงตรงนี้ XD)
ปกติหนังแฮร์รี่ฯทุกภาคที่ผ่านมา แม้หนังจะดียังไง แต่หนังก็ยังทำตัวเป็น
"หนังที่สร้างจากนิยาย"
อยู่ดี เพราะมีหลายฉากที่รู้สึกว่าต้องใส่เข้ามาเพื่อให้แฟนๆพอใจกับหนังมากที่สุด โดยเฉพาะภาค
1-2 ของคริส โคลัมบัส ที่เดินเรื่องตามหนังสือแบบแทบจะไม่ดัดแปลงอะไรเลย (แต่ในเวลานั้นเป็น
เรื่องที่ดีนะครัยสำหรับการเริ่มต้นแฟรนไชส์) แต่หนังของเยทส์ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ในภาคที่แล้วอาจ
จะยังไม่ชัดเจนนัก จนมาถึงภาค 6 นี่แหละครับ ที่สไตส์แบบ
"เยทส์ๆ" ออกมาเต็มเหนี่ยว ...คือ
ต้องเข้าใจก่อนว่า แค่ในหนังสือตั้งแต่เล่ม 5 ลงมาแฮร์รี่ฯก็ไม่ใช่วรรณกรรมสำหรับเด็กอย่างเดียว
แล้ว แต่เป็นวรรณกรรมแฟนตาซีที่เนื้อหาเริ่มซีเรียสมืดหม่นขึ้นทุกที อะไรที่ทำให้เด็กๆหลับฝันดี
อย่างเวทย์มนตร์มหัศจรรย์จะไม่มีแล้ว แต่จะเป็นโลกเวทย์มนต์ในมุมที่จริงจัง ซึ่งเยทส์ก็
ทำแบบนั้นในหนังภาค 6
เอาตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องเลยครับ หนังไม่ได้เปิดด้วยฉากรถฟอร์ดแองเกลียน่าได้หรือฉากเสกคาถา
ลูมอสที่ทำให้คนดูตื่นตา แต่เปิดฉากด้วยแฮร์รี่กับดัมเบิลดอร์ที่ต่อเนื่องมาจากภาคก่อน บอกถึง
ผลกระทบรีแอ็คชั่นที่เกิดขึ้นว่าทุกอย่างมันส่งผลกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครยังไง ...แค่นี้ก็
ทำให้ผมมองแฮร์รี่ฯเปลี่ยนไปได้แล้วจริงๆ ...ตามมาด้วยฉากผู้เสพความตายถล่มสะพานที่ประกาศ
ให้คนดูรู้เลยว่า ครั้งนี้จะไม่มีเวทย์มนต์มหัศจรรย์ประโลมโลกแล้ว ทุกสิ่งที่เป็นภัย จะเกิดขึ้นจริงๆ...
แต่เยทส์ก็แปลกที่สามารถเล่าเรื่องเบาสมองแนว โรแมนติกคอเมดี้ อารมณ์ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน
ของหนุ่มสาว ออกมาในฉากหลังที่ดูมืดหม่นกว่าทุกภาคได้ตลกและน่ารักขนาดนี้ โดยที่ไม่ขัดกับ
ประเด็นดราม่าในเรื่องเลยซักนิด (และอีกอย่างที่น่าชื่นชมคือ การใช้ภาพสื่ออารมณ์ในฉากครับ
ที่คราวนี้เยทส์กลับมาเป๊ะกว่าเดิมซะอีก ภาพสวยๆหม่นๆที่รับกับอารมณ์ของเรื่องได้เป็นอย่างดี)
หรือฉากที่ไม่มีในหนังสืออย่าง ฉากเผาบ้านโพรงกระต่าย ที่อาจทำร้ายความรู้สึกคนรักครอบครัว
วีสลีย์ไม่น้อย แต่ฉากนี้ทำให้ผมเห็นเลยว่าเยทส์นั้นเป็นคนที่กล้าบ้าบิ่นจริงๆ
โอเค๊ หลังจากหนังภาค 6 ผมยอมรับแล้วว่าเยทส์คือคนที่ใช่สำหรับหนังแฮร์รี่ที่เน้าการบอกเล่า
ข้อมูลมากกว่าแอ็คชั่นแฟนตาซี แบบหนังสือเล่มหลังๆ เชื่อแล้วว่าเขาทำได้จริง
...แต่!!!! เมื่อเยทส์ได้กำกับภาคสุดท้ายคือภาค 7
"Harry Potter and the Deathly Hallows"
แถมหนังยังแยกออกเป็นสองภาคอีก และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นเล่มทีบันเทิงมาก อัดแน่นไปด้วย
ความสนุกแบบไม่มีเบรค เยทส์ที่ทำหนังแฮร์รี่ในสไตส์แบบ
"เยทส์ๆ" มาตลอด จะไหวไหม? นี่คือ
สิ่งที่ผมคิดในหัวในในฐานะคนชอบภาค 6 มากๆนะครับ และก็ตั้งตาดูด้วยความคิดว่า
"พี่ต้องแบก
หนังภาคส่งท้ายให้ได้ดีๆนะเฟ้ย > < แฟนๆเขาคาดหวังกันทั่วโลกนะ"
แต่ผลปรากฏคือ ภาค 7.1 ผมชอบมากครับ
ส่วน 7.2 นี่ออกไปทางชอบแต่ไม่ถึงกับมาก..
เพราะหนัง 2 ภาคสุดท้ายนี้ เยทส์ก็ใช้วิธีแบบเดิมคือการสร้างโทนให้หนังออกมาไม่เหมือนกัน
ใน 7.1 หนังออกมาในลักษณะโร้ดมูฟวี่บรรยากาศเหงาๆประหนึ่งฉากหลังโลกล่มสลาย ซึ่ง
เยทส์ก็ถ่ายทอดฉากพวกนี้ออกมาได้ดีเกินคาดครับ บทจะสนุกก็สนุก บทจะตึงเครียดก็ตึงเครียด
ได้ และการใช้ฉากและภาพต่างๆได้คุ้มและสื่ออารมณ์ได้จริง ยิ่งทำให้ภาค 7.1 ออกมาเป็นหนัง
ที่เกือบเข้าใกล้คำว่าคลาสสิคแล้ว (ฉากที่ผมชอบมากๆคงเป็น ฉากตอนที่เฮอร์ไมโอนี่เล่านิทาน
สามพี่น้อง แล้วสื่อภาพออกมาเป็นอนิเมชั่น ที่เก๋มากๆ แถมกลมกลืนไปกับเรื่องด้วย) สรุปคือ
ในครึ่งแรก เยทส์ทำออกมาสมบูรณ์ครับ
แต่พอมาถึงภาคสุดท้ายในครึ่งหลัง หรือภาค 7.2 ผมกลับคิดว่าเยทส์กลับไปทำหนังแฮร์รี่ในแบบ
ภาคก่อนๆคือ ทำออกมาเพื่อเอาใจแฟนหนังสือมาก มีทุกๆฉากที่แฟนๆจะต้องพอใจและสนุก
มันส์ ฟิน แถมหนังที่ต้องออกมาเป็นแนวหนังสงครามแล้วกลายๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่
ตระการตา แน่นอน ...แต่ผลกลับออกมาไม่ถึงขนาดนั้นนะครับในสายตาผม เยทส์ยังคุมสเกลความ
ใหญ่ได้ไม่พอ ฉากทั้งหลายอลังการจริง พังจริงๆ แต่ยังไม่ให้ความรู้สึก Epic พอเท่าที่ควร
...เวลาเราอ่านสงครามฮอกวอตส์ในหนังสือ พวกเราคงจินตนาการไว้ว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่มากๆเลยนะ
ครับ (แต่บางทีคนอ่านก็ลืมไปว่าฮอกวอร์ตมันไม่ใช่ทุ่งเพเลนนอร์ มันไม่ได้ใหญ่จนถึงระดับ Epic
แหงล่ะ) และการเดินเรื่องที่ตรงกับหนังสือเป๊ะตั้งแต่ต้นจนถึงบทสรุปตอนท้ายเลย (มีฉากที่ผมชอบ
หน่อยคือชะตากรรมของ
"ไม้เอลเดอร์" ในตอนท้าย ที่เปลี่ยนจากเก็บในตู้ มาเป็นให้แฮร์รี่หักทิ้ง
ซะเลย ^ ^'' มันสื่อถึงการปล่อยวางได้ดีกว่าเอาของไปเก็บไว้เฉยๆเยอะ)
หนังภาค 7 ที่แบ่งครึ่งเป็นสองภาคนี้ ทำให้ผมนึกถึงแฟรนไชส์อีกเรื่องอย่าง The Twilight Saga
: Breaking Dawn ที่ในครึ่งแรกออกมาดีมาก จนผมยกให้เป็นภาคที่ดีที่สุดไปเลย แต่พอครึ่งหลัง
มันดันกลับมาเป็นเหมือนเดิม คือเอาใจแม่ยกท่าเดียวจนความดีในภาคแรกมันแทบไม่มีความหมาย
(แต่ในกรณีแฮร์รี่ไม่หนักขนาดนั้นนะครับ เพราะหนังภาค 7.2 ยังมีพลังอยู่ในฐานะหนังภาคสุดท้าย
อย่างน้อยมันก็ทำให้แฟนนิยายหรือคนที่ดูหนังชุดนี้มานาน ประทับใจหรือเสียน้ำตาได้จริงๆล่ะ
ผมว่าถ้าใครชอบแฮร์รี่แล้วไม่ประทับใจกับฉากของสเนปหรือฉากสุดท้าย 19 ปีต่อมา ของหนัง คงใจร้ายมากๆเลย)
กระทู้นี้สำหรับคนชอบหนัง "Harry Potter" ของ "เดวิด เยทส์" โดยเฉพาะครับ (ภาค 5-7)
ฉะนั้นหากเห็นต่างจากผมก็ไม่เป็นไร ขอแค่อย่าใช้ความเห็นที่ดูรุนแรงก็พอ
ผมเป็นคนเซ้นซิทีฟนะเออ (ฮาา)
สืบเนื่องมาจากกระทู้สี่ผู้กำกับหนังแฮร์รี่ฯของผมเมื่อครั้งที่แล้วนะครับ http://pantip.com/topic/32233308
ตอนแรกผมก็คิดว่ามีผมอยู่คนเดียวหรือเปล่า ที่ชอบหนังแฮร์รี่ฯ สไตส์ เดวิด เยทส์ (ฮาาา) เพราะเสียง
ส่วนใหญ่ที่ผมได้ยินเกี่ยวกับหนังภาคที่เขากำกับคือ "ไม่สนุก" "ดราม่า" "น่าเบื่อ" "ไม่เหมือนนิยาย"
"ดูไม่รู้เรื่อง" หนักเข้าก็ออกแนวคำด่าอย่าง "ห่วยแตก" "เลิกกำกับหนังเถอะ" "เสียเวลาดู" "ทำแฮร์รี่ฯเสียหมด"
...อะไรก็ว่ากันไป ผมเลยนึกถึงที่คุณหมอ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" บอกว่า คนที่ชอบหนังแฮร์รี่ฯสไตส์ "เยทส์ๆ" นั่น
เป็นชนกลุ่มน้อยในหมู่คนดูหนังชาวไทย (ที่ส่วนใหญ่ดูหนังเน้นบันเทิง ..อันนี้ไม่ได้ตั้งใจว่าใครอะไรนะครับ
แต่พูดถึงคนดูหนังขาจรส่วนมากเฉยๆ ที่ส่วนจะเป็น "มีอะไรมาตูก็ดูหมดและ" อะไรอย่างนี้ ...แบบนี้คนดูหนัง
ที่เขาดูเนื้อในจริงๆก็เลยมีน้อยเท่าฝาชาเชียว และมีปากเสียงอะไรได้ไม่ค่อยมาก แหะๆ ^ ^'' ก็เขาไม่ชอบจริงๆจะให้ทำยังไง)
ผมเลยขอพื้นที่ให้ตัวเองด้วย และเพื่อนๆหลายคนด้วยซักหนึ่งกระทู้นะครับ ในการมาบรรยาย
กึ่งๆรีวิวว่า ทำไมผมถึงชอบหนังแฮร์รี่ฯแบบเดวิด เยทส์ ทั้ง 4 ภาคนี้นักเอ่ย?
เดวิด เยทส์ เป็นผู้กำกับที่ก้าวเข้ามาทำหนังแฮร์รี่ฯในยุคที่ฮอลลีวูดชอบลองของพอดี "ลองของ"
ในที่นี้หมายถึง ไม่ค่อยจะเลือกใช้ผู้กำกับมีชื่อที่ผ่านการทำหนังใหญ่ๆมาก่อนมากแล้ว (เพราะผู้กำกับ
ใหญ่ก็จะสรรหาโปรเจคต์มาทำได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วล่ะ) แต่จะเลือกใช้ผู้กำกับที่ไม่มีชื่อเสียงในระดับ
แมส หรือทำแต่งานเล็กๆไม่กี่อย่าง มาคุมหนังสเกลระดับอภิมหาใหญ่ ..ถ้าเป็นสมัยนี้คงเป็นเรื่อง
ปกติไปแล้ว แต่สมัยก่อนถือว่าน่าเป็นห่วงครับ
เพราะ 1.ผู้กำกับชื่อเล็กไม่สามารถฝากความหวังอะไรไว้ได้นัก เพราะประวัติในอดีตที่ไม่ได้บอกว่าเขา
เคยทำเงินกับหนังฟอร์มยักษ์มาก่อน การฝากหนังที่เคยสร้างมาแล้วถึง 4 ภาค ถือเป็นความเสี่ยงมากๆ
2.และหนังก็ไม่ได้เพิ่งเริ่มแฟรนไชส์อย่างที่บอก มันเคยมีมาแล้ว 4 ภาค แล้วที่สำคัญภาคที่แล้วเพิ่งทำ
ได้อย่างอลังการงานสร้าง และ 3.มันอาจมีผลกับคนดูและรายได้ด้วย ถ้าหนังทำได้ไม่ถึงพอ คนดูและ
ค่าตั๋วก็ลดลง (แต่ในกรณีแฮร์รี่ผมว่าไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะด้วยชื่อเสียงของแบรนด์มันเอง หลับตาฟัน
ธงก็รู้แล้วว่าต่อให้หนังไม่ถูกใจคนดู มันก็ทำเงินมหาศาลอยู่ดี)
จนกระทั่งได้ดูหนังภาค 5 "Harry Potter and the Order of the Phoenix" ก้าวแรกในงานกำกับ
แฮร์รี่ฯของเยทส์จริงๆ ก็พบกับเซอร์ไพรส์สองอย่างครับ คือพบสิ่งที่เกินความคาดหวัง กับ สิ่งที่
รู้สึกว่าตัวเองคาดหวังมากไป
คือหนังของเยทส์ออกมาในโทนที่ไม่แปลกใหม่อะไรครับ เหมือนเป็นการเอาโทนเดิมจากภาคก่อน
มาปรับในสไตส์แบบเขา คือเน้นดราม่า ถ่ายทอดอารมณ์ของฉากและตัวละครผ่านงานภาพและบท
สนทนา เป็นหลัก แต่นอกนั้นก็เป็นอารมณ์ในแบบที่เราเคยเห็นมาแล้วจากภาคก่อนๆ หนังภาค 5 เลย
มีลักษณะเอาภาค 2 ถึง 4 มาเล่าในสไตส์ เดวิด เยทส์ เฉยๆ (แต่เยทส์ก็แม่นเรื่องานภาพมากครับ
เขาใช้ภาพโทน เขียว-น้ำเงิน ได้สวยดูดีทั้งเรื่อง)
แต่ที่ผมรู้สึกชอบในวิธีการนำเสนอของเยทส์คือ ในฉากเปิดเรื่องครับ ที่เปิดเรื่องอย่างเรียบๆไม่หวือหวา
ทำเหมือนกับว่านี่เป็นหนังแฮร์รี่ฯภาคแรกยังไงยังงั้น ให้ความรู้สึกถึง "ครั้งแรก" เหมือนกับที่เขาเพิ่งจะ
ทำหนังภาคนี้เป็นภาคแรกนี่เอง ...มันทำให้ผมรู้สึกว่าเยทส์ไม่ได้คิดทำตัวอหังการ ว่าเขาจะต้องทำอะไร
ให้มันยิ่งใหญ่พอๆกับผู้กำกับคนก่อนๆ แค่เล่าเรื่องในแบบที่มันสมควรจะเป็นก็พอ
แต่ที่เซอร์ไพรส์สุดๆเลยคือวิธีการทำงานของเขาที่เสี่ยงต่อการโดนแฟนหนังสือด่ามาก คือเยทส์เป็น
ผู้กำกับที่ไม่ห่วงเลยว่า ถ้าตัดฉากนี้ไป แฟนๆจะรับได้มั๊ย หรือถ้าเอาฉากนี้อยู่ แฟนๆจะชอบมั๊ย ...คิดจะ
ตัดอะไรก็ตัดเลยในแบบที่ตัวเองพอใจ และเยทส์ก็ไม่เดินเรื่องเสร็จสรรพตามหนังสือ แต่เล่าในวิธีของ
ตัวเอง ...สรุปก็คือหนังภาคนี้กลายเป็นหนังภาคที่สั้นที่สุด ทั้งที่มันสร้างมากจากหนังสือเล่มที่หนาที่สุด
(แต่ส่วนตัวผมว่าหนังสือเล่ม 5 หนาก็จริง แต่ประเด็นน้ำๆเยอะนะครับ เลยคิดว่าถ้าเอาประเด็นเนื้อๆใน
หนังสือแยกออกมาเป็นอีกเล่ม หนังสือคงไม่หนาไปกว่าเล่ม 3 แน่ๆ)
ที่ผมชอบในภาค 5 อีกอย่างคือการดึงความเป็นแฟนตาซีลงมาให้ดูจับต้องได้มากขึ้นด้วย และด้วยปัญหา
ทางการเมืองในภาคนี้ การเล่าเรื่องมันเลยต้องรวดเร็วฉับไวในการบอกเล่าข้อมูล การชิงอำนาจของโดโลเรส
การเข้ามาแทรกแซงโรงเรียนของกระทรวง โดยใช้การเล่าเรื่องผ่านเดลี่พรอเฟ็ต ที่ทำได้เท่ห์สุดๆ
การดูหนังภาค 5 ทำให้ผมยังไม่ฟันธงนะครับว่าเยทส์จะเป็นผู้กำกับที่ใช่จริงๆ เพราะมันมีทั้งส่วนที่
ชอบและไม่ชอบในหนัง แต่มันก็กลมกลืนพอจะให้เยทส์รอดตัวไปได้ จนเมื่อเขามากำกับภาค 6
"Harry Potter and the Half-Blood Prince" นี่แหละ ผมเลยปักใจเชื่อซะทีว่าเยทส์คือคนที่ใช่สำหรับ
หนังแฮร์รี่ฯเล่มหลังๆจริงๆ เพราะหนังภาคนี้เป็นภาคที่ผมค่อนข้างชอบ เป็นอันดับต้นๆเลยครับ
(เพื่อนๆกำลังขมวดคิ้วกันอยู่แน่ๆ เมื่ออ่านถึงตรงนี้ XD)
ปกติหนังแฮร์รี่ฯทุกภาคที่ผ่านมา แม้หนังจะดียังไง แต่หนังก็ยังทำตัวเป็น "หนังที่สร้างจากนิยาย"
อยู่ดี เพราะมีหลายฉากที่รู้สึกว่าต้องใส่เข้ามาเพื่อให้แฟนๆพอใจกับหนังมากที่สุด โดยเฉพาะภาค
1-2 ของคริส โคลัมบัส ที่เดินเรื่องตามหนังสือแบบแทบจะไม่ดัดแปลงอะไรเลย (แต่ในเวลานั้นเป็น
เรื่องที่ดีนะครัยสำหรับการเริ่มต้นแฟรนไชส์) แต่หนังของเยทส์ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ในภาคที่แล้วอาจ
จะยังไม่ชัดเจนนัก จนมาถึงภาค 6 นี่แหละครับ ที่สไตส์แบบ "เยทส์ๆ" ออกมาเต็มเหนี่ยว ...คือ
ต้องเข้าใจก่อนว่า แค่ในหนังสือตั้งแต่เล่ม 5 ลงมาแฮร์รี่ฯก็ไม่ใช่วรรณกรรมสำหรับเด็กอย่างเดียว
แล้ว แต่เป็นวรรณกรรมแฟนตาซีที่เนื้อหาเริ่มซีเรียสมืดหม่นขึ้นทุกที อะไรที่ทำให้เด็กๆหลับฝันดี
อย่างเวทย์มนตร์มหัศจรรย์จะไม่มีแล้ว แต่จะเป็นโลกเวทย์มนต์ในมุมที่จริงจัง ซึ่งเยทส์ก็
ทำแบบนั้นในหนังภาค 6
เอาตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องเลยครับ หนังไม่ได้เปิดด้วยฉากรถฟอร์ดแองเกลียน่าได้หรือฉากเสกคาถา
ลูมอสที่ทำให้คนดูตื่นตา แต่เปิดฉากด้วยแฮร์รี่กับดัมเบิลดอร์ที่ต่อเนื่องมาจากภาคก่อน บอกถึง
ผลกระทบรีแอ็คชั่นที่เกิดขึ้นว่าทุกอย่างมันส่งผลกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครยังไง ...แค่นี้ก็
ทำให้ผมมองแฮร์รี่ฯเปลี่ยนไปได้แล้วจริงๆ ...ตามมาด้วยฉากผู้เสพความตายถล่มสะพานที่ประกาศ
ให้คนดูรู้เลยว่า ครั้งนี้จะไม่มีเวทย์มนต์มหัศจรรย์ประโลมโลกแล้ว ทุกสิ่งที่เป็นภัย จะเกิดขึ้นจริงๆ...
แต่เยทส์ก็แปลกที่สามารถเล่าเรื่องเบาสมองแนว โรแมนติกคอเมดี้ อารมณ์ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน
ของหนุ่มสาว ออกมาในฉากหลังที่ดูมืดหม่นกว่าทุกภาคได้ตลกและน่ารักขนาดนี้ โดยที่ไม่ขัดกับ
ประเด็นดราม่าในเรื่องเลยซักนิด (และอีกอย่างที่น่าชื่นชมคือ การใช้ภาพสื่ออารมณ์ในฉากครับ
ที่คราวนี้เยทส์กลับมาเป๊ะกว่าเดิมซะอีก ภาพสวยๆหม่นๆที่รับกับอารมณ์ของเรื่องได้เป็นอย่างดี)
หรือฉากที่ไม่มีในหนังสืออย่าง ฉากเผาบ้านโพรงกระต่าย ที่อาจทำร้ายความรู้สึกคนรักครอบครัว
วีสลีย์ไม่น้อย แต่ฉากนี้ทำให้ผมเห็นเลยว่าเยทส์นั้นเป็นคนที่กล้าบ้าบิ่นจริงๆ
โอเค๊ หลังจากหนังภาค 6 ผมยอมรับแล้วว่าเยทส์คือคนที่ใช่สำหรับหนังแฮร์รี่ที่เน้าการบอกเล่า
ข้อมูลมากกว่าแอ็คชั่นแฟนตาซี แบบหนังสือเล่มหลังๆ เชื่อแล้วว่าเขาทำได้จริง
...แต่!!!! เมื่อเยทส์ได้กำกับภาคสุดท้ายคือภาค 7 "Harry Potter and the Deathly Hallows"
แถมหนังยังแยกออกเป็นสองภาคอีก และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นเล่มทีบันเทิงมาก อัดแน่นไปด้วย
ความสนุกแบบไม่มีเบรค เยทส์ที่ทำหนังแฮร์รี่ในสไตส์แบบ "เยทส์ๆ" มาตลอด จะไหวไหม? นี่คือ
สิ่งที่ผมคิดในหัวในในฐานะคนชอบภาค 6 มากๆนะครับ และก็ตั้งตาดูด้วยความคิดว่า "พี่ต้องแบก
หนังภาคส่งท้ายให้ได้ดีๆนะเฟ้ย > < แฟนๆเขาคาดหวังกันทั่วโลกนะ"
แต่ผลปรากฏคือ ภาค 7.1 ผมชอบมากครับ
ส่วน 7.2 นี่ออกไปทางชอบแต่ไม่ถึงกับมาก..
เพราะหนัง 2 ภาคสุดท้ายนี้ เยทส์ก็ใช้วิธีแบบเดิมคือการสร้างโทนให้หนังออกมาไม่เหมือนกัน
ใน 7.1 หนังออกมาในลักษณะโร้ดมูฟวี่บรรยากาศเหงาๆประหนึ่งฉากหลังโลกล่มสลาย ซึ่ง
เยทส์ก็ถ่ายทอดฉากพวกนี้ออกมาได้ดีเกินคาดครับ บทจะสนุกก็สนุก บทจะตึงเครียดก็ตึงเครียด
ได้ และการใช้ฉากและภาพต่างๆได้คุ้มและสื่ออารมณ์ได้จริง ยิ่งทำให้ภาค 7.1 ออกมาเป็นหนัง
ที่เกือบเข้าใกล้คำว่าคลาสสิคแล้ว (ฉากที่ผมชอบมากๆคงเป็น ฉากตอนที่เฮอร์ไมโอนี่เล่านิทาน
สามพี่น้อง แล้วสื่อภาพออกมาเป็นอนิเมชั่น ที่เก๋มากๆ แถมกลมกลืนไปกับเรื่องด้วย) สรุปคือ
ในครึ่งแรก เยทส์ทำออกมาสมบูรณ์ครับ
แต่พอมาถึงภาคสุดท้ายในครึ่งหลัง หรือภาค 7.2 ผมกลับคิดว่าเยทส์กลับไปทำหนังแฮร์รี่ในแบบ
ภาคก่อนๆคือ ทำออกมาเพื่อเอาใจแฟนหนังสือมาก มีทุกๆฉากที่แฟนๆจะต้องพอใจและสนุก
มันส์ ฟิน แถมหนังที่ต้องออกมาเป็นแนวหนังสงครามแล้วกลายๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่
ตระการตา แน่นอน ...แต่ผลกลับออกมาไม่ถึงขนาดนั้นนะครับในสายตาผม เยทส์ยังคุมสเกลความ
ใหญ่ได้ไม่พอ ฉากทั้งหลายอลังการจริง พังจริงๆ แต่ยังไม่ให้ความรู้สึก Epic พอเท่าที่ควร
...เวลาเราอ่านสงครามฮอกวอตส์ในหนังสือ พวกเราคงจินตนาการไว้ว่ามันจะต้องยิ่งใหญ่มากๆเลยนะ
ครับ (แต่บางทีคนอ่านก็ลืมไปว่าฮอกวอร์ตมันไม่ใช่ทุ่งเพเลนนอร์ มันไม่ได้ใหญ่จนถึงระดับ Epic
แหงล่ะ) และการเดินเรื่องที่ตรงกับหนังสือเป๊ะตั้งแต่ต้นจนถึงบทสรุปตอนท้ายเลย (มีฉากที่ผมชอบ
หน่อยคือชะตากรรมของ "ไม้เอลเดอร์" ในตอนท้าย ที่เปลี่ยนจากเก็บในตู้ มาเป็นให้แฮร์รี่หักทิ้ง
ซะเลย ^ ^'' มันสื่อถึงการปล่อยวางได้ดีกว่าเอาของไปเก็บไว้เฉยๆเยอะ)
หนังภาค 7 ที่แบ่งครึ่งเป็นสองภาคนี้ ทำให้ผมนึกถึงแฟรนไชส์อีกเรื่องอย่าง The Twilight Saga
: Breaking Dawn ที่ในครึ่งแรกออกมาดีมาก จนผมยกให้เป็นภาคที่ดีที่สุดไปเลย แต่พอครึ่งหลัง
มันดันกลับมาเป็นเหมือนเดิม คือเอาใจแม่ยกท่าเดียวจนความดีในภาคแรกมันแทบไม่มีความหมาย
(แต่ในกรณีแฮร์รี่ไม่หนักขนาดนั้นนะครับ เพราะหนังภาค 7.2 ยังมีพลังอยู่ในฐานะหนังภาคสุดท้าย
อย่างน้อยมันก็ทำให้แฟนนิยายหรือคนที่ดูหนังชุดนี้มานาน ประทับใจหรือเสียน้ำตาได้จริงๆล่ะ
ผมว่าถ้าใครชอบแฮร์รี่แล้วไม่ประทับใจกับฉากของสเนปหรือฉากสุดท้าย 19 ปีต่อมา ของหนัง คงใจร้ายมากๆเลย)